ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 512 เข้าสู่บ่อเย็น
เกิดเสียงดัง “เปาะแปะๆ!”
แท่งน้ำแข็งจำนวนมากโจมตีลงบนร่มคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะเพิ่มพลังเวทเข้าไปมากแค่ไหน ร่มคุ้มกันก็มืดลงอย่างรวดเร็ว และเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง
ที่แย่ที่สุดก็คือ แสงสีฟ้าที่เปล่งออกมาจากธงค่ายกลเป็นธาตุน้ำ พอมันเผชิญกับแท่งน้ำแข็งที่มีไอเยือกเย็นเช่นนี้ ก็ถูกความเย็นรุกรานจนค่อยๆ เกาะตัวเป็นน้ำแข็งและร่วงลงมา
“เปรี๊ยะ!” ร่มคุ้มกันแตกออกมาราวกับใยแมงมุม
จินอวี้หวนมีหน้าซีดขาวจนถึงขีดสุด
ขณะนั้นเอง แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา ม่านทรายทองคำร่วงปรากฏอยู่ตรงหน้าหญิงสาว และต้านทานการโจมตีของแท่งน้ำแข็งไว้ได้อย่างกระทันหัน
จากนั้นก็มีเงาร่างปรากฏตรงหน้าหญิงสาวในพริบตา พองอนิ้วออกไป ม่านทรายทองคำก็รวมตัวเป็นมือยักษ์สีทอง หลังจากคว้าออกไปติดต่อกันจนกลายเป็นเงา แท่งน้ำแข็งที่เหลือก็ถูกทำลายลง และตกลงมาเป็นสายฝน
“ขอบคุณศิษย์พี่หลิ่ว!”
พอจินอวี้หวนมองเห็นคนตรงหน้า นางก็รีบกล่าวด้วยความดีใจ
หากหลิ่วหมิงมาไม่ทัน ต่อให้นางจะไม่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ แต่ก็คงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
หลิ่วหมิงไม่ได้ตอบอะไรจินอวี้หวน แต่หลังจากเผยแววตาเฉียบขาดออกมาแล้ว ก็กระตุ้นทรายทองคำร่วงต้านทานฝนน้ำแข็ง ขณะเดียวกัน ก็กระตุ้นเคล็ดกระบี่อยู่ไม่หยุด
กระบี่บินสีแดงกลางอากาศพร่ามัวกลายเป็นสายรุ้งอันน่าสะพรึงก่อนที่จะม้วนตัวออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียว ก็มาอยู่เหนือหัวตัวไหมน้ำแข็ง
แสงสีเขียวเปล่งประกายในแววตาของตัวไหมน้ำแข็ง แสงสีขาวในเมฆวารีที่อยู่บนหัวพวยพุ่ง และพุ่งยิงแท่งน้ำแข็งออกไปจำนวนมาก พอมันสัมผัสกับแสงกระบี่สีแดง ก็พากันระเบิดออกมาทันที และเกาะตัวเป็นชั้นน้ำแข็งแวววาวร่วงลงมาต้านทานแสงกระบี่ไว้
“เร็ว!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตะคอกเสียงออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ มือยักษ์ที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วง ก็พร่ามัวคว้าไปทางตัวไหมน้ำแข็งอย่างโหดเหี้ยม
ภายใต้ความตกใจ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกจากจุดสีดำบนตัวปีศาจอสูร และพ่นลำแสงขนาดใหญ่ออกไปรับมือกับมือยักษ์สีทองที่คว้าเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เพล้ง!” พอมือยักษ์สีทองสัมผัสกับลำแสง มันก็ระเบิดออกมาเป็นแสงสีทอง และลำแสงสีทองจำนวนมากก็พุ่งยิงใส่ตัวไหมน้ำแข็ง
การโจมตีระยะใกล้เช่นนี้ ต่อให้อสูรตัวนี้จะมีเคล็ดวิชาในการป้องกันลึกลับแค่ไหน ก็ต้านทานแสงสีทองได้ชั่วคราวเท่านั้น
“ฟิ้ว!” “ฟู่!” เลือดสีเขียวจำนวนมากพุ่งออกจากหัวของตัวไหมน้ำแข็ง คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกแทงจนเกิดรูขนาดเท่านิ้วมือสองสามรู
ปีศาจหนอนส่งเสียงร้องแหลมและส่ายหัวอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวกัน เมฆวารีบนหัวก็ดูเหมือนจะพวยพุ่งขานรับกัน และไม่อาจรักษาเสถียรภาพไว้ได้
หลิ่วหมิงชี้นิ้วไปกลางอากาศด้วยแววตาเฉียบขาด
เมฆวารีระเบิดออกมา และพายุเย็นสะท้านที่ปะปนไปด้วยผลึกน้ำแข็ง ก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ
กระบี่บินสีแดงกลายเป็นแสงสีแดงพุ่งลงไป หลังจากเปล่งประกายหนึ่งที มันก็ฟันหัวตัวไหมน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ตัวไหมน้ำแข็งตัวแข็งทื่อ ลูกตาสีเขียวแวววาวไร้ซึ่งชีวิตชีวา จากนั้นก็ล้มโครมลงบนพื้น และไม่อาจกระดิกตัวได้อีก
พอหลิ่วหมิงโบกมือ กระบี่บินสีแดงก็แทงทะลุศพของตัวไหมน้ำแข็ง และกระพริบกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
“ในที่สุด…ในที่สุดก็ฆ่าได้แล้ว! ที่ครั้งนี้สามารถฆ่ามันได้ ล้วนเป็นเพราะความสามารถของศิษย์พี่หลิ่ว!” จินอวี้หวนเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจอย่างปิดไม่มิด
ตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงลงมือช่วยนาง จนถึงตอนที่สังหารตัวไหมน้ำแข็งอย่างรวดเร็วนั้น ใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น แม้แต่นางก็ยังไม่ทันเข้าไปช่วยด้วยซ้ำ
เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ต่อให้ศิษย์พี่หลิ่วผู้นี้จะลงมือเพียงคนเดียว ก็สามารถจัดการปีศาจหนอนตัวนี้ได้อย่างง่ายดาย
“แม่นางจินเกรงใจเกินไปแล้ว ในเมื่อข้าลงนามสัญญาเวทแล้ว เรื่องเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ” หลิ่วหมิงยิ้มออกมาเล็กน้อย พอสะบัดแขนเสื้อ ทรายทองคำร่วงก็ถูกเก็บเข้าไป
จากนั้น เขาก็ก้าวไปข้างศพตัวไหมน้ำแข็ง และคว้ามือผ่านอากาศ
“ฟิ้ว!” แก่นผลึกขนาดเท่ากำปั้นพุ่งออกมาจากศพ และหล่นลงในมือเขา
หลังจากเขามองดูเล็กน้อยแล้ว ก็เก็บมันเข้าไป จากนั้นก็ควักยันต์เก็บของออกมา และปล่อยพลังออกไป
แสงสีขาวเปล่งประกาย!
ร่างขนาดใหญ่สองสามจั้งของตัวไหมน้ำแข็งรวมตัวถึงไหมบริเวณรอบๆ ตัวมันหายไปพร้อมกัน
ไหมน้ำแข็งฝึกฝนอยู่ในบ่อเย็นมานาน และก็เป็นปีศาจหนอนที่พบเจอได้น้อยมาก ศพของมันย่อมเป็นวัสดุชั้นยอด หลิ่วหมิงจึงเก็บมันอย่างไม่เกรงใจ
จินอวี้หวนไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ในเรื่องนี้
เพราะดูเหมือนว่าหลิ่วหมิงจะสังหารตัวไหมน้ำแข็งเพียงคนเดียว พอมันตายไป นางก็สามารถไปเอาสมบัติที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ได้อย่างราบรื่น
“เอาล่ะ! ข้ากับเจ้าจะลงไปในบ่อเย็นตอนนี้หรือไม่?” หลิ่วหมิงหันหน้ามากล่าว
“ยังต้องให้ศิษย์พี่หลิ่วรอสักครู่ ข้าสูญเสียพลังเวทไปมาก จำต้องฟื้นฟูชั่วเวลาหนึ่ง” จินอวี้หวนกล่าวด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อ
“ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็จะฟื้นได้ฟื้นฟูพลังเวทสักหน่อย” หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นเดินไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหนึ่ง และหยิบหินจิตวิญญาณสองก้อนออกมาฟื้นฟูพลังเวท
จินอวี้หวนเห็นเช่นนี้ ก็ตาเป็นประกายอยู่สองสามครั้ง หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็หาพื้นที่มุมหนึ่ง นางควักโอสถมาทานหนึ่งเม็ด และเริ่มหลับตาเข้าฌาน
……
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
บริเวณบ่อเย็น หลิ่วหมิงทั้งสองกำลังนั่งอยู่บริเวณนั้นอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านการพักผ่อนไปหนึ่งรอบ สีหน้าสีซีดขาวของนางก็มีเลือดฝาดขึ้นมา ดวงตาของนางดูตื่นเต้นเล็กน้อย
นางสูดหายใจเข้าไปลึกๆ หลังจากระงับอารมณ์ได้แล้ว ก็กระโดดลงไปทันที
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และกระโดดตามนางลงไปในบ่อ
พอเข้าไปในบ่อเย็น เกราะไล่ความเย็นบนตัวก็เปล่งม่านแสงสีแดงจางๆ ออกมา และกั้นน้ำในบ่อไม่ให้โดนตัว
“หนาวจัง!”
ถึงแม้จะมีเกราะไล่ความเย็นป้องกันอยู่ หลิ่วหมิงยังรับรู้ถึงไอเย็นที่เสียดเข้ากระดูก หลังจากที่รู้สึกตัวสั่นระริก เขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬออกมา ไอดำพวยพุ่งรอบตัว และความหนาวเย็นก็ถูกขับออกไปกว่าครึ่งหนึ่ง
และจินอวี้หวนที่อยู่ในม่านแสงสีแดงตรงหน้าดำลึกลงไปไม่เท่าไหร่ ก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา พอนางรีบทานโอสถสีแดงไปหนึ่งเม็ด สีหน้าถึงดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปกันเถอะ!” นางหันมาฝืนยิ้มและชี้ไปด้านหน้า
ทั้งสองกระตุ้นพลังเวท และดำลงไปใต้บ่อทันที
ทั้งสองยิ่งดำลึกลงไป น้ำในบ่อก็ยิ่งเย็นจัดมากขึ้นเรื่อยๆ
หลิ่วหมิงอาศัยพลังเวทอันหนาแน่นกับกายเนื้ออันแข็งแกร่ง จึงพอที่จะต้านทานไว้ได้
จินอวี้หวนทานโอสถติดต่อกันหลายเม็ด และนำยันต์ออกมาไม่น้อย แต่ก็ยังหนาวจนปากสั่น
ทั้งสองยิ่งดำลึกลงไปเรื่อยๆ ไอเย็นในบ่อก็ยิ่งเย็นจัดอย่างแปลกประหลาด
ไอเย็นในบ่อถักทอเป็นรูปตาข่าย และปะทะใส่ทั้งสองอยู่ตลอดเวลา ความเย็นเสียดกระดูกนี้ราวกับจะกลืนกินคนได้
หลังจากดำลึกลงไปสามสิบจั้ง ความหนาแน่นของไอเย็นก็มากกว่าตอนที่กระโดดลงมาหนึ่งเท่ากว่าๆ
เห็นได้ชัดว่าจินอวี้หวนเริ่มจะต้านทานไม่ไหวแล้ว ทันทีที่นางตบลงบนเอว มุกกลมๆ สีแดงเม็ดหนึ่งก็ลอยออกมา
มือทั้งสองของนางกระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างรวดเร็ว ลวดลายสีแดงเปล่งประกายบนผิวมุก และปล่อยแสงทรงกลดสีแดงจางๆ ออกมา ทั้งยังแผ่ไออบอุ่นออกมาด้วย
พอมุกค่อยๆ ลอยมาขึ้นมาถึงบริเวณหน้าอก นางก็รับรู้ได้ถึงไออุ่น ทำให้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา จากนั้นก็ดำลงไปต่อ
แต่พอดำลึกลงไปห้าสิบจั้ง แม้จะมีมุกอัคคีป้องกันอยู่บริเวณหน้าอก แต่จินอวี้หวนยังคงไม่อาจแบกรับไอเย็นแปลกประหลาดนี้ได้ สีหน้าจึงดูซีดขาวมากยิ่งขึ้น
ส่วนหลิ่วหมิงเดิมทีก็ฝึกฝนวิชาหยินอยู่แล้ว จึงพอจะมีความต้านทานต่อสภาพอากาศหนาวเย็นเล็กน้อย บวกกับพลังเวทอันบริสุทธิ์และกายเนื้อที่แข็งแกร่ง จึงไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด
พอทั้งสองดำลึกลงไปถึงหกสิบกว่าจั้ง สีหน้าของจินอวี้หวนก็เขียวคล้ำขึ้นมา มีน้ำค้างแข็งเกราะอยู่บนแขนขาอย่างชัดเจน ร่างกายค่อยๆ แข็งขึ้นมา ดูเหมือนจะเลยขีดจำกัดของร่างกายแล้ว หากยังฝืนดำลึกลงไปจนไอเย็นเข้าร่างล่ะก็ อย่างเบาก็จะป่วยหนัก และระดับการฝึกฝนลดลง อย่างหนักก็อาจจะเสียชีวิตเลยก็ได้
หลิ่วหมิงมองนางทีหนึ่ง แต่เห็นว่านางไม่มีความคิดที่จะถอยกลับไปเลย ยังคงดำลึกลงไปอย่างเด็ดเดี่ยว
หญิงสาวผู้นี้มีความมุ่งมั่นมาก มันทำให้เขารู้สึกนับถือโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็ค่อยๆ ขยับตัวไปอยู่ข้างๆ นาง พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีแดงก็เปล่งประกายออกมา และกระบี่บินสีแดงก็หล่นลงบนมือ
เขาใส่พลังเวททั้งหมดเข้าไปในกระบี่บิน และดีดนิ้วทั้งสิบออกไปเบาๆ จากนั้นกระบี่บินสีแดงก็ลอยอยู่ด้านหลังของหญิงสาว
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา กระบี่บินก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ในน้ำ ลวดลายค่ายกลสีแดงทั้งยี่สิบเส้นดูชัดเจนขึ้นมา และแผ่แสงทรงกลดสีแดงอันน่าตกใจ ทันใดนั้นคลื่นความร้อนก็ทะลักออกมา และขับไล่ไอเย็นบริเวณนั้นออกไปส่วนหนึ่ง
ครู่ต่อมา ใบหน้าซีดขาวของจินอวี้หวนก็ค่อยๆ หายไป พอแสงทรงกลดสีแดงเปล่งประกายออกมา ชั้นน้ำค้างแข็งบนแขนขาก็ละลายไปอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณศิษย์พี่หลิ่วที่ช่วยเหลืออีกครั้ง” นางหันมามองหลิ่วหมิงเล็กน้อย และส่งเสียงไปให้ด้วยความซาบซึ้งใจ
“แม่นางจินไม่ต้องเกรงใจ รีบลงไปเอาของสิ่งนั้นโดยเร็วเถอะ! ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ข้าเองก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน” หลิ่วหมิงมองดูกระบี่บินสีแดง และกล่าวออกมาอย่างสงบ
จินอวี้หวนย่อมพยักหน้าตอบรับ
หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งถ้วยชา ภายใต้การระเบิดคลื่นความร้อนของกระบี่บิน ทั้งสองก็ลงไปถึงก้นบ่อที่ลึกร้อยกว่าจั้ง
พอมองออกไป จะเห็นค่ายกลยักษ์สีขาวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ วางอยู่ใจกลางก้นบ่อ มีสัญลักษณ์แปลกประหลาดประทับอยู่บนนั้น ใจกลางค่ายกลมีรอยบุบขนาดฉื่อกว่าๆ
“หรือว่าไอเย็นในบ่อจะเกี่ยวข้องกับค่ายกลนี้?” หลิ่วหมิงสังเกตรอยบุบของค่ายกลตรงหน้าอย่างเงียบๆ และวิจารณ์อยู่ในใจ
ขณะนั้นเอง จินอวี้หวนก็หยิบเศษผลึกแวววาวชิ้นหนึ่งออกมาจากตัว และโบนไปในอากาศ พอกระตุ้นเคล็ดวิชา เศษผลึกก็กลายเป็นแสงสีขาว และลอยเข้าไปในรอยบุบของค่ายกล คิดไม่ถึงว่ามันจะเลี่ยงฝังอยู่กลางค่ายกลได้พอดี
จากนั้นนางก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมา และพอชี้ไปออกไป มันก็กลายเป็นหยดโลหิตจำนวนมาก และพุ่งไปยังมุมต่างๆ ของค่ายกล
ครู่ต่อมา สัญลักษณ์แปลกประหลาดบนค่ายกลก็กระพริบหายไป และถูกแทนที่ด้วยลวดลายจิตวิญญาณสีขาวที่ปรากฏขาดๆ หายๆ มันเลื้อยขยุกขยิกเป็นรูปวงแหวนอยู่บนค่ายกลอย่างรวดเร็ว
พอแสงทรงกลดเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา กระบี่สีขาวแวววาวก็พุ่งออกจากใจกลางค่ายกล จากนั้นไอเย็นอันน่าสะพรึงจนถึงขีดสุด ก็ทะลักออกจากด้านล่างของกระบี่เล็ก
“แย่แล้ว!”
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา ยังไม่ทันได้กระตุ้นเคล็ดวิชา ไอเย็นอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ก็ม้วนตัวปกคลุมพื้นที่ในระยะสิบกว่าจั้ง และพวกเขาทั้งสองจนกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง
…………………………………