ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 533 หอการค้าเชียนเหมิง
พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ไข่หนอนสีเขียวก็หล่นลงในมือ
ขณะนี้จุดดำบนผิวไข่หนอนได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว
เขามองดูมันเล็กน้อยแล้วก็เก็บไว้กับตัวอย่างระมัดระวัง
“เอาล่ะ ที่ควรบอกก็ได้บอกเจ้าไปหมดแล้ว เจ้าไปได้” หลัวโหวกล่าวอย่างราบเรียบ พอโบกแขนเสื้อ พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวเข้ามา
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอะไร ก็รู้สึกว่าตรงหน้ามืดลง ครู่ต่อมาก็กลับมาในห้องสงบจิตชั้นสามอีกครั้ง
พอเขาเห็นเช่นนี้ก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เป็นครั้งแรก
หลัวโหวทำให้เขารู้สึกว่า เหมือนไม่อยากติดต่อกับเขา
หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกกลัดกลุ้มเรื่องโลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปีมาก
เพราะสิ่งของระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามารถพบเจอได้โดยง่าย แม้แต่ในตลาดก็ใช่ว่าจะหาเจอได้ง่ายเช่นนั้น
อย่างน้อยหลายวันมานี้ ร้านที่เขาไปดูก็ไม่เห็นมีสิ่งของที่คล้ายกันขายอยู่เลย
พอหลิ่วหมิงนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็รีบเก็บชั้นจำกัดในห้อง และเดินลงหอไป
เวลาในสามวันต่อมา พอมีเวลาว่างเขาจะออกไปจากร้าน และเดินดูร้านต่างๆ ในตลาดที่น่าสนใจ
……
สามวันต่อมา เขตการค้าเสรีที่อยู่ใกล้กับทะเลสาบ เป็นสิ่งก่อสร้างรูปทรงหกเหลี่ยมที่สูงสิบกว่าจั้งๆ มันครอบครองพื้นที่ราวๆ สิบกว่าหมู่
ชายรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสีขาวสองคนกำลังยืนตระหง่านอยู่ทั้งสองด้านของประตูใหญ่ ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ทำให้รับรู้ได้ลางๆ ว่าเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย
หน้าประตูมีป้ายที่มีอักขระสีดำเขียนอยู่ว่า ‘หอการค้าเชียนเหมิง’ แสงสีทองยามพระอาทิตย์ตกดินส่องสะท้อนมา ทำให้ดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก และมีคนจำนวนหนึ่งเดินเข้าๆ ออกๆ ตรงประตูใหญ่อยู่ตลอดเวลา
สถานที่แห่งนี้เป็นห้องโถงประมูลที่ใหญ่ที่สุดในตลาดฉางหยาง
และตรงป้ายประกาศข้างรั้ว ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำกำลังจ้องมองประกาศที่อยู่บนนั้น
“สี่เดือนให้หลัง……”
ชายชุดดำพูดพึมพำออกมา และหมุนตัวเดินไปทางประตูใหญ่
“สหายผู้นี้ ข้าน้อยมาตลาดฉางหยางเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่างานประมูลที่หอการค้าของท่านจัดขึ้น มีข้อจำกัดในการเข้าร่วมหรือไม่?” ชายชุดดำสอบถามชายชุดขาวที่หน้าประตูด้วยรอยยิ้ม
ดูเหมือนชายชุดขาวไม่คิดจะสนใจเขา ยังคงเพ่งมองไปด้านหน้าด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ชายชุดดำเห็นเช่นนี้ก็ส่ายหน้าและหมุนตัวเดินจากไป
“สหายผู้นี้ช้าก่อน! ข้าน้อยจั๋วจี๋ พรรคกระบี่วารี ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่าเยี่ยงไร?” ขณะนี้ชายหนุ่มชุดสีแดงอ่อน อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี ใบหน้างดงาม เดินออกมาจากห้องโถง และเรียกชายวัยกลางคนอย่างสุภาพ
“สหายจั๋วมากพิธีแล้ว ข้าน้อยแซ่เย่ เป็นผู้ฝึกฝนอิสระ” ชายวัยกลางคนได้ยิน ก็ค่อยๆ หันกลับมาตอบ
“ที่แท้ก็เป็นสหายเย่ สหายมาตลาดฉางหยางเป็นครั้งแรก คิดว่าคงจะไม่ค่อยเข้าใจการประมูลของหอการค้าเชียนเหมิง แท้จริงแล้วหอการค้าเชียนเหมิงของเราก่อตั้งขึ้นจากหอการค้าขนาดต่างๆ นับพันแห่ง แม้จะบอกว่าแต่ละหอการค้ามีขอบข่ายอิทธิพลไม่มากนัก และไม่อาจเทียบกับสี่ยอดนิกายใหญ่ หรือแปดตระกูลใหญ่ได้ แต่ก็ยังพอนับว่ามีชื่อเสียงในจงโจวอยู่บ้าง” ชายหนุ่มชุดแดงค่อยๆ อธิบายออกมา
ชายวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ
“สหายจั๋ว ไม่ทราบว่างานประมูลนี้ เคยเชิญผู้ฝึกฝนอิสระอย่างข้าเข้าร่วมหรือไม่?” ชายวัยกลางคนถามขึ้นมา
“งานประมูลใหญ่ไม่มีข้อจำกัดที่ท่านกล่าวถึง เพียงแค่สหายพกหินจิตวิญญาณมากพอก็มาร่วมได้แล้ว หากสหายมีสิ่งใดที่อยากนำเข้ามาประมูล ข้าน้อยก็สามารถแนะนำผู้ประเมินค่าในการประมูลครั้งนี้ให้ได้ หลังผ่านการประเมินค่าแล้ว ก็เข้าร่วมประมูลได้ เมื่อทำการซื้อขายกันเสร็จ ทางเราจะคิดค่าธรรมเนียมแค่หนึ่งส่วนเท่านั้น” ชายหนุ่มชุดแดงหัวเราะและกล่าวออกมา
“ขอบคุณพี่จั๋ว ข้าน้อยยังต้องไปซื้อวัตถุดิบจำนวนหนึ่งที่ตลาด ต้องขอตัวก่อน อีกสี่เดือนให้หลังจะต้องมาเข้าร่วมอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนประสานมือคารวะและหมุนตัวเดินจากไป ไม่นานก็หายไปจากมุมถนนในตลาด
ชายหนุ่มชุดแดงมองตามหลังเขาไปด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโถงทันที
ชายวัยกลางคนผู้นั้นเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เดินเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่ไร้ผู้คน ไม่นานชายหนุ่มชุดเขียวก็ค่อยๆ เดินออกมาจากในนั้น
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
“คิดไม่ถึงว่าอิทธิพลของหอการค้าเชียนเหมิงจะใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก” เขาถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็เดินไปทางหอร้อยหลอม
……
ภายในห้องสงบจิตบนหอชั้นสาม หลิ่วหมิงมีสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่แววตากลับเป็นประกาย ดูเหมือนว่ากำลังคิดเรื่องราวอะไรบางอย่างอยู่
มุมหนึ่งของห้องสงบจิต กลับมีกล่องหยกจำนวนมากวางอยู่บนโต๊ะไม้ตัวหนึ่ง
หลังจากเดินเตร่ไปมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาก็เข้าใจสถานการณ์ส่วนใหญ่ของตลาดฉางหยางได้ชัดเจนขึ้น เขาเลือกร้านค้าสองสามแห่งที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ และวางแผนว่าจะออกไปขายโอสถผลึกเย็นที่เหลือในอีกไม่กี่วัน
แต่สำหรับโอสถระดับสูงไม่กี่เม็ดที่เหลืออยู่ เขายังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับมันดี
เพราะโอสถระดับสูงไม่เหมือนกับโอสถระดับกลาง หากจัดการได้ไม่ถูกต้อง จะก่อเกิดความยุ่งยากขึ้นมาได้
หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ตัดสินใจเก็บกล่องหยกบนโต๊ะไม้ทั้งหมด และนั่งสมาธิอยู่บนเบาะอย่างตั้งใจ
บ่ายวันที่สอง หลิ่วหมิงเปลี่ยนรูปร่างที่ไม่เหมือนกับเดิม และหลังจากดินวนอยู่ในตลาดแล้ว เขาก็แบ่งโอสถผลึกเย็นขายให้กับร้านค้าที่เขาหมายตาไว้ในไม่กี่วันก่อน
จากนั้นก็เลี้ยวเข้าไปในร้านโอสถที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเผ่าค้างคาว
ครั้งนี้นอกจากจะมีเด็กรับใช้ชุดดำเหล่านั้นอยู่ในนั้นแล้ว ยังมีชายอายุสามสิบปีกว่าๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นเถ้าแก่ร้าน พอเขาเห็นคนเข้ามา ก็เดินไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
“ข้าเป็นเถ้าแก่ของที่นี่ ไม่ทราบสหายต้องการโอสถหรือวัตถุดิบโอสถ?” เถ้าแก่มนุษย์เผ่าค้างคาวกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ข้าน้อยจะขายโอสถจำนวนหนึ่ง เพื่อแลกกับวัตถุดิบที่โตได้ที่แล้วจำนวนหนึ่ง” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วและกล่าวอย่างไม่เกรงใจ
“อ้อ? ที่นี่ไม่ค่อยสะดวก เชิญท่านไปคุยรายละเอียดที่ชั้นสามเถอะ!” ชายเผ่าค้างคาวสังเกตชายหนุ่มทีหนึ่ง หลังจากลูกตาหมุนไปมาแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มเช่นเดิม
หลิ่วหมิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปตรงบันได
“เยี่ยนเอ๋อร์ ดูร้านก่อนนะ” ชายเผ่าค้างคาวกำชับไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินตามขึ้นไปโดยเร็ว
หอชั้นสามเป็นห้องรับรองที่แยกกันเป็นห้องๆ มีทั้งหมดราวๆ สามสี่ห้อง มีสองห้องที่เปิดอยู่ ส่วนห้องอื่นๆ ก็ปิดแน่นราวกับมีคนอยู่ด้านใน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ปล่อยจิตออกไปกวาดดูทันที แต่ไม่สามารถเข้าไปในห้องรับรองได้เลยแม้แต่น้อย ประจักษ์ชัดว่าเป็นชั้นจำกัดกีดกั้นพลังจิตที่ค่อนข้างแข็งแกร่งมาก
จากนั้นก็เลือกเอาหนึ่งในห้องที่เปิดประตูอยู่ และค่อยๆ ก้าวเข้าไป
ห้องรับรองมีพื้นที่ราวๆ ห้าหกจั้ง ทั้งสี่ด้านมีพืชสีเขียวตั้งแสดงอยู่สองสามกระถาง ใจกลางห้องมีโต๊ะไม้กลมๆ ขนาดจั้งกว่าๆ กับเก้าอี้สองสามตัว ด้านหนึ่งของผนังมีรูปภาพแขวนอยู่ ในรูปมีคนชุดดำที่มีปีกบนหลังจำนวนหนึ่งกำลังต่อสู้กับมังกรสีม่วง
และอีกด้านหนึ่งของผนังก็มีอักขระสีแดงเข้มจำนวนหนึ่งสลักอยู่ พอหลิ่วหมิงปล่อยจิตออกไปสำรวจเล็กน้อย ก็ไม่สามารถมองทะลุได้ และอักขระที่มืดๆ ก็พลันเปล่งแสงทรงกลดสีแดงเจิดจ้าออกมา
ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็เก็บพลังจิตกลับมาทันที และนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง
“อักขระบนผนังนี้เป็นชั้นจำกัดป้องกันที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของเผ่าค้างคาวเรา สามารถปิดกั้นพลังจิตได้ทั้งหมด ต่อให้จะมีระดับการฝึกฝนสูง ก็ไม่อาจเจาะเข้าไปได้แม้แต่น้อย ตรงนี้ท่านวางใจได้ ส่วนรูปภาพที่ท่านมองเห็น เป็นบรรพบุรุษเมื่อหลายหมื่นปีของเผ่าค้างคาวเรา ที่กำลังต่อสู้กับมังกรร้าย” หลังจากหลิ่วหมิงนั่งลงไม่นาน เถ้าแก่มนุษย์เผ่าค้างคาวก็เดินเข้ามา ในมือประคองชาที่เพิ่งจะชงเสร็จอยู่ และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เช่นนี้ก็ดี” หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้ากล่าวออกมา
“เชิญท่านดื่มชาจิตวิญญาณก่อน” ชายมนุษย์เผ่าค้างคาววางชาไว้บนโต๊ะ พอเขาโบกมือเบาๆ ประตูห้องรับรองก็ค่อยๆ ปิดลง
“เอาล่ะ! ตอนนี้ท่านพูดได้แล้วว่าต้องการวัตถุดิบใดกันแน่? นอกจากนี้ท่านจะใช้โอสถอะไรมาแลก?” ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวนั่งลง และถามด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงได้ยินก็นำกล่องหยกสีเขียวออกจากเอวมาวางไว้บนโต๊ะ
“ข้าอยากจะแลกผลผลึกเขียวที่มีอายุห้าร้อยปีขึ้นไปจำนวนหนึ่ง ส่วนจะใช้โอสถอะไรแลกนั้น เถ้าแก่เปิดดูก็จะรู้เอง” หลิ่วหมิงผลักกล่องหยกไปตรงหน้าชายชุดดำเบาๆ และยกชาขึ้นมาจิบทีหนึ่ง
ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวยื่นมือไปรับกล่องหยกมา และใช้มือข้างหนึ่งตบลงบนนั้นเบาๆ หลังจากมีแสงสีเขียวเปล่งกาย มันก็ค่อยๆ เปิดออกมา ไอเย็นสะท้านแผ่ขยายออกมาอยู่พักหนึ่ง เผยให้เห็นโอสถเจ็ดเม็ดที่เปล่งแสงสีเขียวระยิบระยับวางอยู่ด้านใน
“โอสถผลึกเย็น!”
ชายผู้นี้ร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ใช้นิ้วเรียวยาวคีบมันขึ้นมาเม็ดหนึ่งอย่างระมัดระวัง และสังเกตดูอย่างละเอียด
จะเห็นว่ามีแสงสีเขียวอยู่บนผิวโอสถ ลวดลายจิตวิญญาณสองเส้นปรากฏอยู่บนนั้นรำไร
จากนั้นชายชุดดำก็วางมันลงในตลับ และคีบอีกเม็ดขึ้นมาดู
“ทั้งเจ็ดเม็ดต่างก็เป็นโอสถธรรมดา!” หลังจากชายมนุษย์เผ่าค้างคาวตรวจสอบดูโอสถทั้งเจ็ดเม็ดแล้ว ก็มองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าตกใจระคนดีใจ
“ไม่ทราบว่าโอสถผลึกเย็นเหล่านี้ จะแลกผลผลึกเขียวอายุห้าร้อยปีได้กี่ลูก?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“หากสหายอยากจะแลกทั้งหมดล่ะก็ ร้านเราจะใช้ผลผลึกเขียวสิบห้าลูกแลก” ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันกล่าวออกมา
พอหลิ่วหมิงหมิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านั้นเขาได้สอบถามไปรอบหนึ่งแล้ว และรู้ว่าผลผลึกเขียวอายุห้าร้อยปีหนึ่งลูกมีราคาอย่างน้อยสามหมื่นหินจิตวิญญาณ หรือว่าชายตรงหน้าจะอยากผูกมิตรกับเขา ถึงได้เสนอผลผลึกเขียวถึงสิบห้าลูก
เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด ยังไม่ทันที่หลิ่วหมิงจะเอ่ยปาก ชายมนุษย์เผ่าค้างคาวก็กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“หากท่านมีโอสถที่มีคุณภาพสูงกว่า ทางร้านเราก็ใช่ว่าจะไม่สามารถใช้ผลผลึกเขียวล้ำค่าที่มีอายุพันปีแลกได้” ชายผู้นี้กล่าวอย่างเร่าร้อน
…………………………………