ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 508 บ่อเย็น
พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พัก ก็ตรงไปยังห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เมื่อเหยียบเท้าเข้าไปในห้องลับ ก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวทันที จากนั้นไอดำก็ม้วนตัวออกมา หลังจากไอหมอกพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง แมงป่องกระดูกสีเงินที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ก็กระโดดขึ้นบนไหล่ของเขา
“นายท่าน…….” เสียงอ่อนนุ่มของแมงป่องกระดูกดังขึ้นข้างหนู
หลิ่วหมิงลูบหลังมันเบาๆ จากนั้นก็วางถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบเดิมลงพื้น เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว และแตะมันเบาๆ ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนถุงปรากฏออกมา และเปล่งประกายเล็กน้อย จากนั้นไอเย็นสะท้านก็ม้วนตัวออกมา
เขาโยนถุงหนังใบหนึ่งที่ซื้อมาใหม่ขึ้นไปบนอากาศในทันที ขณะเดียวกัน ท่ามือของเขาก็เปลี่ยนไป ลวดลายค่ายกลบนถุงหนังสีดำเปล่งประกายออกมา แรงดึงดูดมหาศาลม้วนตัวออกจากปากถุง
ปราณหยินบริเวณนั้นค่อยๆ รวมตัวเข้าด้วยกัน และทะลักเข้าไปในถุงหนัง
ไม่นาน ปราณหยินในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบเก่าก็ถูกกวาดไปจนหมดเกลี้ยง และพอหลิ่วหมิงโบกมือไปทางอากาศ ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่ก็ลอยเข้ามาในมือ
หลิ่งหมิงสื่อสารกับแมงป่องกระดูกสองสามประโยค จากนั้นก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญานหนึ่งที แมงป่องกระดูกหมุนตัวติ้วๆ จนกลายเป็นไอหมอกดำและม้วนตัวเข้าไปในถุง
“นายท่าน…ถุง…ใบใหม่…สบายจังเลย” มีน้ำเสียงอ่อนนุ่มของเด็กสาวดังขึ้นข้างหู มีความดีใจในน้ำเสียงอย่างปิดไม่มิด
“ดีมาก! เจ้าคิดว่ามันเหมาะกับเจ้าก็ดีแล้ว”
หลังจากหลิ่วหมิงมั่นใจว่าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบใหม่เหมาะสมกับแมงป่องกระดูกแล้ว เขาก็นำถุงหนังไว้บนเอวด้วยความสบายใจ และนั่งขัดสมาธิลงไป จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบกล่องหยกออกมาใบหนึ่ง พอยื่นนิ้วไปแตะมันก็เกิดเสียงดัง “ฟู่!”
ฝากล่องเปิดออกมา กระบี่เล็กสีแดงพุ่งออกจากในนั้น และลอยอยู่บนอากาศเหนือค่ายกลที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบนิ้วดีดพลังใส่กระบี่เล็กสีแดงไม่หยุด
กระบี่เล็กสีแดงกลางอากาศสั่นสะเทือนทันที อักขระสีแดงจำนวนมากลอยออกมา ทั้งยังส่งเสียงระเบิดออกมาอย่างไม่ขาดสาย และกลายเป็นสะเก็ดไฟกระเด็นไปทั่วทิศ
กระบี่เล็กสีแดงค่อยๆ หมุนวนท่ามกลางแสงไฟ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงตะคอกเสียงออกมา และหยุดทำท่ามือ เปลวไฟลุกไหม้บนผิวกระบี่จิตวิญญาณสีแดงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ และชั้นจำกัดแรกบนกระบี่ ก็ชัดเจนขึ้นมาเป็นอย่างมาก
เนื่องจากระดับการฝึกฝนที่สูงขึ้น ทั้งยังมี ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ อยู่ในมือ จึงช่วยลดเวลาในการปรับแต่งอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่มีแค่ยี่สิบชั้นจำกัดลงไปได้มาก
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ปรับแต่งชั้นจำกัดทั้งยี่สิบชั้นของอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางชิ้นนี้เสร็จ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ กระบี่จิตวิญญาณสีแดงก็หมุนตัวติ้วๆ และพุ่งกลับมาในมือ
หลิ่วหมิงเก็บกระบี่เล็กสีแดงด้วยสีหน้าพอใจ และเดินออกไปจากห้องลับ
หลังจากพักผ่อนไปซักพักแล้ว เขาก็ออกไปจากถ้ำที่พัก เมฆดำใต้เท้าพยุงตัวเขาขึ้นมา และทะยานไปยังสถานที่ที่นัดหมายเอาไว้กับจินอวี้หวน
……
วันที่สอง ท้องยังมืดสลัวๆ ยังไม่ทันสว่าง ทั่วทั้งเทือกเขาหมื่นวิญญาณล้วนเงียบสงัด
บนยอดเขาลูกหนึ่ง หญิงวัยกลางคนสวมชุดสีขาวที่มีใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย กำลังมองซ้ายมองขวา หลังจากนั้นก็ไปจากถ้ำที่พัก และเหยียบเมฆพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
หลายชั่วยามต่อมา ท่ามกลางหมู่ยอดเขาที่อยู่ห่างเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปร้อยกว่าลี้ หญิงวัยกลางคนร่อนลงไปในยอดเขาค่อนข้างเตี้ยที่สูงไม่กี่สิบจั้ง
บนยอดเขาในขณะนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ทันใดนั้น หางตาของชายหนุ่มก็กระตุกเล็กน้อย และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา หลังจากมองดูหญิงวัยกลางคนตรงหน้าทีหนึ่งแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คิดไม่ถึงว่าวิชาแปลงโฉมของแม่นางจินจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ข้าน้อยนับถือ!”
“ศิษย์พี่หลิ่วชมเกินไปแล้ว ท่านยังคงดูออกอย่างง่ายดาย” หญิงวัยกลางคนยิ้มออกมา และทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นก็เอามือถูศีรษะ ไอหมอกสีขาวทะลักออกมา หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ปกคลุมร่างของนางไว้
พอไอหมอกค่อยๆ สลายไปแล้ว หญิงวัยกลางคนก็กลายเป็นหญิงสาวใบหน้าสวยสดงดงามนามหนึ่ง ซึ่งก็คือจินอวี้หวนนั่นเอง
ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้นั้น ย่อมเป็นหลิ่วหมิงที่มารออยู่ก่อนแล้ว
“ผู้ที่มาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ในเวลานี้ ย่อมมีแค่แม่นางจินเท่านั้น” หลิ่วหมิงได้ยินก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา
“รบกวนศิษย์พี่ที่ให้รอนานแล้ว” จินอวี้หวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แม่นางจินไม่ต้องเกรงใจ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
พอจินอวี้หวนตบถุงหนังบนเอว ไอหมอกสีเทาก็ม้วนตัวออกมา ตามด้วยเสียงร้องแหลม จากนั้นมันก็กลายเป็นวิหคน้อยสีเทาที่มีขนาดฉื่อกว่าๆ
นางคว้ามือไปกลางอากาศ
วิหคน้อยกระพือปีกทั้งคู่ ทำให้ร่างของมันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า และกลายเป็นอินทรียักษ์สีเทาขนาดใหญ่หลายจั้ง ทั้งยังมีลวดลายสีขาวแปลกประหลาดปกคลุมไปทั่วพื้นผิว
หลังจากทั้งสองขึ้นไปบนหลังอินทรียักษ์แล้ว จินอวี้หวนก็ตบสันหลังมันเบาๆ อินทรียักษ์กางปีกทั้งคู่ และทะยานขึ้นฟ้า ก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำ พุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
……
ในเวลาเดียวกัน ภายในถ้ำที่พักที่อยู่บนยอดเขาสีขาวหิมะแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ ยอดเขาแห่งนี้ตั้งตรงราวกับใบมีดขนาดยักษ์
ชายหนุ่มหน้าตอบปากแหลมกับชายตัวเตี้ยที่เคยปรากฏตัวในตลาด และเคยข่มขู่จินอวี้หวน กำลังรายงานอะไรบางอย่างให้กับชายหนุ่มชุดผ้าแพรที่มีใบหน้าแคบยาว
“ศิษย์พี่ซา วันนี้มีคนเห็นศิษย์น้องจินออกจากถ้ำที่พักแต่เช้าอย่างกระทันหัน จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้กลับไป เรื่องนี้จะต้องมีลับลมคมในอย่างแน่นอน ควรส่งคนไปหาหรือไม่?” ชายหนุ่มหน้าตอบปากแหลมประสานมือคารวะ และกล่าวกับชายหนุ่มชุดผ้าแพร
“ไม่ต้องแล้ว ข้ารู้ว่านางไปที่ใด เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องยุ่ง” ชายหนุ่มชุดผ้าแพรนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องโถงใหญ่ เขากำลังลูบไล้แหวนบนมือ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อศิษย์พี่ได้ตัดสินใจแล้ว พวกข้าก็จะไม่รบกวนแล้ว” ชายหนุ่มปากแหลมแก้มตอบกับชายตัวเตี้ยโค้งตัวคารวะ และถอนออกไป
ชายหนุ่มชุดผ้าแพรนั่งคิดใคร่ครวญอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ จากนั้นก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้น เขาก็ลุกเดินออกไปจากถ้ำที่พัก แสงสีเขียวม้วนออกจากตัว และกลายเป็นสายรุ้งกระบี่สีเขียวพุ่งทะยานขึ้นฟ้า
……
สิบกว่าวันต่อมา หลิ่วหมิงกับจินอวี้หวนมาปรากฏตัวตรงหน้าภูเขาตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าลูกหนึ่ง พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีต้นไม้สีเขียวแก่แปลกประหลาดปกคลุมเต็มภูเขา แลดูมืดครึ้มน่ากลัวเล็กน้อย
ไม่นาน ทั้งสองก็ขี่อินทรียักษ์ข้ามภูเขาใหญ่ไป ทันใดนั้นหุบเขาแคบยาวแห่งหนึ่งก็ปรากฏตรงด้านล่าง
จินอวี้หวนยกแขนข้างหนึ่งขึ้น และปล่อยยันต์สีเหลืองออกมา หลังจากมันค่อยๆ โบกสะบัดกลางอากาศแล้วก็ระเบิดอออกมา จนเกิดเสียงดังก้องไปทั่วหุบเขา
เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา ชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวสองคนก็เหาะขึ้นมาจากหุบเขา
“คุณหนู ท่านมาแล้ว ท่านนี้คือ……” พอชายสองคนเห็นการมาของจินอวี้หวนก็รู้สึกดีใจมาก แต่พอเห็นว่ามีหลิ่วหมิงอยู่ข้างๆ ก็มีท่าทีระมัดระวังขึ้นมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ใช้พลังจิตกวาดดูคร่าวๆ ชายทั้งสองต่างก็มีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณ ทันใดนั้นเขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรออกมา แต่กลับหลับตาพักผ่อนอยู่บนหลังอินทรียักษ์
“ท่านนี้คือศิษย์พี่หลิ่ว ครั้งนี้จะมาช่วยข้าทำเรื่องบางอย่าง พวกเจ้าทั้งสองดูแลหุบเขามาโดยตลอด ช่วงนี้มีคนเข้ามาหรือไม่?” จินอวี้หวนเอ่ยปากถามออกมา
“เรียนคุณหนู ตั้งแต่ท่านจากไปในครั้งนั้น ยังไม่เคยมีคนเข้ามาเลย” ชายที่มีตาเป็นรูปสามเหลี่ยมกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเจ้าทั้งสองดูแลทางเข้าหุบเขาต่อไป อย่าให้คนแปลกหน้าเข้ามา หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็รีบส่งเสียงแจ้งข้าโดยเร็ว” จินอวี้หวนกำชับไปสองสามประโยค จากนั้นก็ตบหลังอินทรียักษ์และพาหลิ่วหมิงบินเข้าไป
ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงตามหญิงผู้นี้เข้าไปในหุบเขา จากนั้นอินทรียักษ์ก็ร่อนลงบนเนินสูงในพื้นที่ราบเรียบแห่งหนึ่ง
“พี่หลิ่ว พวกเรามาถึงแล้ว” จินอวี้หวนหันมากล่าว จากนั้นก็กระโดดลงจากหลังอินทรียักษ์
พอหลิ่วหมิงขยับตัว ก็มาปรากฏตัวข้างๆ หญิงผู้นี้อย่างไร้สุ้มเสียง
พอจินอวี้หวนโบกแขนเสื้อ อินทรียักษ์ก็ส่งเสียงดังกังวาน และกลายเป็นไอหมอกเทาม้วนตัวเข้าไปในถุงหนังบนเอวของนาง
จากนั้นนางก็พาหลิ่วหมิงเดินไปยังหน้าผาที่อยู่บริเวณเนินสูง และพอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ก็มีจี้หยกห้อยเอวปรากฏออกมา และนางก็โบกไปทางผนังหินสีดำ
แสงสีฟ้าเปล่งประกายบนหน้าผา จากนั้นก็มีเสียง “โครมคราม!” ดังมาจากด้านใน
ถ้ำหินขนาดใหญ่ที่สูงหลายจั้งปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิงทั้งสอง ไอเย็นม้วนตัวออกมาจากด้านใน ปากถ้ำถูกม่านแสงสีฟ้าจางๆ ปกคลุมไว้
จินอวี้หวนที่อยู่ข้างๆ หยิบยันต์สีแดงออกมาอย่างไม่รีบร้อน หลังจากขยี้แล้ว ก็นำมาแปะไว้บนตัว จากนั้นม่านแสงสีแดงก็ห่อหุ้มร่างของนางไว้ มีเปลวไฟหมุนวนอยู่บนพื้นผิวรำไร และแผ่ไออุ่นออกมา
หลิ่วหมิงยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่มีการกระทำใดๆ สำหรับการฝึกฝนระดับเขาแล้วไอเย็นแค่นี้ ไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจ
จินอวี้หวนเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว นางทำท่ามือด้วยมือเดียวแล้วแตะม่านแสงสีฟ้าเบาๆ จากนั้นแสงสีขาวลำหนึ่งก็กระพริบผ่านไป
ม่านแสงสีฟ้ากระพริบสองสามที ก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ศิษย์พี่หลิ่ว พวกเราไปกันเถอะ!”
หญิงสาวพูดออกมาเบาๆ จากนั้นก็เดินเข้าไปในถ้ำ หลิ่วหมิงมองดูรอบด้านทีหนึ่ง และเดินตามเข้าไปอย่างไม่รีบร้อน
พอทั้งสองเหยียบเข้าไปในถ้ำ ม่านแสงสีฟ้าด้านหลังก็กระเพื่อม และปรากฏออกมาอีกครั้ง
ถ้ำที่เดิมทีควรจะเป็นสีดำวาว แต่เป็นเพราะชั้นน้ำแข็งแวววาวบนผนัง พอแสงส่องสะท้อนลงมามันก็สว่างไสว และหินย้อยบนเพดานถ้ำ ก็กลายเป็นแท่งน้ำแข็งอันแหลมคมตั้งนานแล้ว และร่วงลงมาเป็นระยะๆ “เพล้งๆ!”
ภายในถ้ำนอกจากจะมีหินยักษ์สีเทาจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีหญ้าขึ้นเลยแม้แต่ต้นเดียว ยิ่งลึกเข้าไป ไอเย็นก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น และมีพายุกำลังแรงพัดเข้ามาเป็นระยะๆ ทำให้รู้สึกหนาวเย็นไปถึงกระดูก
จินอวี้หวนหันมาดูทีหนีง หลิ่วหมิงยิ้มให้นางเล็กน้อยเพื่อบ่งบอกว่าไม่เป็นไร จากนั้นทั้งสองก็เข้าไปด้านในต่อ
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งมื้อข้าว ทั้งสองก็มาถึงภายในถ้ำขนาดใหญ่ และพื้นที่ส่วนใหญ่ของถ้ำ ถูกครอบครองโดยบ่อน้ำสีดำวาวที่มีขนาดหมู่กว่าๆ
ผนังรอบด้านถูกชั้นน้ำแข็งหนาๆ ปกคลุมตั้งแต่แรกแล้ว และเปล่งแสงแวววาวออกมา
และด้านบนบ่อก็มีไอหมอกสีดำลอยอยู่จางๆ มีชั้นน้ำแข็งบางๆ ปรากฏอยู่บนพื้นผิว ลมเย็นสะท้านพัดผ่านเบาๆ ไอน้ำคละคลุ้งกับไอหมอกดำจำนวนหนึ่งโผเข้ามาปะทะใส่หน้า และกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บนตัวพวกเขาทั้งสอง
ม่านแสงสีแดงของจินอวี้หวนถูกเกล็ดน้ำแข็งปะทะใส่จนสั่นสะท้านเบาๆ แสงไฟด้านนอกม่านแสงก็ติดๆ ดับๆ จนม่านแสงค่อยๆ มืดลง
……
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ภายนอกหุบเขา
พลันมีเสียงดังมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พอลำแสงดับลง รถเหาะสามเหลี่ยมสีขาวสะอาด ก็หยุดอยู่บนอากาศเหนือทางเข้าหุบเขา
บนรถเหาะ ชายหนุ่มชุดผ้าแพรกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนนั้น และมองลงด้านล่างด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
…………………………………