ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 516 วัสดุ
การบรรลุขั้นของหัวบินกับแมงป่องกระดูกในครั้งก่อน ต่างก็ต้องผ่านด่านเคราะห์สายฟ้า แต่ครั้งนี้กลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หรือว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ในนั้น?
พอหลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ ก็รู้สึกฉงนเล็กน้อย
ในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังขึ้นข้างหู
“นายท่าน!” หัวบินตรงหน้าอ้าปากและหุบลง เสียงที่ส่งออกมากลับไม่ใช่เสียงที่ดังแคล็กๆ แต่กลับเป็นเสียงของเด็กผู้ชาย
“เจ้าก็พูดได้แล้ว?” แม้หลิ่วหมิงจะพอคาดเดาได้อยู่บ้าง แต่ก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้
สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แสดงว่าหัวบินไม่ใช่หัวปีศาจที่โง่เขลาอีก แต่กลับเป็นเหมือนแมงป่องกระดูก ที่ได้เปิดสติปัญญาขั้นต้นแล้ว
“ใช่แล้ว! นายท่าน ข้านอนยาวมาก หลังจากฟื้นขึ้นมา สมองก็ปลอดโปร่งเป็นอย่างมาก” ระหว่างที่หัวบินขยับปาก ก็มีน้ำเสียงเด็กน้อยดังออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้า ฝ่ามือที่กดอยู่บนหัวบินมีไอดำลอยออกมาสองสามสาย และค่อยๆ ซึมเข้าไป
หัวบินดิ้นรนด้วยความไม่สบายใจ แต่ไม่นานก็กลับมาสงบดังเดิม
หลิ่วหมิงหดแขนกลับมาด้วนสีหน้าผ่อนคลาย
อักขระสัญญาโลหิตที่เขาฝังไว้ด้านใน ไม่ได้อ่อนแอลงเพราะหัวบินเกิดการรับรู้ด้วยตนเอง
“หัวบิน ให้ข้าดูความสามารถของเจ้าในตอนนี้หน่อย” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง และเอ่ยปากสั่ง
หัวบินได้ยินก็หมุนตัวและบินไปยังผนังด้านหนึ่ง แสงสีแดงเป็นประกายในดวงตา แสงสีเขียวจางๆ ลอยออกมาบนพื้นผิว ขณะเดียวกัน ไอดำที่พวยพุ่งอยู่ก็หดตัวลง
พอมันสะบัดผมสีเขียวบนศีรษะ เส้นผมจำนวนมากก็พุ่งยิงใส่ผนังถ้ำจนเกิดเสียงดังก้อง
หลังจากมีเสียงดังราวกับเสียงฝนกระทบต้นกล้วย หินพลังหยินสีดำก็เกิดรูเล็กๆ จำนวนมาก
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา หินพลังหยินนี้ไม่ใช่หินธรรมดา มันดูดรับปราณหยินตลอดปีเป็นจำนวนมาก ความแข็งแกร่งมันอยู่ใต้อาวุธทั่วไปเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะถูกเส้นผมสีเขียวของหัวบินแทงทะลุ
หัวบินส่งเสียงแคล็กๆ! เส้นผมที่สยายรวบเข้าด้วยกัน จากนั้นก็กรีดใส่ผนังถ้ำอีกครั้ง
แสงสีเขียวเปล่งประกาย!
เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!”
เกิดร่องยาวแคบๆ ลึกฉื่อกว่าๆ บนผนังสีดำราวกับหมึกที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
การโจมตีระดับนี้ แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระดับของเหลวขั้นปลายอย่างเต็มที่
ดูเหมือนหัวบินจะยังติดใจอยู่ มันอ้าปากพ่นเปลวไฟสีเขียวมรกตใส่ผนังตรงหน้า
พอเปลวไฟสีเขียวสัมผัสกับผนังหินสีดำ มันก็ลุกไหม้ขึ้นมาอย่างดุเดือด และส่องสะท้อนจนภายในถ้ำกลายเป็นสีเขียวไปทั้งแถบ
“ตู๊ม!”
ปราณหยินในถ้ำสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ผนังหินที่แข็งแกร่งถูกเผาไหม้จนกลายเป็นโพรงขนาดใหญ่ และหมอกควันสีเขียวก็พวยพุ่งขึ้นมา
“หยุดเถอะ! หากเป็นเช่นนี้ต่อไปล่ะก็ ถ้ำจันทราแห่งนี้อาจจะถูกเจ้าทำพังได้ พอถึงเวลานั้น เจ้าพวกหอคุมกฎอาจจะให้ข้าชดใช้เป็นแต้มคุณูปการจำนวนมากก็ได้” หลิ่วหมิงรีบโบกมือยับยั้งหัวบินไว้
การโจมตีของเส้นผมกับเปลวไฟสีเขียวของหัวบิน มีอานุภาพเหนือกว่าก่อนหน้านั้นมาก ซึ่งแตกต่างกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไปไม่มากแล้ว
เมื่อรวมกับแมงป่องกระดูกแล้ว ตอนนี้เขามีตัวช่วยที่ทรงพลังถึงสองตัว ต่อให้จะเผชิญกับศัตรูแข็งแกร่งระดับผลึก ก็สามารถต่อสู้ซึ่งๆ หน้าได้
หัวบินหัวเราะแคล็กๆ! ไอดำรอบตัวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมันก็พร่ามัว และปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่กลางไอหมอก
ครู่ต่อมา ขณะที่ไอดำสลายไป พลันมีหัวบินเก้าหัวแยกออกมา
“วิชาแบ่งร่าง!” ครั้งนี้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจจริงๆ แล้ว
ที่เขาเห็นเป็นหัวบินทั้งเก้าที่แท้จริง ไม่ใช่การเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงา และใจกลางสุดนั้น ก็เป็นร่างของหัวบิน มันแผ่กลิ่นไอระดับของเหลวขั้นปลายออกมา ส่วนอีกแปดหัวก็มีพลังอ่อนแอกว่าเล็กน้อย ซึ่งอยู่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น
แต่ไม่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแบ่งร่างจากหนึ่งเป็นเก้า ยังคงดูร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้!
คาดว่าต่อให้เป็นราชาอัคคีจิตวิญญาณระดับผลึกขั้นต้นในก่อนหน้า หากถูกมันตรึงไว้ ก็ไม่อาจหลุดพ้นไปได้
พอนึกมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็มีแววตาเร่าร้อนขึ้นมา
เวลาต่อมา เป็นเพราะว่าปราณหยินในถ้ำถูกหัวบินกวาดไปเกือบหมด หลิ่วหมิงจึงเก็บเจ้าสองตัวนี้เข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิเข้าฌานต่อ
แม้ปราณหยินในนี้ดูเหมือนจะถูกหัวบินกวาดไปจนหมด แต่ก็ยังดีกว่าโลกภายนอกมาก เขาไม่ยอมปล่อยมันเสียเปล่าอย่างแน่นอน
หลายวันต่อมา หลิ่วหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็รู้สึกว่าพื้นสั่นสะเทือนเบาๆ ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็เปล่งประกายออกมา และค่ายกลสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นใต้ร่าง จากนั้นทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าก็พร่ามัว และตัวเขาก็มายืนอยู่ใจกลางค่ายกลในห้องหิน
ผู้อาวุโสชุดเหลืองในก่อนหน้านั้น ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ ตรงหน้าค่ายกล ราวกับว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
“หลายวันก่อน ปราณหยินของถ้ำหมายเลขห้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คงเป็นเจ้าที่ทำมันสินะ” ผู้อาวุโสชุดเหลืองถามอย่างราบเรียบโดยไม่ลืมตาขึ้นมา
“เรียนท่านผู้อาวุโส เป็นข้าน้อยเอง” หลิ่วหมิงตอบอย่างนอบน้อม”
“อายุน้อยเช่นนี้ก็ก้าวมาถึงระดับนี้แล้ว นับว่ามีคุณสมบัติไม่เลว เจ้าไปได้แล้วล่ะ!” ผู้อาวุโสชุดเหลืองโบกมือ และไม่พูดอะไรออกมาอีก
หลิ่วหมิงรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก หลังจากคารวะผู้อาวุโสแล้ว ก็รีบไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที
“สาขาห่านฟ้าได้ต้นกล้าที่ดีมาต้นหนึ่ง” หลังจากหลิ่วหมิงเดินไปไกลแล้ว ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็พูดพึมพำออกมา จากนั้นก็นั่งสมาธิต่อ
พอหลิ่วหมิงไปจากหุบเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำจันทรา เขาก็ขี่เมฆทะยานฟ้าโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง ไม่นานก็กลับถึงถ้ำที่พักของตนเอง
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงนั่งเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง รอจนจิตใจสงบลงแล้ว ถึงกระตุ้นพลังจิตเข้าไปในทะเลจิตรับรู้
ภายในทะเลจิตรับรู้ ศิลาหุนเทียนสีขาวดำยังคงลอยอยู่เงียบๆ แต่ว่าเม็ดทรายสีเงินใกล้จะเต็มนาฬิกาทรายสีทองส่วนล่างแล้ว ดูท่าคงจะห่างจากการดูดกลืนพลังเวทครั้งหน้ามากสุดก็แค่หนึ่งถึงสองเดือนเท่านั้น
ตามกฎของศิลาหุนเทียนแล้ว พลังเวทภายในร่างของเขาจะถูกทำให้บริสุทธิ์อีกครั้ง นอกจากนี้ยังต้องอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับนานเจ็ดแปดปี
จากประสบการณ์ในครั้งก่อน ในระหว่างเวลานี้ ไม่ว่าเขาจะฝึกฝนวิชาหรือฝึกวิชาปรุงโอสถ ล้วนได้ผลเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะวิชาปรุงโอสถ ไม่จำเป็นต้องกังวลปัญหาเรื่องวัตถุดิบเลย สามารถฝึกฝนได้ตามใจ สิ่งนี้ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผู้ใด ก็ล้วนฝันอยากได้เช่นนี้ และเขาก็รอคอยมานานเช่นกัน
อีกอย่าง ครั้งนี้หลิ่วหมิงกะจะพูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับฟองอากาศกับหลัวโหวให้มากๆ
หลังจากเขาตัดสินใจเช่นนี้แล้ว เวลาที่เหลือย่อมต้องไปเตรียมการสำหรับเรื่องนี้ให้พร้อม
หลิ่วหมิงนำศพตัวไหมน้ำแข็งออกจากยันต์เก็บของ และวางไว้บนพื้น
ปีศาจหนอนที่พบเห็นได้น้อยชนิดนี้ วัสดุบนตัวล้วนมีค่ามาก นับว่าเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงกรีดท้องของศพ และนำรังไหมสีขาวที่มีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าออกมา ด้านในล้วนเป็นเส้นไหมสีขาวเงินชนิดนั้น
สำหรับเส้นไหมนี้ หลิ่วหมิงจดจำมันได้ดี มันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสูงก็ไม่อาจตัดมันขาดได้ จะต้องเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณอย่างแน่นอน
เขาเก็บเส้นไหมเข้าไปอย่างฉับไว และจัดการวัสดุส่วนอื่นๆ อย่างง่ายๆ
หลายวันต่อมา เขานั่งฝึกฝนอยู่ภายในถ้ำ หลังจากทำเขตแดนให้มั่นคงเล็กน้อย และฟื้นฟูพลังเวทไปรอบหนึ่งแล้ว ก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากถ้ำ
……
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่ทางเข้าตลาดนิกายยอดบริสุทธิ์อักครั้ง
เขาแหงนหน้ามองกลุ่มสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ตรงหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา และเดินไปด้านหน้า
ตั้งแต่เข้านิกายยอดบริสุทธิ์มา เขาเข้าตลาดนี้อยู่บ่อยครั้ง และค่อยๆ คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้แล้ว
ลานหินสีดำที่อยู่ใจกลางตลาด เป็นสถานที่ที่ให้ศิษย์ในนิกายมาวางแผงได้ชั่วคราว และก็เป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุด สิ่งของที่ขายก็ผสมปนเปกันไป โดยพื้นฐานแล้วมีหมดทุกอย่าง
ผู้ที่มีความรู้กว้างไกล และเชื่อมั่นสายตาตนเอง อาจจะมาเสี่ยงดวงทำการซื้อขายที่นี่ได้
ส่วนถนนสี่สายที่เชื่อมกับลานกว้าง ก็เป็นร้านค้าที่เปิดต้อนรับลูกค้าเป็นหลัก มีร้านค้ามากมายที่ศิษย์สายนอกสายในจ้างให้คนมาเปิด และก็มีจำนวนหนึ่งที่อาศัยคนของตระกูลในนิกายมาทำการค้าอยู่ที่นี่ แต่ว่าสิ่งของของร้านค้าในถนนแต่ละสายต่างก็มีจุดสนใจเช่นกัน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปทางถนนด้านตะวันตก
ร้านค้าสองข้างทางมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนว่าจะมีคนเยอะกว่าสองครั้งในก่อนหน้านั้นมาก ในนั้นมีศิษย์สายนอกจำนวนไม่น้อย
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
ร้านค้าแถวนี้ต่างก็มีวัสดุจำพวกกระดูกอสูร หนังอสูรจำนวนหนึ่ง บางร้านก็แขวนตัวอย่างของปีศาจอสูรไว้หน้าประตู
หลิ่วหมิงเดินวนไปหนึ่งรอบอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง
ชายวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปี สวมชุดสีขาว กำลังนั่งอยู่หลังตู้สินค้า ในมือถือตำราหนาๆ เล่มหนึ่งอยู่ และกำลังอ่านอย่างออกรส
พอได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา ชายคนนี้ก็รีบลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลูกค้าท่านนี้ มีวัสดุปีศาจอสูรมาขายหรือ?”
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เถ้าแก่กู่ ท่านนี่ลืมง่ายจริงๆ ลืมข้าได้เร็วเช่นนี้เลยหรือ?”
”ท่านคือ……อ้อ! ที่แท้ก็คือพี่หลิ่ว! แต่นี่เพิ่งไม่กี่วันเอง พลังของท่านรุดหน้าไปมาก คิดไม่ถึงว่าจะทะลวงระดับของเหลวขั้นปลายได้แล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ” ชายวัยกลางคนได้ยินก็อึ้งไปทันที หลังจากสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็กล่าวออกมา
ชายวัยกลางคนมีชื่อว่ากู่เจี้ยเทียน วัสดุอัคคีจิตวิญญาณที่ได้จากแดนอบอ้าวในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงขายให้คนผู้นี้ไปส่วนหนึ่ง
กู่เจี้ยเทียนเป็นหนอนหนังสือ แต่ยังนับว่ามีความนอบน้อมและเกรงใจ ดูเหมือนเขาจะรู้จักปีศาจอสูรเกือบทุกชนิด ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงประทับใจเขาไม่น้อย
“ที่ข้ามาตลาดเมื่อครั้งก่อน ก็เพื่อซื้อโอสถจำนวนหนึ่ง ตอนนี้ถึงโชคดีทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นที่พี่หลิ่วมาในครั้งนี้ เพราะมีวัสดุปีศาจอสูรมาขายใช่หรือไม่?” กู่เจี้ยเทียนหัวเราะ และถามอย่างอดใจไม่ไหว สีหน้าเต็มไปด้วยการรอคอย
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกาย เขาหันไปสั่งคนในร้านให้ดูหน้าร้านไว้ จากนั้นก็เดินเข้าไปด้านในกับหลิ่วหมิงด้วยความดีใจ
…………………………………