ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 51 ชัยชนะ
ผิวภายนอกของแผ่นไม้ทั้งสองดูมันวาวเป็นพิเศษ และมีอักขระจิตวิญญาณสีดำสลักอยู่ ขอบรอบด้านกลับมีเชือกเส้นเล็กเป็นจำนวนมากผูกติดแน่นกับร่างของเด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมอง
และตรงที่คมวายุฟันลงไปก็มีแค่รอยลึกชุ่นกว่าๆ สองรอยอยู่บนแผ่นไม้ ไม่สามารถฟันมันให้ขาดออกจากกันได้
หลิ่วหมิ่งเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ไม่ประสบผลสำเร็จ
ฝ่ามือข้างหนึ่งของจินอวี่ตบลงไปบนแผ่นไม้ตรงหน้าอก
เสียงดัง “ตุ้บ!”
แผ่นไม้สองแผ่นที่ดูเหมือนจะเป็นแผ่นไม้ธรรมดา พลันเปลี่ยนรูปร่างขยายยาวเหยียดออกไป พริบตาเดียวก็กลายเป็นเกราะไม้ง่ายๆ ปกคลุมร่างกายท่อนบนของเขาไว้ไม่ให้ได้รับอันตราย
“ท่านยังพูดว่านี่ไม่ใช่เกราะกลนักรบที่พวกท่านมอบให้” จูชื่อเห็นเช่นนี้ก็บันดาลโทสะขึ้นมาทันที
“นี่ไม่ใช่สิ่งของที่พวกข้ามอบให้จริงๆ เรื่องนี้พวกข้าสาบานได้ และเกราะกลกระจกพิทักษ์นี้หลังจากเปลี่ยนแปลงแล้วก็ยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ยังห่างชั้นจากเกราะกลนักรบมากนัก จุ๊ๆ! เจ้าเด็กอวี่เอ๋อร์ผู้นี้สามารถสร้างเครื่องมือกลจิตวิญญาณที่ซับซ้อนเช่นนี้ได้แล้ว” ผู้อาวุโสรีบอธิบายไปสองสามประโยค และกล่าวด้วยความปลื้มปีติยินดี
ต้าซั่งก็แสดงสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก
ราวกับว่าการแสดงออกของจินอวี่ก็เกินว่าที่พวกเขาคาดหมายไว้มาก
พอได้ยินพวกเขาทั้งสองกล้าสาบานออกมาเช่นนี้จูชื่อก็ชะงักไปพักหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร
จินอวี่ที่ถูกแผ่นไม้ปกคลุมอยู่ตอนนี้ เขาใช้มือแตะไปยังหน้าผาก พลิกมืออีกข้างขึ้นมา กระบองสั้นขนาดเท่าหิ้วหัวแม่มือก็โผล่ออกมา เขาพุ่งโจมตีไปข้างหน้าสองครั้ง
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
ลำแสงสีเขียวพุ่งออกจากกระบองสั้นไปยังด้านหน้าของหลิ่วหมิง
มันคือตะปูไผ่ยาวชุ่นกว่าๆ จำนวนสองเล่ม แสงสีเขียวที่สะท้อนออกมาดูแปลกประหลาดมาก
และในขณะเดียวกัน หุ่นตั๊กแตนแสงเขียวที่อยู่กลางอากาศก็กระพือปีกส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา แล้วพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” หลิ่วหมิงยกโล่แสงในมือขึ้นตะปูไผ่สองเล่มก็ถูกสกัดเอาไว้ได้ และพริบตาเดียวมันก็ระเบิดออกมา
ของเหลวสีขาวระเบิดพุ่งขึ้นไปบนอากาศ พอมันเกาะตัวกันแล้วก็กลายเป็นตาข่ายสีขาวๆ ตกลงมา
“วิชาใยแมงมุม”
หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้าน รีบร่ายคาถา แล้วทำท่ามือด้วยมือเดียว ลูกไฟสีแดงลูกหนึ่งก็พุ่งโจมตีไปยังตาข่ายสีขาว ระเบิดเป็นเปลวเพลิง
แต่ฉากที่ทำให้เขาตกใจก็ปรากฏขึ้น
ตาข่ายที่เดิมทีคิดว่าโดนเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า แต่กลับไม่มีความเสียหายใดๆ เลย ทั้งยังค่อยๆ กระเพื่อมจนเปลวไฟมอดดับลงแล้วร่วงลงมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงหน้าเปลี่ยนสี รีบเปลี่ยนท่ามือ พลันปรากฏคลื่นเคลื่อนไหวอยู่บนศีรษะเขา ควันสีเทาปรากฏขึ้นและรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆก้อนใหญ่ขนาดจั้งกว่าๆ
นี่คือวิชาทะยานเวหาที่ศิษย์จิตวิญญาณแต่ละคนต่างก็ใช้เป็น
พอตาข่ายสีขาวปกคลุมลงมา ก็ถูกก้อนเมฆสีเทาค้ำยันไว้ จนไม่สามารถตกลงมาได้
ฉากนี้ไม่เพียงแต่จินอวี่ที่ตกตะลึงเท่านั้น แม้แต่จูชื่อ ต้าจือ และคนอื่นๆ ที่อยู่นอกวงกลมก็ชำเลืองมองกันอย่างอดไม่ได้
ใช้วิชาทะยานเวหาในการป้องกันตัว แม้แต่พวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
แต่ช่วงที่หลิ่วหมิงกำลังยุ่งอยู่นี้ หุ่นตั๊กแตนตัวนั้นกลับพุ่งเข้ามายังข้างตัวเขา แขนทั้งสองที่คมราวกับคมมีดกลายเป็นลำแสงเย็นสะท้านสิบกว่าลำผ่าลงไป
“ฟู่!”
หลิ่วหมิงสะบัดแขนข้างที่สวมห่วงทองเหลืองไปทางหุ่นตั๊กแตน พริบตาเดียวโล่แสงก็หายไป แทนที่ด้วยหัวพยัคฆ์สีเหลืองโผล่ออกมา มันอ้าปากพ่นคลื่นเสียงสีขาวโพลน
เสียงดัง “ตู้ม!”
แม้ว่าแขนของหุ่นตั๊กแตนจะคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ถูกโจมตีด้วยคลื่นเสียงในระยะกระชั้นชิดเช่นนี้ก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้ มันถูกโจมตีจนต้องถอยออกไปหลายก้าว
แต่ครู่ต่อมามันก็พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
ภายใต้ใบหน้าที่เคร่งขรึมของหลิ่วหมิง เขากระตุ้นพลังเวทย์จนหัวพยัคฆ์พ่นคลื่นเสียงออกมาโจมตีจนหุ่นตั๊กแตนถอยออกไปอีกครั้ง
น่าเสียดายที่การโจมตีของคลื่นเสียงนี้ถึงแม้จะลี้ลับมหัศจรรย์มาก แต่ด้วยระยะห่างทำให้พลังค่อนข้างเบาบาง ถึงแม้จะโจมตีเป้าหมายติดกันสองครั้ง หุ่นตั๊กแตนกลับดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย แต่ภายใต้การควบคุมของจินอวี่มันกลับพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่า จินอวี่รู้ว่าอาวุธอาญาสิทธิ์อย่างห่วงเขี้ยวพยัคฆ์นี้ ถึงแม้จะใช้เวลาน้อยในการเปิดใช้งาน แต่ก็ใช้พลังภายในเป็นจำนวนมาก ต่อให้เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางก็ไม่สามารถใช้อาวุธชนิดนี้โจมตีได้นาน
หลิ่วหมิงย่อมรู้เรื่องนี้ดีเช่นกัน หลังจากโจมตีจนหุ่นตั๊กแตนถอยออกไปอีกครั้งแล้ว เขาคำรามออกมาในทันที เท้าเล็กๆ ทั้งสองพลันขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว และกระทืบลงพื้นอย่างแรงแล้วร่างของเขาก็พุ่งเข้าหาจินอวี่ราวกับลูกศร
อาศัยพลังจากเคล็ดวิชากระดูกดำบวกกับวิชาตัวเบาที่ใช้ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์สำแดงออกมา และใช้เคล็ดวิชาปลุกพลังศักยภาพ ความรวดเร็วในระดับนี้ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับหุ่นตั๊กแตนแสงเขียวแต่ก็ด้อยกว่ากันไม่มาก
ขณะที่หุ่นตั๊กแตนกำลังพักฟื้น แล้วคิดที่จะไล่กวดอีกครั้งมันก็สายเกินไปเสียแล้ว
แต่จินอวี่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยไม่หลบหลีกแต่อย่างใด เขาแค่กระตุกข้อมือ กระบองสั้นก็เปล่งประกายแสงออกมา ตะปูไผ่อีกสองเล่มพุ่งยิงไปทางหลิ่วหมิงอีกครั้ง
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
หลิ่วหมิงยกมือทั้งสองขึ้น เส้นสีขาวสองแท่งพุ่งยิงออกจากมือของเขา ไปปะทะกับตะปูไผ่สีเขียวทั้งสองจนกระเด็นออกไป
เส้นสีขาวของแท่งนั้น มันเกิดขึ้นมาจากการแสดงวิชาศรวารีนั่นเอง
ขณะนี้หลิ่วหมิงอยู่ห่างจากจินอวี่ไม่เกินสามสี่จั้ง ทำท่ามือด้วยมือเดียวพร้อมกับร่ายคาถาคมวายุเส้นหนึ่งก่อตัวขึ้นบนมือของเขา
จินอวี่เห็นเช่นนี้ก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง แล้วโยนกระบองสั้นในมือออกไป เขาเอามือคว้าไปที่เอว หยิบกระบอกโลหะขนาดใหญ่เท่าแขนออกมา และหันปากกระบอกสีดำไปทางฝ่ายตรงข้าม
ถึงแม่หลิ่วหมิงจะไม่ทราบว่าในกระบอกนี้มีอะไร แต่จากประสบการณ์การฝึกฝน กับการเผชิญหน้ากับความเป็นความตายที่ผ่านมา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะมาถึง
เขาตบไปยังหน้าอกทันทีโดยไม่ต้องต้องคิด จุดแสงสีดำสามจุดประกายออกมา โล่สีดำมืดก็ปรากฏขึ้น
และเกือบจะในเวลาเดียวกัน กระบอกในฝั่งตรงข้ามก็มีอักขระสีแดงปรากฏขึ้นมา มันพ่นเพลิงอันคุโชนมายังหลิ่วหมิง พริบตาเดียวหลิ่วหมิงก็จมอยู่ในกองเพลิงนั้น
และตอนที่เปลวไฟพ่นออกมานั้น ลูกกลมๆ สีดำลูกหนึ่งก็กลิ้งออกมาบนมือของจินอวี่ นิ้วมือหนึ่งแตะไปยังหน้าผาก ก็มีเสียงดังเปรี๊ยะ! กลายเป็นหุ่นเต่ายักษ์ขนาดสูงเท่ากับครึ่งหนึ่งของคน
พอเต่ายักษ์พลิกตัวลุกขึ้นมาก็ดูเหมือนโล่สีดำบังอยู่ด้านหน้าของเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และตบลงไปบนหลังเต่ายักษ์อย่างรวดเร็ว
เสียงดังปัง!
รูเล็กๆ หลายสิบรูโผล่บนกระดองหนาของมัน หลังจากที่มีเสียงดังออกจากในนั้น ลูกศรเหล็กหลายสิบลูกพุ่งออกมาราวกับสายฝนกระหน่ำ มันโจมตีครอบคลุมภายในรัศมีหลายจั้ง
ผู้ที่ยืนชมอยู่นอกวงกลมอย่างต้าจื้อ ต้าซั่ง เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที แต่ภายในจิตใจของจูชื่อกับนักพรตจงกลับรู้สึกหนักอึ้ง
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
เงาร่างหนึ่งที่อยู่ในท่ามกลางเปลวเพลิงพุ่งออกมาด้านข้าง พริบตาเดียวก็หลบการโจมตีของลูกศรเหล็กได้ และเปลี่ยนทิศทางโดยใช้พลังไร้รูปบางอย่าง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาจินอวี่อย่างรวดเร็วโดยไม่มีใครคาดถึง
ฉากที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดนี้ ทำให้เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบหมุนตัว และคิดหาวิธีป้องกันตัวแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว
เขาเพิ่งจะหมุนตัวได้ครึ่งเดียว ทันใดนั้นลมก็พัดผ่านมายังใบหู ไหล่ทั้งสองหนักอึ้ง ฝ่ามือที่เปล่งประกายแสงสีเขียวทั้งสองวางทาบอยู่บนนั้น ในขณะเดียวกันก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้นมา
“อย่าขยับ ถ้าขยับข้าจะตัดหัวของเจ้า”
ในระหว่างฝ่ามือทั้งสองนั้น มีคมวายุเปล่งประกายอยู่ด้วย
จินอวี่รู้สึกตกใจจนหน้าเขียว
ถึงแม้เขาจะมีเกราะกลกระจกพิทักษ์ป้องกันตัว แต่ตรงคอกลับไม่มีอะไรป้องกันแม้แต่น้อย และตอนนี้กลับมีคมวายุมาจ่ออยู่ต่อให้เก่งกาจแค่ไหนก็ไม่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังคงค่อยๆ หันหน้ากลับมามองคู่ต่อสู้ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายอันดุร้าย
ชุดสีเขียวอ่อนที่หลิ่วหมิงสวมตอนนี้ ได้กลายเป็นสีเทาแล้ว บนร่างกายอบอวลไปด้วยกลิ่นไหม้ มีแผลผุพองแดงตรงต้นคอ ข้อมือและบริเวณอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าโดนเปลวเพลิงเผาไปไม่ใช่น้อย แต่ยังคงมองดูจินอวี่ด้วยรอยยิ้ม
ตอนที่เด็กหนุ่มสีหน้าหม่นหมองกวาดสายตามองไปยังด้านล่าง ก็รู้สึกตัวขึ้นอย่างฉับพลัน
โซ่สีดำพันอยู่ที่ขาข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง โดยไม่รู้ว่าพันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ส่วนปลายอีกด้านกลับปักลงไปบริเวณที่เขายืนอยู่ ซึ่งไม่รู้ว่าปักลึกลงไปเท่าไหร่
การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อครู่ และสามารถเปลี่ยนทิศทางมาหาเขาอย่างเร็วนั้น เห็นได้ชัดว่าอาศัยพลังจากโซ่สีดำเส้นนี้
แต่คู่ต่อสู้นำโซ่มาวางไว้ใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้น เขากลับไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย
“วางแผนได้ดีมาก แต่ถ้าต่อสู้กันซึ่งๆ หน้าเจ้าย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอย่างแน่นอน” จินอวี่จ้องมองหลิ่วหมิงและกล่าวออกมาทีละคำ
“ต่อสู้กันซึ่งหน้า? ถ้าข้ามีสิ่งของเครื่องกลมากขนาดนี้ และมีหุ่นอีกสามตัวคอยช่วยก็อาจจะรับไว้พิจารณา” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าๆ ชงเทียน เจ้าทำได้ดีมาก ช่างไม่ทำให้ข้าสองคนผิดหวังจริงๆ สหายทั้งสอง ต้าจื้อ ต้าซั่ง รอบนี้จะว่าอย่างไร?” จูชื่อเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างระงับอาการตื่นเต้นดีใจไม่อยู่
นักพรตจงที่อยู่ด้านข้างก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! แพ้ก็คือแพ้ หรือว่าสหายจูกลัวพวกข้าจะกลับคำหรือ? อวี่เอ๋อร์ กลับมาเถอะ! ศิษย์ของเจ้าคนนี้มีแผนการนับร้อย พวกเจ้าได้เมล็ดพันธุ์ที่ดีแล้วล่ะ” ต้าจื้อกล่าวด้วยสีหน้าที่ดูหงุดหงิด
จินอวี่พ่ายแพ้การประลองในครั้งนี้นับว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องของเดิมพัน…” จูชื่อถามอย่างไม่ต้องคิด
“ผลจิตวิญญาณทั้งหมดนี้เป็นของพวกเจ้า ส่วนเหล็กบริสุทธิ์ร้อยชั่งนั้นกลับไปพวกข้าทั้งสองจะให้ศิษย์นำไปส่งให้” ดูเหมือนต้าจื้อจะกัดฟันกล่าวออกมา ต้าซั่งเองก็ปิดปากเงียบราวกับน้ำท่วมปาก
“ฮ่าๆ ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณท่านทั้งสองเป็นอย่างมาก” จูชื่อได้ยินก็กล่าวด้วยความดีใจ
“แต่สหายทั้งสองควรจะบอกพวกเราได้แล้วว่าทำไมถึงอยากได้ผลหยกสวรรค์ขนาดนี้” นักพรตจงถามด้วยแววตาเป็นประกาย
……………………………………….