ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 513 เจออาวุธเวทครั้งแรก
ขณะนี้ กระบี่เล็กสีขาวลอยอยู่เหนือค่ายกลอย่างเงียบๆ ตัวกระบี่โปร่งใสราวกับกระจก แสงทรงกลดสีขาวหมุนวนบนผิวกระบี่อย่างช้าๆ และแผ่ไอเย็นไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง
พอไอเย็นแต่ละสายม้วนออกไปได้ไม่ไกล ก็เกาะตัวเป็นน้ำแข็งไปทั้งแถบ
ไม่นาน ก้นบ่อเย็นก็กลายเป็นโลกน้ำแข็ง
แม้หลิ่วหมิงจะถูกไอแข็งเย็นเกาะผนึกไว้ แต่ด้วยที่ว่ายังมีเกราะหนังกับกายเนื้ออันแข็งแกร่ง จึงไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด แต่ในใจก็อดรู้สึกหวาดผวาไม่ได้
ตั้งแต่กระบี่เล็กสีขาวแผ่กลิ่นไออันน่าตกใจออกมา มันก็ร้ายกาจกว่าโล่เก้ากระโหลกที่มีสามสิบห้าชั้นจำกัดมาก
ที่แท้กระบี่นี้ก็เป็นสุดยอดอาวุธเวทที่แท้จริง
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียง “ฟู่!” ดังมาจากทางด้านจินอวี้หวน
จุดแสงสีทองเปล่งประกายตรงหน้าอก จากนั้นยันต์สีเหลืองก็ปรากฏออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองอันดุเดือด และแสงสีขาวเป็นวงๆ ก็แผ่กระจายไปทั่วทิศ
ขณะที่แสงสีขาวพุ่งยิงเข้ามา น้ำแข็งบริเวณนั้นก็ละลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลิ่วหมิงและหญิงสาวก็กลับสู่สภาพปกติ
หลิ่วหมิงขยับแขนทั้งสองที่หนาวจนชา และปราดตามองจินอววี้หวนอย่างอดไม่ได้
พอนางหลุดออกมาได้ ก็หายวับไปอยู่ตรงหน้ากระบี่เล็กสีขาวอย่างรวดเร็ว และยื่นแขนคว้ามันเอาไว้อย่างรวดเร็ว
กระบี่เล็กสีขาวสั่นไหวราวกับมีชีวิต แสงเย็นสะท้านที่แผ่ออกมาก็ดูแหลมคมเป็นอย่างมาก มันบาดฝ่ามือของนางจนโลหิตไหลออกมา
ดูเหมือนจินอวี้หวนจะไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น นางเริ่มร่ายคาถาออกมา ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง พออ้าปาก เงากระบี่เล็กสีฟ้าก็พุ่งออกมา และภายใต้เสียงที่ดังกังวาน มันก็กระพริบหายไปในกระบี่เล็กสีขาวบนมือของนาง
หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้
คิดไม่ถึงว่าจะนางจะเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ และดูเหมือนกับว่าสิ่งที่นางพ่นออกมาจะเป็นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ด้วย
ครู่ต่อมา กระบี่เล็กสีขาวก็สั่นไหวอย่างรุนแรง และแสงสีขาวเจิดจ้าก็เปล่งแสงออกมาจนถึงขีดสุด ทั้งยังมีเสียงแผ่วเบาออกมาอยู่รำไร
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้ พออยากจะดูว่ามันเป็นเพราะเหตุใดนั้น แสงสีขาวก็ดับและเงียบลง จนเผยให้เห็นกระบี่เล็กที่อยู่ในนั้นอีกครั้ง
ขณะนี้ บนผิวกระบี่เล็กที่โปร่งใสแวววาว ก็มีอักขระเล็กๆ ปกคลุมอยู่เป็นชั้นๆ และเปล่งจุดแสงแวววาวทะลุน้ำในบ่อ แลดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
หญิงสาวเห็นเช่นนี้ ก็เปลี่ยนเคล็ดวิชาทันที พริบตาเดียวกระบี่เล็กสีขาวก็ลดขนาดลงเหลือแค่ชุ่นกว่าๆ และกระพริบหายไปในระหว่างคิ้วของนาง
พริบตาที่นางเอากระบี่นี้ไป ความเย็นยะเยือกของน้ำใบบ่อก็สลายไปหมดสิ้น
ดูท่าที่บ่อน้ำเย็นยะเยือกถึงเพียงนี้ คงเป็นเพรากระบี่เล็กเล่มนี้แล้ว
“ศิษย์พี่หลิ่ว งานใหญ่ได้สำเร็จลุล่วงลงแล้ว พวกเราไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” จินอวี้หวนถอนหายใจยาวๆ และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
ไม่รู้ว่าเขามโนไปเองหรือเปล่า หลังจากนางได้อาวุธเวทชิ้นนี้แล้ว ดูเหมือนจะมีสีหน้าเย็นยะเยือกขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงพยักหน้า และทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็พุ่งขึ้นด้านบน
เมื่อไม่มีไอเย็นคอยโจมตี จินอวี้หวนก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล เท้าข้างหนึ่งถีบก้นบ่อเบาๆ จากนั้นก็ตามติดหลิ่วหมิงไป
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา ภายนอกถ้ำ หลิ่วหมิงกำลังถอดเกราะหนังบนตัวคืนให้จินอวี้หวน
“ที่ครั้งนี้สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น ล้วนเป็นเพราะการช่วยเหลือของศิษย์พี่หลิ่ว” จินอวี้หวนรับเกราะหนังมา และกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ
“ไม่เป็นไร ในเมื่อข้ารับยันต์ทะลวงเส้นลมปราณของแม่นางมาแล้ว เรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นสิ่งที่ควรทำ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่หลิ่วเองก็เห็นแล้ว ความจริงข้าก็เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ และที่ตระกูลซาอยากให้ข้าแต่งเป็นคู่รักฝึกฝนของซาทงเทียน ก็เพราะอยากได้สุดยอดกระบี่ที่บรรพบุรุษตระกูลจินได้ทิ้งไว้ แม้กระบี่นี้จะเป็นอาวุธระดับต่ำที่เพิ่งจะหลุดจากเบ้าหลอมมา และจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่อยู่ด้านในก็ไม่มีคนบ่มเพาะมานาน จึงสูญเสียจิตวิญญาณไปไม่น้อย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลทั่วไปอยากได้มันแล้ว และยังมีผู้อาวุโสยอดเขาที่มีความสัมพันธ์กับตระกูลจินเล็กน้อยเคยถามถึง ความจริงก็ไม่อาจรักษาอาวุธเวทนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว” ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกาย หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็เปิดเผยความจริงให้หลิ่วหมิงรับรู้
ตอนที่หลิ่วหมิงเห็นกระบี่เล่มนี้ ก็พอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว ตอนนี้จึงแค่พยักหน้า และไม่พูดอะไรออกมา
จินอวี้หวนก็ค่อยๆ เล่าต่อ
“และที่ตระกูลซาอยากให้ข้าเป็นคู่รักฝึกฝนของซาทงเทียน ครึ่งหนึ่งเป็นเพราะอาวุธเวทที่มีชื่อว่ากระบี่กระจกน้ำแข็งเล่มนี้ ในปีนั้นถูกบรรพบุรุษของข้าวางชั้นจำกัดไว้ จะต้องเป็นสายเลือดระดับของเหลวขึ้นไปของตระกูลจินเท่านั้น ถึงนำมันไปได้ แต่ตระกูลซามีเคล็ดวิชาบางอย่าง ที่อาศัยวิชาคู่รักฝึกฝน แย่งชิงกลิ่นไอสายเลือดของคู่รักมาได้ส่วนหนึ่ง จึงสามารถกระตุ้นกระบี่บินนี้ได้เช่นกัน”
ฟังมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงถึงเข้าใจในทันทีว่าทำไมนางถึงพูดออกมาตามตรง โดยไม่กลัวว่าเขาเห็นอาวุธเวทแล้ว จะมีความคิดอย่างอื่น
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอแสดงความยินดีกับแม่นางด้วย มีอาวุธเวทชิ้นนี้แล้ว คิดว่าการฟื้นฟูอิทธิพลของตระกูลในภายหน้า คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ในเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว พวกเราก็ไปจากที่นี่กันเถอะ เผื่อคนตระกูลซาจะกลับมาที่นี่อีก จะทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมาได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
จินอวี้หวนค่อยๆ พยักหน้า พอตบลงบนเอว ก็มีเสียงร้องแหลมดังออกมา จากนั้นอินทรียักษ์ที่มีหมอกเทาปกคลุมสลัวๆ ก็ปรากฏต่อหน้าทั้งสอง
พอทั้งสองกระโดดขึ้นไปบนนั้นแล้ว จินอวี้หวนก็ลูบหัวนกอินทรียักษ์เบาๆ
อินทรียักษ์กระพือปีกส่งเสียงร้องออกมา ทันใดนั้น ก็ก่อเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งไปทางเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
……
สิบวันต่อมา เหนือหุบเขาที่เปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ พลันมีระลอกคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศ จากนั้นอินทรียักษ์สีเทาตัวหนึ่งก็บินออกมา และร่อนลงด้านล่าง
เงาร่างสองเงากระโดดลงจากหลังของมันทันที
พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับจินอวี้หวนที่เดินทางกลับมานั่นเอง!
ตลอดการเดินทาง หญิงสาวพูดคุยมากกว่าตอนไปมาก และพูดคุยเรื่องต่างๆ ในสมัยที่ตระกูลจินยังรุ่งโรจน์
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ขอให้นางชี้แนะเกี่ยวกับประสบการณ์การฝึกกระบี่ และเคล็ดลับการหลอมตัวอ่อนกระบี่เล็กน้อย ส่วนเรื่องเกี่ยวกับอาวุธเวทก็สอบถามมาบ้าง
เพราะบรรพบุรุษของนางเคยมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้มาก่อน ตอนนี้ตระกูลจินได้ล่มสลายลงแล้ว แต่ประสบการณ์ฝึกฝนกระบี่ยังคงสืบทอดอยู่ หากรู้เรื่องเหล่านี้ไว้บ้าง ย่อมลดปัญหาการออกนอกลู่นอกทางของการฝึกฝนในภายหน้าได้
เนื่องจากหลิ่วหมิงช่วยนางไว้หลายครั้ง และยังช่วยนางนำอาวุธเวทของบรรพบุรุษออกมาได้ นางจึงบอกสิ่งที่นางรู้ให้กับหลิ่วหมิง ทำให้หลิ่วหมิงเก็บเกี่ยวความรู้มาได้ไม่น้อย
“แม่นางจิน การทำงานในครั้งนี้สำเร็จลงแล้ว ในเมื่อเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย พวกเราก็จากกันตรงนี้เถอะ หากวันหน้ามีเวลาว่าง คงต้องรบกวนแม่นางชี้แนะเส้นทางการฝึกฝนกระบี่แล้ว” หลิ่วหมิงพูดกับหญิงสาวสองสามประโยค จากนั้นก็กล่าวคำอำลาออกมา
“ไม่มีปัญหา! ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องไปก่อนแล้ว ศิษย์พี่หลิ่วก็ดูแลตัวเองด้วย!” จินอวี้หวนได้ยินก็หัวเราะเบาๆ และกระโดดขึ้นหลังอินทรียักษ์ก่อนพุ่งออกไป
หลิ่วหมิงจ้องมองเงาร่างของหญิงสาวที่จากไป หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งไปอีกทิศทางทันที
……
ขณะเดียวกัน ห้องโถงภายในถ้ำที่พักที่ตั้งอยู่บนยอดเขาเร้นลับแห่งหนึ่งของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
ผู้อาวุโสหน้าเหี่ยวย่นผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หินสีเทา เขาจ้องมองชายหนุ่มชุดผ้าแพรตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และซักถามเบาๆ
“ทงเทียน ทำไมเจ้าถึงไม่ไปจับจินอวี้หวนไว้ แต่กลับให้นางนำกระบี่กระจกน้ำแข็งออกมาได้ ข้าไม่เชื่อว่าด้วยพลังระดับเจ้า จะไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้”
“ท่านลุงสอง กระบี่กระจกน้ำแข็งเล่มนั้นไม่เหมาะสมกับข้า อีกอย่างต่อให้จะใช้เคล็ดวิชาในการฝึกฝนคู่ รับเอาสายเลือดตระกูลจินมาเพื่อควบคุมกระบี่เล่มนี้ ก็ไม่อาจแสดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้ทั้งหมด จินอวี้หวนก็เช่นกัน แม้จะอาศัยพลังของสายเลือดควบคุมกระบี่บินนี้ได้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมได้ดั่งใจเหมือนกับกระบี่บินที่หลอมด้วยตนเอง สุดท้ายก็ไม่อาจกลายเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ที่แข็งแกร่งได้อย่างแท้จริง ข้าคิดที่จะหลอมกระบี่บินที่เป็นอาวุธเวทของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับกระบี่กระจกน้ำแข็งมากนัก ต่อให้จะได้กระบี่นี้มา ก็คิดที่จะใช้เป็นอาวุธสำรองเท่านั้น” ซาทงเทียนตอบด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ราวกับไม่ใส่ใจในเรื่องนี้
“อ๋อ! ในเมื่อเจ้าตั้งใจจะฝึกฝนสายกระบี่ โดยไม่เล่นเหลี่ยมเช่นนี้ ลุงสองก็ไม่บังคับแล้ว แต่ว่าในตระกูลวางแผนเรื่องนี้มานาน เจ้ามีเวลาก็กลับไปให้ความกระจ่างกับผู้อาวุโสในตระกูลถึงจะได้ นอกจากนี้เจ้ายังตื่นตัวในการฝึกฝนสายกระบี่เช่นนี้ ดูท่าคงจะมีจิตใจที่แน่วแน่มาก เพียงแค่เข้าสู่ระดับผลึกได้ การกลายเป็นศิษย์สายตรง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” ผู้อาวุโสระดับผลึกของตระกูลซาผู้นี้ฟังจบก็ไม่ได้รู้สึกโมโห แต่กลับลูบหนวด และกล่าวชมเชยด้วยความดีใจ
“ศิษย์จะพยายามอย่างสุดความสามารถ” ซาทงเทียนประสานมือคารวะด้วยตาที่เป็นประกาย จากนั้นก็ตอบด้วยสีหน้านอบน้อม
ผู้อาวุโสพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็ลุกเดินออกไปจากถ้ำแห่งนี้
……
พอหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำ ก็แขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู และก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องลับ
จากนั้นประตูตรงด้านหลัง ก็ค่อยๆ ปิดลงอย่างช้าๆ
พอก้าวไปถึงใจกลางห้องลับ เขาก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นโอสถสีดำกับสีฟ้าก็หมุนวนอยู่ในมือไม่หยุด มันก็คือ ‘โอสถผลึกดำ’ กับ ‘โอสถวารีสีฟ้า’ นั่นเอง
เขาสังเกตดูโอสถทั้งสองในมืออย่างละเอียด และแสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา เขาก็เก็บโอสถทั้งสอง และนำยันต์ทะลวงชีพจรออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน
ขณะนี้ เขาได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว เพียงแค่ฟื้นฟูพลังเวทให้ถึงจุดสูงสุดของระดับของเหลวขั้นกลาง และหาสถานที่ที่มีปราณหยินค่อนข้างหนาแน่น ก็สามารถทะลวงเขตแดนของเหลวขั้นปลายได้แล้ว
หลิ่วหมิงวางแผนไว้ในใจ พอนั่งขัดสมาธิลงพื้น ก็หลับตาเข้าฌานอย่างเงียบๆ
ครั้งนี้เขานั่งนานติดต่อกันสามวัน
เมื่อหลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ก็รู้สึกสดชื่นมาก พลังจิตของเขาฟื้นคืนกลับมาจนเต็มเปี่ยม
พอเขาลุกขึ้นมาแล้ว ก็จัดระเบียบเล็กน้อย จากนั้นก็ออกไปจากถ้ำ และเหยียบเมฆดำเหาะไปทางหอนานัปการ
…………………………………