ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 547 ปีศาจหยินหยาง
คำทำนายที่พูดถึงเป็นวิธีการสอบถามอนาคต ในโลกผู้ฝึกฝนมีคนจำนวนหนึ่งที่เกิดมาพร้อมกับพลังในการรู้ความลับของสวรรค์อย่างทะลุปรุโปร่ง ผู้คนเรียกกันว่าโหราจารย์
แต่เนื่องจากการทำนายเป็นการกระทำที่ขัดต่อฟ้า ดังนั้นการทำนายในแต่ละครั้งโหราจารย์จะได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก โหราจารย์จะต้องสูญเสียอายุขัยจำนวนมากเป็นข้อแลกเปลี่ยน ถึงทำนายอนาคตได้อย่างลางๆ และไม่สามารถทำนายออกมาตรงๆ ได้ แม้จะมีโหราจารย์จำนวนมาก แต่ผู้ที่ยอมทำนายให้คนอื่นนั้นกลับมีอยู่น้อยมาก
อีกจุดหนึ่ง หากผู้ทำนายกับผู้ถูกทำนายเป็นสายเลือดเดียวกัน ผลที่ทำนายออกมาถึงจะแม่นยำขึ้นเล็กน้อย มิเช่นนั้นผลการทำนายจะผิดเพี้ยนไป
ดังนั้นตระกูลมีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง มักจะให้โหราจารย์ในตระกูลทำนายความเจริญรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมในอนาคตโดยไม่เสียดายอายุขัย เพื่อวางแผนรับมือล่วงหน้า เพราะการทำนายเป็นการเสี่ยงทายตามผังปากว้าในอนาคตเท่านั้น หากหลังจากนี้มีเหตุการณ์อะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ในอนาคตย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
แต่ว่ามีโหราจารย์ที่แข็งแกร่งจำนวนหนึ่ง มีลางเกี่ยวกับเรื่องราวบางอย่างโดยไม่ตั้งใจ ทั้งยังแม่นยำยิ่งนัก และไม่ทำให้สูญเสียอายุขัยเลยแม้แต่น้อย
โหราจารย์แข็งแกร่งของตะกูลโอวหยางผู้หนึ่ง ที่ค่อนข้างมีสายเลือดใกล้ชิดกับหญิงสาวชุดม่วง ได้เกิดภาพนิมิตเกี่ยวกับนางโดยไม่ตั้งใจ และทำนายว่านางอาจจะพบเจอกับโอกาสอันยิ่งใหญ่ในตลาดฉางหยาง
มิเช่นนั้นหญิงสาวจะออกจากตระกูลโอวหยางมาอย่างง่ายดายได้อย่างไร
“ลำบากผู้เฒ่าเฉียวแล้ว คิดว่าท่านควบคุมค่ายกลคงเสียพลังเวทไปไม่น้อย รีบไปพักผ่อนเถอะ หากโอกาสนั้นมาถึงจริงๆ ล่ะก็ ข้ายังต้องให้ท่านช่วยอีกครา!” หญิงสาวชุดม่วงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ขอบคุณคุณหนูที่เป็นห่วง ถ้าอย่างนั้นคนแก่อย่างข้าก็ขอลาแล้ว” เฉียวจื้ออีพยักหน้าแล้วถอยออกไป
ภายในห้องลับชั้นบนสุดของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ชายหนุ่มชุดเขียวนิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้น กำลังฝึกควบคุมหุ่นนักรบทั้งสี่ที่เพิ่งได้มาใหม่อยู่
จะเห็นว่าหุ่นนักรบสี่ตัวที่สูงจั้งกว่าๆ ได้ยืนก่อตัวเป็นค่ายรบหลังหนึ่ง ภายใต้การกระตุ้นเคล็ดวิชาของชายหนุ่มชุดเขียว ร่างของมันก็พร่ามัวเปลี่ยนตำแหน่งไปมา ดวงตาสีแดงทั้งคู่เปล่งประกาย
ในขณะที่ดวงตาสีแดงทั้งคู่เปล่งประกายนั้น มือทั้งสองก็โบกสะบัดอย่างรวดเร็วจนแม้แต่พายุก็ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ การโจมตีและการป้องกันรวมกันเป็นหนึ่ง จนดูเหมือนไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้น พอเขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา ลมเย็นก็พัดผ่านไป หุ่นนักรบสี่ตัวเปล่งแสงสีทองออกมารอบตัว พริบตาเดียวก็กลายเป็นมุกสีเหลืองขนาดชุ่นกว่าๆ และม้วนเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
ขณะนี้ชายหนุ่มชุดเขียวถึงเผยสีหน้าพอใจออกมา เขาพลิกฝ่ามือหยิบเศษกระจกโบราณออกมาจากอก หลังจากมองดูอย่างละเอียดแล้วก็ใส่กลับเข้าไปที่เดิม จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ ก่อนเดินออกไปจากห้องลับ
“หุ่นนักรบทั้งสี่นี้ ข้าคุ้นเคยกับการควบคุมแล้ว หากใช้มันพร้อมกัน พลังของพวกมันก็จะบรรลุถึงระดับผลึกขั้นต้นได้ ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าข้ากับเจ้าเลย ข้าตัดสินใจออกไปคนเดียวชั่วระยะเวลาหนึ่ง เจ้าไม่ต้องตามข้าแล้ว” ชายหนุ่มชุดเขียวพูดกับชายฉกรรจ์ระดับผลึกที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูผู้นั้น
“ไม่ทราบคุณชายจะเป็นที่ไหนคนเดียวหรือ?” ชายฉกรรจ์ส่งเสียงแหบแห้งออกมาเบาๆ
“ผู้อาวุโสตันเถิงไม่ได้บอกไว้หรือ ช่วงนี้อาจจะมีสมบัติล้ำค่าปรากฏตัวบริเวณตลาดฉางหยาง ข้ารออยู่ที่นี่มาตั้งครึ่งปีแล้ว มันน่าเบื่อเกินไป วันนี้มีหุ่นนักรบทั้งสี่อยู่ข้างกาย จึงวางแผนไปเดินดูบริเวณนี้สักหน่อย เพื่อดูว่าจะได้พบกับโอกาสอันยิ่งใหญ่นั้นหรือไม่ อีกอย่างจะได้ถือโอกาสฆ่าผู้ฝึกฝนนิกายยอดบริสุทธิ์สองสามคน เพื่อระบายความแค้นของคนที่ตามฆ่าก่อนหน้า” ชายหนุ่มชุดเขียวทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นคุณชายต้องระวังตัวให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้ลงมือใกล้ตลาดฉางหยางจนเกินไป เพราะในตลาดมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขึ้นไปประจำการอยู่” ชายฉกรรจ์ไม่ได้เอ่ยปากห้ามแต่อย่างใด เพียงแค่เตือนให้ระวังเล็กน้อยเท่านั้น
“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี” ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะฮ่าๆ จากนั้นก็หายวับไปจากประตูห้องลับ
ผ่านไปซักพัก ชายหนุ่มชุดเขียวผู้หนึ่งก็มาปรากฏตัวท่ามกลางป่าที่เขียวชอุ่มเป็นดง
หลังจากมองดูรอบๆ และเห็นว่าไม่มีคนอื่นแล้ว ชายหนุ่มชุดเขียวก็หัวเราะเฮ่อๆ! และเอามือข้างหนึ่งลูบหน้า
ครู่ต่อมา มีเสียงดังเปรี๊ยะๆ! ดังออกจากร่างของชายหนุ่มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง และร่างของเขาก็ขยายใหญ่หลายเท่า พริบตาเดียวก็กลายเป็นชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ และเมื่อเขาเอามือออกจากหน้า หน้าของเขาก็กลายเป็นใบหน้าหยินหยางที่มีสีขาวกับสีดำ
หากมีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์อยู่ที่นี่ ก็จะจำใบหน้าหยินหยางนี้ได้ ซึ่งก็คือปีศาจหยินหยางที่มีชื่ออยู่ในอันดับที่สามสิบของบัญชีความเป็นความตายนั่นเอง
คนผู้นี้ได้ชื่อมาจากใบหน้าหยินหยางแปลกประหลาด แต่พลังสายปีศาจก็ไม่ธรรมดา ทั้งยังมีพลังมหาศาล เขาเคยสังหารศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์เจ็ดคนในทีเดียว การลงมือโหดเหี้ยมยิ่งนัก พลังก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก
หลายปีก่อน คนผู้นี้เคยเจอกับกู่เทียนฉีที่เป็นศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์ในสถานที่บางแห่ง และเขาถูกไล่ล่า หลังจากหลบหนีอยู่หลายวัน แม้จะอาศัยวิชาแปลกประหลาดบางอย่างหลบหนีรอดมาได้ แต่เนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงหายตัวไปตั้งแต่ตอนนั้น
“เฮ่อๆ! เจ้าพวกสวะนิกายยอดบริสุทธิ์ วันนี้เอาเลือดมาเซ่นไหว้ข้าซะ วิชาปีศาจของข้าจะได้รุดหน้าไปอีกขั้น” ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางหัวเราะอย่างน่าเกลียด หลังจากเลียริมฝีปากแล้ว ร่างของเขาก็พร่ามัวหายไป
หนึ่งชั่วยามต่อมา ใต้ตีนยอดเขาสูงเสียดฟ้าที่อยู่ห่างจากตลาดฉางหยางไปหลายสิบลี้ ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กที่สวมชุดศิษย์ธรรมดาของนิกายยอดบริสุทธิ์กับชายหนุ่มชุดขาวกำลังเดินคุยกันอยู่
ทันใดนั้นลมเย็นก็พัดผ่านไป ต่อมาชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางอัปลักษณ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าทั้งสอง
“ปีศาจหยินหยาง!” ชายร่างเตี้ยเล็กเห็นเช่นนี้ก็หลุดปากร้องออกมา
“แม้แต่ศิษย์ธรรมดาระดับของเหลวขั้นต้นอย่างเจ้ายังรู้จักชื่อเสียงของข้า ดูท่านิกายยอดบริสุทธิ์คงจะให้ความสำคัญกับข้ามาก” ชายฉกรรจ์หน้าหยินหยางหัวเราะ และหยอกเย้าด้วยคำพูด
ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กรีบควักพัดสีเขียวออกมาด้วยความหวาดกลัว พอพัดออกไปเบาๆ พายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวออกมา และก่อตัวเป็นกำแพงโปร่งแสงหมุนวนอยู่รอบๆ จากนั้นก็นำยันต์สีเทามาขยี้จนละเอียด และม่านแสงสีเหลืองก็ปกคลุมอยู่รอบตัวเขา
ปีศาจหยินหยางเพียงแค่หัวเราะอย่างเยือกเย็น พริบตาเดียวก็กลายเป็นไอหมอกสีเขียวหายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กพลันรู้สึกเย็นที่หน้าอก กรงเล็บยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งเจาะทะลุเกราะป้องกันทั้งสองชั้นไป จากนั้นเงาร่างขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่ด้านหลังของเขา ซึ่งก็คือปีศาจหยินหยางนั่นเอง
พอปีศาจหยินหยางหดแขนกลับ กำแพงพายุโปร่งแสงรอบตัวชายหนุ่มร่างเตี้ยเล็กกับม่านแสงสีเหลืองก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนสลายไปในอากาศ
ตั้งแต่ชายร่างเตี้ยเล็กหยิบพัดออกมาจนถึงตอนที่ปีศาจหยินหยางโจมตีจนเสียชีวิตนั้น ใช้เวลาเพียงแค่สองอึดใจเท่านั้น
ภายใต้ความตื่นตระหนกตกใจ ชายหนุ่มชุดขาวหน้าตาดีเพิ่งจะหยิบยันต์ผืนหนึ่งออกมา และเตรียมจะขยี้ให้แหลกละเอียดเพื่อทำการหลบหนี แต่พอเห็นสหายของตนเองถูกฆ่าอย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจจนตัวสั่นสะท้าน และไม่กล้าทำการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
“มีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น เจ้าไม่ใช่คนของนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ” ปีศาจหยินหยางหันไปกล่าวกับเขาอย่างราบเรียบ
“ข้า….. ข้าเพียงแค่พบเจอกับสหายผู้นี้โดยบังเอิญเท่านั้น ไม่…… ไม่รู้จักเขา และไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับนิกายยอดบริสุทธิ์ ขอผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย” ขณะนี้ชายหนุ่มชุดขาวมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เขาตะโกนขอชีวิตด้วยเสียงที่สั่นสะท้าน
“ต้องโทษที่เจ้าเดินมาพร้อมกับคนของนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว” ปีศาจพลังหยินขยับมุมปากและส่งเสียงเยือกเย็นออกมา จากนั้นก็ใช้มือคว้าไปทางชายหนุ่ม และไอหมอกกรงเล็บปีศาจสีเขียวที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ก็พุ่งออกไป
มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังมาจากหุบเขา
……
หลายวันต่อมา เริ่มมีข่าวลือเรื่องการปรากฏตัวของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่โจมตีผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายยอดบริสุทธิ์ดังออกมา
ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ครึ่งเดือน ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายยอดบริสุทธิ์ ก็ถูกโจมตีจนเสียชีวิตติดต่อกัน และสิ่งของล้ำค่าบนตัวก็ถูกปล้นไปจนหมดสิ้น ชั่วขณะนั้น ผู้คนในท้องตลาดที่มีความเกี่ยวข้องกับนิกายยอดบริสุทธิ์ต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนกันมาก
ผ่านไปไม่นาน ภายในห้องหลอมอาวุธตรงเรือนหลังหอร้อยหลอม ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ออกจากการกักตัว หลังจากโบกมือสลายชั้นจำกัดที่ปกคลุมอยู่ในห้องแล้ว เขาก็ค่อยๆ ก้าวออกไปจากห้อง
ในระหว่างเวลานี้ เขาอาศัยวิชาหนึ่งจิตสองพลังทำการหลอมอาวุธจิตวิญญาณไปด้วย และทำความเข้าใจคัมภีร์ไปด้วย หลังจากฝึกฝนประทับชั้นจำกัดซ้ำๆ กันหลายรอบ ในที่สุดก็กุมเทคนิคการหลอมอาวุธง่ายๆ ขั้นต้นได้ ขณะนี้พุ่งเป้าหมายไปยังอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำ และเพิ่มชั้นจำกัดหลายชั้นกับคุณสมบัติเพิ่มเติม จนมีอัตราความสำเร็จสูงถึงเก้าส่วนขึ้นไป
แต่เขายังคงไม่มั่นใจว่าจะสามารถยกระดับโล่เก้ากระโหลกให้เป็นต้นแบบอาวุธเวทในครั้งเดียวได้ เพราะเขารวบรวมวัสดุได้ยากเย็นเช่นนี้ หากการปรับแต่งล้มเหลว เขาก็ต้องสูญเสียไม่น้อย
ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะไปซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำที่ตลาดมาฝึกฝนนั้น แผ่นค่ายกลบนเอวก็พลันส่งเสียงดังขึ้นมา จากนั้นน้ำเสียงตื่นตระหนกของเถ้าแก่เย่ก็ดังขึ้น
“ท่านทูตหลิ่ว แย่แล้ว! เกิดเรื่องกับผู้เชี่ยวชาญหัวแล้ว!”
“เกิดอะไรขึ้นกับผู้เชี่ยวชาญหัว?” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก จึงรีบทำท่ามือกระตุ้นแผ่นค่ายกลแล้วถามออกไปทันที
“วันนี้ผู้เชี่ยวชาญหัวออกไปข้างนอกแต่เช้า เพื่อเก็บวัสดุหลอมอาวุธจำนวนหนึ่งบริเวณเหมืองแร่ เมื่อครู่เขาเพิ่งจะส่งข่าวมาว่า ในระหว่างทางที่กลับมาพร้อมกับสหายอีกสองท่าน ได้ถูกปีศาจหยินหยางลอบโจมตี ตอนนี้สถานการณ์วิกฤตมาก ขอท่านฑูตหลิ่วรีบไปช่วยโดยเร็ว!” น้ำเสียงของเถ้าแก่เย่ดูร้อนใจเล็กน้อย
“ได้! ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” หลิ่วหมิงตอบอย่างเด็ดขาด
เขาเป็นศิษย์ประจำการในหอร้อยหลอม พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ย่อมไม่อาจชักช้าบอกปัดได้
หลังจากหลิ่วหมิงถามตำแหน่งของผู้เชี่ยวชาญหัวอย่างชัดเจนแล้ว ก็รีบเก็บแผ่นค่ายกล และออกไปจากหอร้อยหลอมทันที
พอออกจากตลาด เขาก็ขี่เมฆทะยานฟ้าทันที ทั้งยังแปะยันต์ไว้บนตัวผืนหนึ่ง ทันใดนั้นก็พุ่งไปยังทิศทางบางแห่งอย่างรวดเร็วราวกับลมกรด
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อต่อมา เขาก็มาถึงหุบเขาเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากตลาดไปร้อยกว่าลี้
จากการบอกกล่าวของเถ้าแก่เย่ พวกของผู้เชี่ยวชาญหัวถูกโจมตีในบริเวณนี้ หลิ่วหมิงจึงปล่อยพลังจิตออกไปค้นหาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ตู้ม!”
ขณะนั้นเอง มีเสียงพลังเวทโจมตีกันดังมาจากผืนป่าที่อยู่ไกลๆ
…………………………………