ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 52 การเปลี่ยนแปลงอันตื่นตะลึง
“ในเมื่อผลหยกสวรรค์ตกเป็นของสหายทั้งสองข้อมูลนี้ก็ไม่มีประโยชน์ต่อพวกข้าแล้ว สหายทั้งสองก็น่าจะรู้ว่าตลาดเจ้าสมุทรกำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้ง ผลหยกสวรรค์เป็นหนึ่งในสิ่งของที่เผ่าเจ้าสมุทรใช้แลกในครั้งนี้” ต้าซั่งกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อะไรนะ ตลาดเจ้าสมุทรปรากฏออกมาแล้ว! สหายทั้งสองคงไม่ล้อกันเล่นใช่ไหม อยู่ที่แคว้นใด? ทำไมข้าทั้งสองถึงไม่รู้ข่าวเลยแม้แต่น้อย!” จูชื่อได้ยินก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“ฮึ! อยู่ที่แคว้นไห่เยวี่ย ถ้าไม่ใช่ว่านิกายของเรากำลังไปทำธุระที่นั่นพอดีก็คงไม่รู้ข้อมูลนี้หรอก” ต้าจื้อตอบ
“แคว้นไห่เยว่ มิน่าล่ะ ฮ่าๆ ขอบคุณสหายทั้งสองที่บอกความจริง” จูชื่อหัวเราะออกมา
นักพรตจงได้ยินบทสนทนานี้ก็แสดงท่าทีตกใจระคนดีใจ
“สหายจูอย่าเพิ่งด่วนดีใจไปเลย ถึงแม้ในตลาดเจ้าสมุทรจะมีสิ่งของล้ำค่ามากมายแต่ก็ต้องดวงดีด้วย ถึงจะได้มาซึ่งสิ่งของที่อยากได้ มิฉะนั้นอาจจะเสียเปรียบพวกเผ่าเจ้าสมุทรจนกลับมามือเปล่าได้” ต้าจื้อกล่าวด้วยความรู้สึกฮึดฮัดไม่พอใจ
“เรื่องนี้สหายท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ในเมื่อได้รับโอกาสอันดีนี้ข้าจะคิดหาวิธีการดีๆ ก่อนแล้วค่อยไป” จูชื่อระงับรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วตอบกลับไป
หลิ่วหมิงและศิษย์คนอื่นๆ ในนั้น ต่างก็ได้ยินชื่อตลาดเผ่าเจ้าสมุทรเป็นครั้งแรก พวกเขาแสดงสีหน้างุนงงออกมา
“เอาล่ะ! ชงเทียน เจ้าใช้ของสิ่งนี้เก็บผลหยกสวรรค์มาใส่ในตระกร้าให้หมด จำไว้ให้ดีผลหยกสวรรค์เป็นธาตุไฟ อย่าให้ร่างกายสัมผัสกับมันโดยตรงเด็ดขาด มิเช่นนั้นมันจะสลายกลายเป็นไฟ” ตอนนี้นักพรตจงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า หยิบยันต์สองผืนออกมาจากแขนเสื้อโยนไปด้านหน้า ครู่เดียวก็กลายเป็นตระกร้าสีแดงกับค้อนเล็กๆ สีเดียวกันลอยอยู่ในอากาศ
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” พอหลิ่วหมิงได้ยินก็รีบก้มหน้าตอบรับ แต่พอยกแขนขึ้นเก็บของทั้งสองสิ่งความเจ็บปวดจากแผลไหม้บนร่างกายแต่ละส่วนก็ทำให้เขาเบะปากอย่างอดไม่ได้
“เดี๋ยวก่อน ข้ามีโอสถจิตวิญญาณขวดหนึ่งเจ้าเอามันทาบาดแผลแล้วค่อยไป” นักพรตจงเห็นเช่นนี้ก็รีบหยิบขวดเล็กๆ ส่งให้หลิ่วหมิง
“ขอบคุณอาจารย์อา” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยความดีใจ รีบรับขวดโอสถมา เขาเทโอสถเหลวสีใสลงไปบนบาดแผล และถูมันครู่หนึ่ง ความรู้สึกเย็นชุ่มชื้นแผ่กระจายไปทั่วร่างความเจ็บก็จางหายไปครึ่งหนึ่ง
พอจิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมา ก็เก็บขวดโอสถแล้วถือตระกร้ากับค้อนเล็กเดินมุ่งหน้าไปยังต้นจิตวิญญาณ
พอหลิ่วหมิงเดินถึงหน้าม่านแสงสีฟ้าที่แผ่คลุมต้นจิตวิญญาณนั้น เขาลังเลเล็กน้อย และเห็นจูชื่อกับนักพรตจงไม่ได้แสดงท่าทีอะไรก็รีบก้าวยาวเข้าไปด้านหน้า
แสงสีฟ้าตรงหน้ากะพริบ!
เขาแค่รู้สึกถึงความเย็นแล้วก็เดินเข้าไปในม่านแสง ไอที่ร้อนระอุกว่าภายนอกเหล่าเท่าถาโถมเข้ามา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว หลังจากกระตุ้นพลังเวทย์ไอสีดำก็ม้วนตัวออกมาจากตัว ความรู้สึกร้อนก็ลดลงไปเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาถึงก้าวไปยังใต้ต้นจิตวิญญาณ ยกค้อนขึ้นเคาะผลจิตวิญญาณสีเขียวผลหนึ่ง
เสียงดัง “ตุบ!”
ผลหยกสวรรค์ลูกหนึ่งที่ดูเหมือนสุกได้ที่มาระยะหนึ่งแล้ว หลุดจากขั้วตกลงมาในตระกร้าสีแดงที่รอรับอยู่
หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ก็ไม่ลังเลที่จะเคาะลูกอื่นๆ ต่อ
ผลจิตวิญญาณแต่ละผลกลิ้งตกลงไป พริบตาเดียวก็เต็มครึ่งตระกร้า
จูชื่อและนักพรตจงที่อยู่ด้านนอกเห็นดังนี้ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
ต้าจื้อกับต้าซั่งได้แต่ฝืนยิ้มขมขื่น
“ไปเถอะ ในเมื่อไม่มีผลจิตวิญญาณของพวกเราอยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์” ผู้อาวุโสผมขาวกล่าว
ต้าซั่งได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่คัดค้านแต่อย่างใด
ดังนั้นพวกเขาจึงกล่าวลาแล้วพาศิษย์ออกไปจากโพรงใต้ดินแห่งนี้
แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงกำลังเก็บผลหยกสวรรค์ผลสุดท้ายพอดี หลังจากเขายิ้มเล็กน้อยก็คิดที่จะหิ้วตระกร้ากลับไปหาจูชื่อและนักพรตจง
แต่เขาเดินไปไม่กี่ก้าวพื้นด้านหลังก็สั่นสะเทือนขึ้นมา เขารีบหันหน้ากลับไปดูอย่างอดไม่ได้
พื้นบริเวณต้นจิตวิญญาณ มีอักขระสีแดงสิบกว่าตัวโผล่ออกมาตามด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง เปลวเพลิงขนาดใหญ่พุ่งออกมาจากพื้นดิน พริบตาเดียวต้นจิตวิญญาณก็จมอยู่ในเปลวเพลิงนั้น และถูกเผาไหม้จนกลายเป็นขี้เถ้า
เปลวเพลิงโหมกระหน่ำมาทั่วทุกสารทิศ
หลิ่วหมิงตกใจหน้าถอดสีคิดจะขยับตัวเพื่อหนีออกจากที่แห่งนี้ แต่พอเขากระโดดตัวก็มีเงาร่างสั่นไหวข้างกายเขา ร่างของจูชื่อกับนักพรตจงก็ปรากฏออกมา
จูชื่อทำท่ามือด้วยมือเดียวสะบัดแขนเสื้อไปยังด้านหน้า เปลวเพลิงด้านหน้าก็ม้วนตัวกลับไปทันที
และนักพรตจงบังอยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิง เขาบอกให้หลิ่วหมิงระวังแล้วก็จ้องมองเปลวเพลิงอันรุ่งโรจน์โดยไม่กล่าวอะไรออกมา
ตอนนี้มีเสียงกึกก้องดังขึ้น ผู้อาวุโสสองท่านที่เดิมทีได้เดินมาถึงประตูทางออกแล้วได้ย้อนกลับมามองดูเปลวเพลิงอันโชติช่วงด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ผ่านไปสักครู่ เปลวเพลิงที่ประทุออกจากพื้นดินก็ดับไป แต่ทิ้งค่ายกลสีแดงขนาดจั้งกว่าๆ ไว้ อักขระสีแดงรอบด้านสิบกว่าตัวกะพริบอยู่ไม่หยุด และยังกระจายไอร้อนออกมา
“ค่ายกลเคลื่อนที่”
พอจูชื่อเห็นลักษณะของค่ากลชัดเจนแล้วก็กล่าวด้วยใบที่หน้าเปลี่ยนสี
“ไม่ผิด คือค่ายกลนี้อย่างแน่นอน เฮ่อๆ นับว่าเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์จริงๆ นักพรตสยบมังกรยังซ่อนสถานที่ลับไว้ในที่แห่งนี้ พวกข้าต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากต้นจิตวิญญาณถูกทำลายแล้วทางเข้านี้ถึงจะปรากฏออกมา” ต้าจื้อก็จ้องมองค่ายกลสีแดง และกล่าวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
ถึงแม้นักพรตจงกับต้าซั่งจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่แววตาที่ดูประหลาดใจจองพวกเขาใครๆ ก็มองออก
“ดูเหมือนท่านทั้งสองคิดจะเข้าไปตรวจสอบในตอนนี้! แต่ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้เตรียมพร้อม ถ้าหากเข้าไปตอนนี้ล่ะก็ มันจะบุ่มบ่ามไปหน่อยไหม” จูชื่อหันหน้ากลับมากล่าวกับผู้อาวุโสผมขาวอย่างลังเล
“เตรียมพร้อมอะไร? ในเมื่อต้นจิตวิญญาณถูกทำลายแล้ว ไฟใต้พิภพคงจะประทุออกมาในเร็วๆ นี้ พอถึงตอนนั้นเกาะทั้งเกาะก็จะถูกทำลาย แล้วจะไปหาสมบัติของนักพรตสยบมังกรได้ที่ไหน เอาอย่างนี้เถอะ ให้ศิษย์พวกเราถอยออกไปจากเกาะก่อน จากนั้นพวกเราก็ร่วมมือกันสำรวจภายในดีไหม? ส่วนใครจะได้รับสมบัติอะไรนั้นก็ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาสแล้ว” ผู้อาวุโสผมขาวส่ายหน้ากล่าวออกมา
“ดี งั้นข้าจะลองเสี่ยงดูสักครั้ง” สีหน้าจูชื่อเปลี่ยนมาดูดีพักหนึ่งแล้วกัดฟันตอบตกลง
ต้าซั่งและนักพรตจงลังเลครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ
ดังนั้นทั้งสี่คนจึงสั่งให้ศิษย์ค่อยๆ ออกไปจากโพรงใต้ดิน
และก่อนที่หลิ่วหมิงจะเดินออกไป เขาได้เอาตะกร้าผลจิตวิญญาณให้ไว้กับจูชื่อแล้วถึงจะเดินออกไปกับคนอื่นๆ
เวลาผ่านไปสักพัก พวกของหลิ่วหมิงทั้งสามและศิษย์หุบเขาเก้าช่องสิบกว่าคน ก็ขี่เมฆลอยอยู่ด้านบนของกองหินที่อยู่ใจกลางเกาะ และยืนรอบนนั้นอย่างสงบ
แต่พวกเขาก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย และต่างก็จ้องมองกันจากที่ไกลๆ
เวลาค่อยๆ ผ่านไปทีละน้อย พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ด้านล่างก็ยังคงเงียบสงบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ศิษย์หลายต่างก็รู้สึกไม่สบายใจ บางคนก็เริ่มกระซิบกระซาบออกมา
และในตอนนี้ ด้านล่างก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว อยู่ๆ ก้องหินก็ระเบิดออกมา แสงสีแดงลำหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น หลังจากที่มันพร่ามัว ก็กลายเป็นแสงสีแดงจำนวนมากพุ่งออกไปรอบทิศทาง
“รีบหลบไป พวกนี้คือกระบี่ปราณพวกเจ้าไม่อาจต้านทานได้” เสียงตะโกนดังมาจากด้านล่าง ตามด้วยเงาร่างคนสั่นไหว จูชื่อและคนอื่นๆ ต่างก็ขี่เมฆเหาะออกมา แต่เสื้อผ้าแต่ละคนขาดรุ่งริ่ง ศีรษะเต็มไปด้วยเหงื่อราวกับว่าผ่านการรบที่ดุเดือด
แต่คำเตือนของพวกเขากลับช้าไป หลังจากเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ศิษย์หลายคนถูกเส้นสีแดงแทงทะลุตัดเอวออกเป็นสองท่อน
ในนั้นรวมถึงอวี๋เฉิงที่เป็นศิษย์สาขาเก้าทารกด้วย
เซียวเฟิงกับหลิ่วหมิงนับว่ามีการตอบสนองที่รวดเร็ว พอที่จะหลบเส้นสีแดงที่เปล่งประกายออกมาได้ แต่เหงื่อออกเต็มศีรษะด้วยความตกใจอย่างช่วยไม่ได้
แต่ตอนที่พวกเขายังไม่ทันจะรับมือแต่อย่างใด ก็มีเงาร่างสั่นไหวตรงข้างกายของแต่ละคน จูชื่อและนักพรตจงก็แยกออกไปยืนด้านหน้าแล้วต่างก็คว้าศิษย์แต่ละคนไว้
จูชื่อสะบัดแขนเสื้อ ยันต์แผ่นหนึ่งได้พุ่งออกมา หลังจากไอสีขาวกระจายออกมาแล้วเรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้นด้านหน้า
ทั้งสองพาหลิ่วหมิงและเซียวเฟิงหายวับเข้าไปในเรือเหาะ
เสียงดัง “ฟิ้ว!”
จูชื่อทำท่ามืออย่างรวดเร็ว เรือเหาะหยกจิตวิญญาณก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเขียวพุ่งออกไป
ในขณะเดียวกันทางฝั่งหุบเขาเก้าช่อง ต้าจื้อและต้าซั่งก็ปล่อยอาวุธเหาะจิตวิญญาณที่คล้ายกับหอออกมา นำศิษย์ที่เหลืออยู่เข้าไปในนั้นแล้วพุ่งหนีเอาชีวิตรอดไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ที่ทั้งสองฝ่ายใช้ต่างก็เป็นอาวุธเหาะจิตวิญญาณ ความเร็วมันเร็วกว่าที่คิดไว้มากครู่เดียวก็ออกมาถึงรอบนอกของเกาะแล้ว
เกาะด้านล่างเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เปลวเพลิงแต่ละสายพุ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า ครู่เดียวเกาะทั้งเกาะก็กลายทะเลเพลิง
ในขณะนี้ มีเสียงร้องดังยาวมาจากกลางทะเลเพลิง เสียงแสบแก้วหูเป็นพิเศษทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกชาไปทั้งตัว
“แย่แล้วศิษย์พี่ มันฟื้นขึ้นมาแล้ว เร็วขึ้นอีกสักหน่อยอย่าให้มันตามทัน” พอนักพรตจงได้ยินเสียงร้องนี้สีหน้าก็ซีดเผือดลง และกล่าวอย่างรีบเร่ง
“ศิษย์น้องช่วยข้าอีกแรง ข้าจะใช้วิชาโลหิตต้องห้าม” จูชื่อได้ยินเสียงร้องก็แสดงสีหน้าหวาดกลัวเช่นกัน จากนั้นเขาก็กัดฟันกล่าวขึ้นมา
“ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองรีบนั่งลงให้เรียบร้อย” นักพรตจงตอบโดยไม่ต้องคิด และรีบกำชับเซียวเฟิงกับหลิ่วหมิง
เห็นได้ชัดว่าเซียวเฟิงยังไม่สามารถเรียกสติคืนมาได้หลังจากเขาเห็นฉากตอนที่อวี๋เฉิงเสียชีวิต เขาทำได้แต่พยักหน้าตอบรับ
หลิ่วหมิงได้ยินแล้วกลับรู้สึกเย็นยะเยือก รีบนั่งลงไป และจับของเรือเหาะไว้แน่น
ถึงแม้นักพรตจงจะมองเห็นว่าเซียวเฟิงดูไม่ค่อยปกติ แต่ก็ไม่มีเวลาสนใจมากแค่แวบร่างไปยังด้านหลังของจูชื่อ มือทั้งสองทาบไว้บนหลังเขา ขณะเดียวกันก็ปล่อยแสงสีขาวกระจายออกมา
จูชื่อคำรามเสียงต่ำ อ้าปากพ่นโลหิตออกมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็วอีกครั้ง
……………………………………….