ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 518 โอสถระดับสูง
หลิ่วหมิงรับรู้ถึงพลังเวทที่ไหลภายในร่างอย่างรวดเร็ว สีหน้าดูเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก
สำหรับเวลานี้ เขารอคอยมานานแล้ว พอตบถุงหนังสีดำสองใบบนเอว หมอกดำสองกลุ่มก็ม้วนตัวออกมา มันค่อยๆ รวมตัวกันเป็นแมงป่องกระดูกสีเงินกับหัวบินหน้าอัปลักษณ์
“นายท่าน!” มีเสียงเด็กสาวกับเด็กชายดังขึ้นข้างหู
หลิ่วหมิงไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองพวกมันทีหนึ่ง จากนั้นก็ใช้จิตสั่งพวกมันอย่างง่ายๆ
ครู่ต่อมา แมงป่องกระดูกก็ใช้ก้ามทั้งสองเกาะขาหลิ่วหมิงไว้ และหิวบินก็ปล่อยผมยาวออกมารัดพันแขนของหลิ่วหมิงไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย และตรวจสอบวัตถุดิบที่อยู่ในหอยสังข์ย่อส่วนกับยันต์เก็บของไปหนึ่งรอบ หลังจากค้นพบว่าเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เขาก็ทำท่ามือและหลับตาทั้งคู่ลง จากนั้นก็เริ่มควบคุมการเคลื่อนไหวของพลังเวทภายในร่าง และรอคอยให้พลังเวทถูกดูดกลืนจนหมด เพื่อที่จะได้เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ
ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป สีหน้าที่มีเลือดฝาดของเขา ก็ค่อยๆ ซีดขาวขึ้นมา ไอหมอกดำที่พวยพุ่งรอบตัว ก็เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด
พอพลังเวทถูกดูดไปแปดถึงเก้าในสิบส่วน แรงดึงดูดในจุดตันเถียนก็หยุดชะงักลง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย สุดท้ายเขายังไม่ทันได้คิดอะไร ก็มีเสียงดัง “หวึ่ง!” จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง
เมื่อเขาเห็นทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชัดเจน ร่างของเขาก็มาอยู่ในห้องว่างเปล่าสีเทาแล้ว
ห้องว่างเปล่าในขณะนี้มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ มีพื้นที่มากขึ้นกว่าครั้งก่อนไม่น้อย
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูหัวบินกับแมงป่องกระดูกที่อยู่ด้านข้าง พวกมันทั้งสองถูกนำเข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับอย่างปลอดภัยเช่นกัน
“เอาล่ะ! สิ่งที่มีในตอนนี้ก็คือเวลา พวกเจ้าทั้งสองไปฝึกฝนเถอะ!” หลิ่วหมิงโบกมือและกล่าวออกมาเบาๆ
“ทราบ…นายท่าน…”
แมงป่องกระดูกโบกก้ามทั้งคู่ และกระโดดลงไปอย่างรวดเร็ว มันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็ไปปรากฏตัวหน้ากำแพงหมอกที่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ขณะเดียวกัน หางตะขอก็ปักใส่ผนังหมอกอย่างบ้าคลั่ง
หัวบินก็ไม่ยอมน้อยหน้า พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเงาเก้าเงา และพุ่งไปยังกำแพงหมอกอีกด้านหนึ่ง
พอเห็นว่าอสูรเลี้ยงแสนรักของตนเริ่มฝึกฝนแล้ว หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตาไปรอบด้าน และตะโกนออกมา
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ผู้น้อยมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะเล็กน้อย ขอท่านปรากฏตัวด้วย”
เสียงดังก้องอยู่ในห้องว่างเปล่า หนึ่งเค่อผ่านไปก็ยังไม่มีการตอบรับใดๆ กลับมา
หลิ่วหมิงตะโกนเรียกเช่นนี้อีกสองสามรอบ แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะปรากฏตัวออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ส่ายหน้าด้วยความจนใจ
ดูท่าหลัวโหวคงไม่ยอมปรากฏตัวในตอนนี้ หรือไม่ก็หลับลึกอีกแล้ว
เขานั่งขัดสมาธิลงไปทันที และเริ่มนึกถึงเนื้อหาในคัมภีร์ของหอนานัปการ ที่แนะนำเกี่ยวกับระบบและประเภทโอสถในแผ่นดินจงเทียนอย่างเงียบๆ
ตามที่บันทึกไว้ แดนบำเพ็ญเซียนในแผ่นดินจงเทียนแบ่งโอสถละเอียดมาก และได้กลายเป็นระบบใหญ่ในโลกการฝึกฝนแล้ว ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แผ่นดินอวิ๋นชวนจะสามารถเปรียบเทียบได้
แม้ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปจะใช้โอสถที่เหมาะสมกับระดับการฝึกฝนมาแบ่งประเภทเป็นระดับศิษย์จิตวิญญาณ ระดับของเหลว ระดับผลึก จนกระทั่งระดับแก่นแท้ขึ้นไป และเรียกโอสถระดับต่ำหรือโอสถระดับสูงตามความยากง่ายในการปรุง
แต่ความจริงแล้วโอสถของแต่ละระดับ สามารถแบ่งได้ตามระดับความบริสุทธิ์ของโอสถ คือโอสถระดับต่ำ โอสถระดับกลาง และโอสถระดับสูง
โอสถแต่ละชนิดที่ปรุงออกมา ไม่อาจหลีกเลี่ยงสิ่งเจือปนที่ไม่มีประโยชน์กับผู้ทานได้ และอาศัยวิธีการต่างๆ ในการประเมินค่าของมันได้โดยง่าย
โอสถระดับต่ำ คือโอสถที่มีสิ่งเจือปนเกินห้าส่วนขึ้นไป ซึ่งมีความบริสุทธิ์น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง
โอสถระดับกลาง คือโอสถที่มีความบริสุทธิ์ห้าถึงเจ็ดส่วน
โอสถระดับสูง เป็นโอสถที่มีความบริสุทธิ์เจ็ดส่วนขึ้นไป และโอสถที่มีความบริสุทธิ์เจ็ดถึงแปดส่วน เรียกว่าโอสถธรรมดา โอสถที่มีความบริสุทธิ์แปดถึงเก้าส่วน เรียกว่าโอสถพสุธา และโอสถที่มีความบริสุทธิ์เก้าส่วนขึ้นไป ก็เป็นโอสถสวรรค์ตามที่เล่าลือกันแล้ว
และพอโอสถเข้าสู่ระดับสูงแล้ว ก็จะมีลายเส้นจิตวิญญาณปรากฏบนพื้นผิว และลายเส้นยิ่งมาก คุณภาพของโอสถก็ยิ่งสูง และลายเส้นจิตวิญญาณเหล่านี้ ก็ถูกเรียกกันว่าลายโอสถ ด้วยเหตุนี้ต่อให้จะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ก็สามารถแยกแยะคุณภาพของโอสถผ่านลายโอสถได้อย่างง่ายดาย
โดยทั่วไปแล้ว โอสถที่มีลายสามเส้นลงไปจะเป็นโอสถธรรมดา สามเส้นถึงหกเส้นจะเป็นโอสถพสุธา และหกเส้นขึ้นไปย่อมเป็นโอสถสวรรค์แล้ว
และพอโอสถเข้าสู่ระดับสูงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าหรือราคาของมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่โอสถระดับกลางจะสามารถเทียบได้ เพราะโอสถที่มีความบริสุทธิ์สูง ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์หรืออาการต่อต้านโอสถล้วนแตกต่างกันยิ่งนัก
แม้กระทั่งโอสถที่มีผลกระทบพิเศษบางอย่าง หากมีความบริสุทธิ์แตกต่างกันหนึ่งถึงห้าส่วน ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ในการทานแตกต่างกันราวฟ้ากับดินก็เป็นได้
และในแผ่นดินจงเทียน มีเพียงแค่ผู้เชี่ยวชาญที่สามารถปรุงโอสถระดับสูงได้เท่านั้น ถึงจะเรียกว่าเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่แท้จริงได้
พอหลิ่วหมิงนึกถึงโอสถชิงซ่านที่ฟางเหยาปรุงให้เขาในทะเลหนานไห่ ดูเหมือนว่าจะมีลายโอสถอยู่สองเส้น ดังนั้นจึงนับว่าเขาพอจะคู่ควรกับคำว่าปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถได้
แน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่สามารถปรุงโอสถระดับสูงของระดับศิษย์จิตวิญญาณ ระดับของเหลว และระดับผลึกได้ ย่อมแตกต่างกันมาก
เพราะอย่างแรกยังต้องอาศัยทรัพยากรของนิกายหรือตระกูลเป็นจำนวนมาก แต่อย่างหลังต้องพึ่งพรสวรรค์การปรุงโอสถของตัวเองจริงๆ
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ในใจ และนึกถึงตอนที่เข้าห้องว่างเปล่าลึกลับในเมืองเสวียนจิงของแผ่นดินอวิ๋นชวน เขาเคยปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณแบบเดียวกันเป็นจำนวนมาก และปรุงโอสถธรรมดาที่มีลายโอสถหนึ่งเส้น
และในโลกของผู้ฝึกฝน ต่างก็เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนที่มีระดับการฝึกฝนยิ่งสูง ก็ยิ่งหาผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่เหมาะสมกับระดับการฝึกฝนของตนเองได้ยากยิ่งนัก
พอหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ เขาก็หยิบกล่องหยกใส่โอสถสีเงินที่มีเปลวไฟสามสีปกคลุมอยู่ออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วน หลังจากเปิดฝาออก ก็ใช้นิ้วคีบมันขึ้นมาสังเกตดู
เมื่อมองทะลุเปลวไฟสามสีไป และมั่นใจว่าบนนั้นมีลายโอสถอยู่สามเส้นแล้ว แววตาหลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าและเก็บโอสถเข้าไป
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มจากโอสถผลึกเย็นเถอะ!”
เขาพูดพึมพำออกมา จากนั้นก็หยิบตำราโอสถออกจากแขนเสื้อมาแผ่นหนึ่ง และศึกษาอย่างละเอียด
ครึ่งวันผ่านไป หลังจากพินิจพิเคราะห์ไปรอบหนึ่งแล้ว เขาก็สะบัดแขนเสื้อทันที เตาหลอมสามขาเล็กๆ ที่มีสีเงินจางๆ พุ่งออกมา จากนั้นก็พร่ามัวยืดตัวสูงขึ้นหลายฉื่อ และค่อยๆ ร่วงลงพื้นอย่างมั่นคง
เขาล้วงเข้าไปในแขนเสื้ออีกครั้ง และควักยันต์สีเหลืองจางๆ ออกมา
ลายเส้นจิตวิญญาณสีเงินปกคลุมอยู่บนผิวยันต์เป็นจำนวนมาก มันคือยันต์เก็บของธรรมดาที่ใส่วัตถุดิบปรุงโอสถนั่นเอง
พอเขาขยี้ยันต์จนแตกกระจาย แสงสีเหลืองก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นวัตถุดิบปรุงโอสถก็กองอยู่บนพื้น
วัตถุดิบเหล่านี้ เขาได้จัดสัดส่วนสำหรับปรุงโอสถผลึกเย็นไว้เรียบร้อยแล้ว มันเพียงพอที่จะใช้ในหนึ่งวัน
เนื่องจากวัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถภายในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้ จะไม่สูญสลายไปอย่างแท้จริง ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้ว เขาเพียงแค่เตรียมวัตถุดิบไว้หนึ่งชุด ก็สามารถปรุงโอสถได้อย่างไม่จำกัด แต่ผู้ที่มีความรอบคอบอย่างเขา ยังคงเตรียมมาห้าชุดด้วยกัน
หลิ่วหมิงปล่อยพลังใส่เตาหลอมสีเงินด้วยตาที่เป็นประกาย
ลายเส้นจิตวิญญาณบนผิวเตาหลอมเปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นก็มีเสียงดังโครมคราม และฝาเตาก็ค่อยๆ เปิดออกมา
พอเขายกแขนเสื้อขึ้น ก็มีพายุพัดผ่าน จากนั้นวัตถุดิบปรุงโอสถก็ม้วนตัวเข้าไปในเตาหลอมทันที
พอเขาโบกแขนเสื้อเบาๆ ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิลงไป และร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองก็ดีดออกไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อปล่อยพลังเข้าไปในเตาหลอมสีเงิน
เตาหลอมค่อยๆ สั่นสะท้าน เปลวไฟลุกไหม้ขึ้นมา และปกคลุมเตาหลอมสีเงินไว้
วันที่สอง
มีเสียงดังระเบิดดัง “ตู๊ม!” ในเตาหลอม จากนั้นกลิ่นเหม็นไหม้ก็ลอยออกมา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และหยุดทำท่ามือ หลังจากนำเศษวัตถุดิบสีดำออกมาแล้ว เขาก็หยิบยันต์สีเหลืองจางๆ ออกจากแขนเสื้อมาหนึ่งผืน จากนั้นก็ขยี้ยันต์ และเทวัตถุดิบลงในเตาหลอม และเริ่มปรุงโอสถเป็นครั้งที่สอง
……
หนึ่งเดือนต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงหยิบเศษสีดำออกจากเตาหลอมอีกครั้งนั้น เขาก็ต้องขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
เขาปรุงโอสถผลึกเย็นเป็นครั้งที่สามสิบแล้ว สามสิบครั้งในก่อนหน้าไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง แม้แต่โอสถที่มีความบริสุทธิ์ต่ำสุดก็ยังไม่เคยปรุงสำเร็จเลยซักเม็ด
เดิมทีคิดว่าตนเองพอจะมีประสบการณ์การปรุงโอสถอยู่บ้าง ตอนนี้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ดูท่าโอสถระดับของเหลวนี้ จะปรุงยากกว่าระดับศิษย์จิตวิญญาณไม่รู้ตั้งกี่เท่า
เขาลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายไปหนึ่งรอบ และสำรวจดูการฝึกฝนของแมงป่องกระดูกกับหัวบิน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิปรุงโอสถต่อ
……
ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน หลิ่วหมิงยังคงนั่งอยู่หน้าเตาหลอม และตั้งใจกระตุ้นพลังควบคุมเตาหลอม มีเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วผุดออกมาเต็มหน้าผาก
สามเดือนต่อมา หลิ่วหมิงจ้องมองโอสถไหม้เกรียมในเตาหลอม และยิ้มอย่างขมขื่น
หกเดือนผ่านไป……
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว
ภายในห้องว่างเปล่าลึกลับ หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมสีเงิน และจ้องมองโอสถสีเงินแวววาวเม็ดหนึ่งตรงหน้า ในที่สุดเขาก็เผยสีหน้าเบิกบานใจออกมา
โอสถผลึกเย็นเม็ดนี้ เป็นความสำเร็จหนึ่งเดียวหลังจากลองผิดลองถูกมาหนึ่งปี นี่ยังถือว่าโชคดีที่เขาพอจะมีประสบการณ์ปรุงโอสถอยู่บ้าง
หลังจากประเมินค่าง่ายๆ จากบันทึกในคัมภีร์แล้ว ความบริสุทธิ์ของโอสถผลึกเย็นนี้มีความบริสุทธิ์แค่สามส่วน พอจะนับได้ว่าเป็นโอสถระดับต่ำเท่านั้น
แม้จะบอกว่าเป็นโอสถที่มีความบริสุทธิ์แค่สามส่วน แต่กลับเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับหลิ่วหมิงมาก
อย่างที่รู้ว่า คนธรรมดาไม่ต้องพูดถึงการล้มเหลวหลายร้อยครั้ง เพียงแค่เผชิญกับความล้มเหลวแค่หลายสิบหรือสิบครั้ง ก็หมดความเชื่อมั่น และละทิ้งไปตั้งนานแล้ว
เขานำโอสถใส่กล่องหยกที่เตรียมมา จากนั้นก็ขยี้ยันต์อีกผืน พอใส่วัตถุดิบเข้าไปในเตาหลอมสีเงินตรงหน้าแล้ว ก็จดจ่ออยู่กับการปรุงโอสถต่อ
ในเมื่อมีความสำเร็จแรกเกิดขึ้น หลิ่วหมิงเชื่อว่าโอสถที่จะหลอมสำเร็จในครั้งหน้า จะต้องใช้เวลาไม่นานมากนัก
…………………………………