ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 507 เข้าตลาดอีกครั้ง
พอหลิ่วหมิงรับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณมาแล้ว ก็ปล่อยจิตเข้าไปดูอย่างรวดเร็ว หลังจากตรวจสอบจนแน่ชัดแล้ว ก็เก็บมันไว้ในหอยสังข์ย่อส่วนที่อยู่บนเอว แม้สีหน้าของเขาจะดูสงบ แต่ในแววตาเขากลับดูดีใจจนปิดไม่มิด
“แม่นางจิน ตอนนี้สามารถบอกสถานที่อันตรายแห่งนั้นได้หรือยัง ข้าต้องเตรียมอะไรบ้าง?” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็เงยหน้ามองไปทางหญิงสาว
“สถานที่ที่จะไปคือบ่อเย็นแห่งหนึ่ง ข้าจะนำสมบัติชิ้นหนึ่งที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ออกมา แต่บ่อแห่งนี้หนาวเย็นตลอดปี ไอเย็นหนาแน่นมาก ศิษย์พี่ต้องเตรียมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟสองสามชิ้น” จินอวี้หวนเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดนางก็บอกสถานที่ให้กับหลิ่วหมิง
พอได้ยินว่าเป็นบ่อเย็นแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงกลับไม่ได้สนใจอะไร แต่พอพูดถึงอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟ เขากลับรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านั้นเขาเพิ่งจะนำวัสดุที่ได้จากแดนอบอ้าวไปขายในตลาดของนิกายจนหมดเกลี้ยง มิเช่นนั้นหากนำวัสดุเหล่านั้นไปแลกอาวุธจิตวิญญาณ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปมาก โดยเฉพาะไม้ตะวันยักษ์ท่อนนั้น ซึ่งเป็นวัสดุชั้นดีในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟ
ดูท่าเขาคงต้องกลับไปตลาดอีกรอบแล้ว อีกอย่างก่อนหน้านั้นเขารีบตามหญิงสาวมา จึงยังมีสิ่งของหลายอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อ
“ศิษย์พี่ มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ?” จินอวี้หวนรับรู้ถึงความผิดปกติบนใบหน้าหลิ่วหมิง จึงถามออกไปเบาๆ
“ไม่มี อีกสองวันพวกเราจะออกเดินทางกัน พอถึงเวลานั้น แม่นางจินพยายามออกไปอย่างเงียบๆ อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ” หลิ่วหมิงปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วกล่าวอย่างสงบ
ในเมื่อยันต์ทะลวงเส้นลมปราณอยู่ในมือแล้ว และยังมีโอสถสองเม็ดคอยช่วย เขาจึงอยากสิ้นสุดเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้กลับไปเก็บตัวทะลวงคอขวด
“ตามที่ศิษย์พี่บอก สองวันให้หลังพวกเราจะมาเจอกันที่นี่” จินอวี้หวนพยักหน้าและยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา จากนั้นแผ่นหยกก็พุ่งออกไป
หลิ่วหมิงคว้ามันเอาไว้ และนำไปแปะบนหน้าผาก หลังจากปล่อยจิตรับรู้เข้าไปดูแล้ว ก็พยักหน้าก่อนที่จะเก็บมันเข้าไป
“หากแม่นางจินไม่มีอะไรจะมอบหมายแล้วล่ะก็ ข้าต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ จากนั้นก็เตรียมหมุนตัวจากไป
“ใช่สิ! ข้ายังไม่รู้นามของศิษย์พี่…….” จินวี้หวนก้มหน้าถามด้วยแก้มที่แดงระเรื่อเล็กน้อย
“ข้าหลิ่วหมิง”
หลิ่วหมิงไม่ได้พูดอะไรมาก พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเขียวพุ่งไปทางตลาดทันที
จินอวี้หวนยืนเงียบๆ อยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเหยียบเมฆพุ่งไปอีกทิศทางหนึ่ง
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวบนถนนบางแห่งในตลาดของนิกายยอดบริสุทธิ์อีกครั้ง
หลังจากเดินเตร่อยู่ซักพัก เขาก็เดินเข้าไปในร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณข้างถนนที่สูงสิบกว่าจั้งแห่งหนึ่ง แผ่นป้ายบนประตูมีอักขระคำว่า ‘หอฝานเซียง’ ติดอยู่
พอเขาเดินเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าด้านหลังตู้สิ่งของจะมีเก้าอี้อยู่ตัวหนึ่ง ชายวัยกลางคนที่แต่งชุดผ้าเนื้อหยาบกำลังจ้องมองมีดบินในมือที่ถูกทำลายไปแล้ว
“ค้าขายวัสดุหลอมอาวุธอยู่ชั้นสอง ค้าขายและหลอมอาวุธจิตวิญญาณอยู่ชั้นสาม” พอรับรู้ได้ว่ามีคนเข้าร้าน ชายผู้นี้ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมามองแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงกลับเดินตรงขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไรออกมา
พอถึงชั้นสาม หลิ่วหมิงก็มองเห็นชายชุดขาวอายุสามสิบต้นๆ ที่มีรูปร่างสะโอดสะองกำลังจิบชาและสนทนาพาทีกับหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มีรูปร่างยั่วยวนอยู่
“คุณหนูฝาน ดูเหมือนจะมีการค้าขายแล้ว ข้ายังมีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ วันหลังค่อยมาจิบชาพูดคุยกับคุณหนูใหม่” พอชายชุดขาวเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นกล่าวลากับหญิงสาว
“รอหลอมอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนั้นสำเร็จ ข้าจะต้องไปส่งให้คุณชายด้วยตนเองอย่างแน่นอน”
ชายชุดขาวยิ้มให้หลิ่วหมิงด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็เดินลงบันไดไป
“ข้าน้อยฝานเสี่ยวเซียง ขอถามหน่อยว่าคุณชายผู้นี้ต้องการหลอมอาวุธจิตวิญญาณหรือซื้ออาวุธจิตวิญญาณที่สำเร็จแล้ว” นางพูดกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มหวาน
“มีกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟหรือไม่ ข้าอยากจะได้สักเล่ม” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าสงบ
“คุณชายกรุณารอสักครู่ เหลียนเอ๋อร์ ยกชามา” นางสั่งสาวใช้ที่มีอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปี จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหลังอย่างสุขุมเยือกเย็น
สาวใช้ผู้นั้นรีบรินชาให้หลิ่วหมิงหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ไปยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ
พอหลิ่วหมิงเปิดฝาถ้วยเล็กน้อย กลิ่นหอมจรุงใจก็ลอยเข้ามาเตะจมูก หลังจากจิบไปหนึ่งคำ เขาก็พูดออกมาเบาๆ
“ชาดี!” จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หญิงที่มีรูปร่างยั่วยวนก็เดินออกจากห้องที่อยู่ด้านหลัง ในมือประคองกล่องขนาดยาวและสั้นอย่างละใบ
“คุณชายรอนานแล้ว นี่คือกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟสองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นกระบี่จิตวิญญาณระดับกลางที่มียี่สิบชั้นจำกัด อีกเล่มเป็นกระบี่จิตวิญญาณธาตุไฟระดับสุดยอดที่มียี่สิบเก้าชั้นจำกัด เพิ่งหลอมเสร็จเมื่อไม่นานมานี้” หญิงรูปร่างยั่วยวนวางกล่องหยกทั้งสองไว้บนโต๊ะ และดันไปทางหลิ่วหมิงเบาๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
พอหลิ่วหมิงเปิดกล่องหยกใบที่มีขนาดค่อนข้างสั้น ก็มีความร้อนแผ่ออกมา กระบี่เล็กสีแดงเล่มหนึ่งพุ่งออกไป พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว พลังสายหนึ่งก็พุ่งใส่ตัวกระบี่เล็ก หลังจากกระบี่เล็กสั่นสะเทือนเบาๆ กลางอากาศ ชั้นจำกัดบางๆ ยี่สิบชั้นก็ก่อตัวรอบๆ กระบี่ และส่งเสียงดังหวึ่งๆ
“ที่แท้ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางยี่สิบชั้นจำกัด คิดว่าคงเพียงพอสำหรับการเดินทางในครั้งนี้แล้ว”
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเปิดกล่องหยกอีกใบที่มีขนาดยาวด้วยความสงสัย ทันใดนั้น คลื่นความร้อนก็โจมตีเข้ามา กระบี่เล็กสีทองที่มีแสงไฟหมุนวนอยู่บนพื้นผิวพุ่งขึ้นด้านบนด้วยเสียงที่ดังกังวาน และลอยอยู่กลางอากาศ
หนังตาเขากระตุกไปทีหนึ่ง แต่ก็ยกแขนขึ้นมาอย่างเงียบๆ และปล่อยพลังใส่กระบี่เล็กสีทองกลางอากาศ
กระบี่เล็กสั่นสะท้าน จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา เปลวไฟสีทองปกคลุมกระบี่ทั้งเล่มไว้ ขณะที่เปลวไฟสีทองพวยพุ่ง มันก็ก่อตัวเป็นวิหคสีทองเล็กๆ เมื่อมันกระพือปีกทั้งสอง อุณหภูมิในห้องก็สูงขึ้นเกือบครึ่งหนึ่ง
จากนั้นเปลวไฟก็ค่อยๆ ดับลง “จิ๊บ!” อักขระสีทองจำนวนมากทะลักออกจากกระบี่เล็ก และก่อตัวเป็นค่ายกลอันพร่ามัว
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง หลังจากนับดูอย่างละเอียด ก็พบว่ามีมากถึงยี่สิบเก้าชั้นจำกัด สิ่งนี้ทำให้เขาใจเต้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
พอเขาทำท่ามือ กระบี่บินกลางอากาศทั้งสอง ก็พุ่งกลับเข้าไปในกล่องหยก “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
“ไม่ทราบว่ากระบี่บินทั้งสอง มีมูลค่าเท่าใด?” หลิ่วหมิงระงับความตื่นเต้นไว้ และกล่าวด้วยสีหน้าปกติ
“กระบินระดับกลางห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ กระบี่บินระดับสุดยอดแปดแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ หากคุณชายซื้อกระบี่จิตวิญญาณระดับสุดยอด กระบี่จิตวิญญาณระดับกลางเล่มนั้นก็จะมอบให้คุณชายไปเลย” หญิงสาวกล่าวอย่างไม่ลังเล
ความจริงแล้ว แปดแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณในสายตาหลิ่วหมิง นับว่าไม่แพงแต่อย่างใด เพราะกระบี่เล่มนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่นับว่าหาได้ยากมาก แต่ว่าวิชาที่เขาฝึกฝนไม่ใช่ธาตุไฟ และบนตัวเขาในตอนนี้ ก็ไม่มีหินจิตวิญญาณมากถึงขนาดนั้น
หลังจากพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ดันกล่องหยกที่ค่อนข้างยาวออกไปให้หญิงรูปร่างยั่วยวน และเก็บกล่องหยกที่ค่อนข้างเล็กกว่าไว้ จากนั้นก็หยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงที่อยู่ในถุงผ้าบนเอวให้นางห้าก้อน
“เหลียนเอ๋อร์ เก็บกล่องหยกกลับไปเถอะ!” หญิงรูปร่างยั่วยวนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รับกล่องหยกกับหินจิตวิญญาณไว้ และมอบให้กับสาวใช้ด้านข้างที่ชื่อว่าเหลียนเอ๋อร์
สาวใช้เดินมารับกล่องหยก และเดินตรงเข้าไปในห้อง
“ไม่ทราบคุณชายยังต้องการอะไรอีกบ้าง ให้ข้าน้อยช่วยได้หรือไม่?” ดูเหมือนนางจะไม่สนใจที่หลิ่วหมิงไม่ได้ซื้อกระบี่จิตวิญญาณระดับสุดยอด ยังคงกล่าวด้วยความกระตือรือร้น
“ศิษย์พี่ท่านหนึ่งได้ไหว้วานให้ข้ามาซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบ แต่ว่าร้านของท่านขายอาวุธจิตวิญญาณ คิดว่าคงไม่มีถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณขายใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงลูบจมูกแล้วกล่าวอกมาด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านั้นเขาได้เดินวนในตลาดไปรอบหนึ่งแล้ว ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับเดียวกับที่เขาใช้ในก่อนหน้านั้น มีขายตามแผงและร้านค้าต่างๆ ไม่น้อย แต่ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงนี้ เขาได้ถามไปหลายร้านแล้ว แต่กลับไม่มีเลย
“ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงขึ้นไป ในสถานที่แห่งนี้พบเห็นไม่มาก นับว่าคุณชายถามถูกคนแล้ว” หญิงรูปร่างยั่วยวนมองหลิ่วหมิงด้วยด้วยสีหน้าประหลาดใจ และกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หรือว่านอกจากที่นี่จะขายอาวุธจิตวิญญาณแล้ว แม่นางยังขายถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณด้วย?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่กลับไปไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา
“ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณที่ศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ส่วนมากใช้กัน ล้วนมาจากมือของพี่ชายข้า แต่โดยปกติแล้วพี่ชายข้าจะเก็บตัวอยู่ในถ้ำที่พักไม่ออกมา หากคุณชายต้องการจริงๆ ต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม”
“ไม่เป็นไร” หลิ่วหมิงจิบชาอีกคำ และเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน
หญิงสาวตบเอว และหยิบยันต์สีทองออกมาผืนหนึ่ง หลังจากร่ายคาถาออกมาแล้วก็ชี้ไปที่มัน
ยันต์สีทองลุกไหม้กลางอากาศ และแสงสีทองก็พุ่งออกจากหน้าต่างไป ครู่ต่อมายันต์ผืนนี้ก็กลายเป็นเถ้าธุลี
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดศิษย์สายนอกก็เดินขึ้นมา
“เสี่ยวเซียง ใครต้องการถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงอีก?”
“คือคุณชายท่านนี้” หญิงรูปร่างยั่วยวนรีบลุกขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยอยากซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบ ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่?” หลิ่วหมิงลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้เป็นศิษย์น้องผู้นี้” ชายรูปร่างสูงใหญ่เห็นว่าหลิ่วหมิงก็สวมชุดศิษย์สายนอกเช่นกัน เขาจึงเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม และดึงถุงหนังสีดำบนเอวสองใบโยนเข้ามาทันที
พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไปรับถุงหนังไว้ ก็พลันรับรู้ได้ถึงปราณหยินอันหนาแน่นที่พุ่งออกมา เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติของมัน ไม่ใช่สิ่งที่ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณของเขาจะสามารถเทียบได้ ลวดลายสีดำบนถุงก็ชัดเจนกว่ามาก
“ไม่ทราบว่าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณระดับสูงสองใบนี้ มีมูลค่าเท่าใด?” หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ และเอ่ยปากถามขึ้นมา
“ใบละหกหมื่นหินจิตวิญญาณ สองใบล่ะก็แสนเดียวก็พอ” ชายรูปร่างสูงใหญ่ตอบอย่างเบิกบานใจ
“ขอบคุณศิษย์พี่ท่านนี้มาก ข้ายังมีธุระอื่น ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงควักหินจิตวิญญาณระดับสูงให้หญิงรูปร่างยั่วยวนสิบก้อนแล้ว จากนั้นก็เดินลงหอไป
หลังจากหลิ่วหมิงไปได้ไม่นาน
“พี่สี่ ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบละหกหมื่นหินจิตวิญญาณ ใยต้องขายให้คนผู้นี้สองใบหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ?” หญิงสาวรูปร่างยั่วยวนถามขึ้นเบาๆ ด้วยตาที่เป็นประกาย
“น้องหญิงพูดเองไม่ใช่หรือว่า คนผู้นี้คือคนที่ขายวัสดุธาตุไฟในก่อนหน้านั้น? ตามที่ข้าทราบมา ในระยะนี้สาขาใหญ่ทั้งแปดของนิกายได้ทำการทดสอบเบื้องต้น สถานที่ก็คือแดนอบอ้าว ทั้งยังดูเหมือนว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในนั้น มีผู้คนเสียชีวิตกว่าครึ่งหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และคนผู้นี้ไม่เพียงแต่มีชีวิตรอดกลับมา แต่ยังได้วัสดุกลับมามากมายเช่นนี้ คิดว่าคงไม่ใช่ศิษย์สายนอกธรรมดาๆ คนหนึ่ง” ชายรูปร่างสูงใหญ่กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ข้าเองก็คิดว่ามันแปลกๆ เหมือนกัน คิดว่าคนผู้นี้คงซื้อถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณไว้ใช้เองแล้ว” หญิงรูปร่างยั่วยวนแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา
“อย่างไรซะ พวกเราผูกมิตรกับผู้ที่มีพลังแฝงเช่นนี้ไว้ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร”
……
ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้เดินออกไปไกลแล้ว ย่อมไม่รับรู้เรื่องราวที่สองพี่น้องคู่นี้พูดคุยกัน
เขาซื้อยันต์กับโอสถธาตุไฟจากแผงร้านค้าสองสามแห่ง จากนั้นก็ออกจากตลาด และขี่เมฆดำกลับไปยังถ้ำที่พัก
…………………………………