ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 552 กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง
หัวบินอ้าปากพ่นเปลวไฟสีเขียวออกมา พริบตาเดียวก็บดบังสายตาของชายฉกรรจ์ไว้ จากนั้นเส้นผมสีเขียวก็ม้วนตัวกลายเป็นไหมเล็กละเอียดจำนวนมาก และแผ่คลุมออกไป
ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว และชกกำปั้นออกไปด้านหลัง เพื่อโจมตีเงาตะขอจางๆ ให้หายไปก่อน จากนั้นก็พุ่งถอยออกไป
แต่ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีแดงก็ฟันลงบนไหล่ชายฉกรรจ์ แม้ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันได้ แต่ก็ทำให้เขาโซเซไปทีหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกแน่นที่แขน ไหมสีเขียวเล็กๆ รัดพันไว้อย่างแน่นหนา
หัวบินหัวเราะแปลกประหลาด “แคล็กๆ!” พอมันเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็แยกร่างออกเป็นแปดร่าง เส้นผมสีเขียวจำนวนมากกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ และรัดพันชายฉกรรจ์ไว้อย่างแน่นหนา
สีหน้าของชายฉกรรจ์เปลี่ยนไปทันที แม้จะออกแรงดิ้นรนก็ไม่อาจหลุดออกมาได้ พอร่างของเขาสั่นสะท้าน เปลวไฟสีดำก็พุ่งออกจากตัว และคิดจะเผาเส้นผมเหล่านี้ให้หมดสิ้น
ขณะนั้นเอง เงาร่างพร่ามัวเงาหนึ่งก็มาปรากฏตรงด้านหลังของชายฉกรรจ์อย่างไร้สุ้มเสียง จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกาย ดาบสีทองที่เต็มไปด้วยฟันเลื่อยปรากฏขึ้นตรงหน้าเงาร่าง และฟันลงบนหลังชายฉกรรจ์อย่างรุนแรง ทั้งยังลากลงไปด้านล่าง
หลิ่วหมิงอาศัยจังหวะที่แมงป่องกระดูกกับหัวบินดึงดูดความสนใจของชายฉกรรจ์นั้น ซ่อนกลิ่นไอของตัวเองไว้และแฝงตัวเข้ามา ขณะเดียวกันก็ใส่พลังเวทเข้าไปในทรายทองคำร่วง และโจมตีออกไป
“ตู้ม!”
เปลวไฟสีดำที่ปกคลุมร่างชายฉกรรจ์ถูกตัดจนขาด ขณะเดียวกันก็มีรอยแผลยาวๆ ปรากฏบนแผ่นหลัง โลหิตซึมออกมา
ชายฉกรรจ์รู้สึกปวดแสบปวดร้อนตรงหลัง พริบตาเดียวก็รู้สึกโมโหมาก ตั้งแต่เขาฝึกฝนวิชาปีศาจศีรษะทองแดงแขนเหล็กจนเข้าถึงระดับผลึกมา ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้มาก่อน และฝ่ายตรงข้ามยังเป็นแค่ผู้น้อยระดับของเหลวขั้นปลายเท่านั้น
เขาคำรามเสียงออกมา เปลวไฟสีดำบนตัวลุกโชนขึ้นมาเผาไหม้เส้นผมสีเขียว พอออกแรงดิ้นรนก็หลุดออกมาได้
เงาหัวบินไม่ทันได้ระวัง ทันใดนั้นจึงถูกแรงฉุดกระชากจนค่อยๆ สลายไป มีเพียงร่างแท้จริงเท่านั้นที่พุ่งกระเด็นออกไปหลายจั้ง
ชายฉกรรจ์หันตัวโดยฉับพลัน คิ้วทั้งสองตั้งตรงขึ้นมา และพ่นแสงสีดำใส่หลิ่วหมิง
แสงสีดำพุ่งออกมาพร้อมด้วยกลิ่นไอที่อันตรายอย่างสุดขีด พริบตาเดียวก็พุ่งไปโจมตีหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้าน พอสะบัดแขนเสื้อโล่เก้ากะโหลกก็ปรากฏบนมือ และต้นทานแสงสีดำไว้
“เพล้ง!”
หลิ่วหมิงรู้สึกถึงพลังที่ทะลักออกมาอย่างมหาศาลราวกับภูเขาที่ล้มลงกลางทะเล ร่างของเขากระเด็นออกไปราวกับโดนค้อนหนักๆ ปะทะใส่ หลังจากกลิ้งอยู่กลางอากาศหลายที ถึงค่อยๆ หยุดลง ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา
การโจมตีของแสงสีดำนี้แข็งแกร่งมาก ประจักษ์ชัดว่าเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นหนึ่ง โชคดีที่ครั้งนี้มีโล่เก้ากะโหลกที่พอจะรับมือไว้ได้
หลังจากหลิ่วหมิงตั้งหลักได้แล้ว ก็จ้องมองออกไป ตอนนี้เขาถึงมองเห็นสภาพแท้จริงของแสงสีดำได้อย่างชัดเจน มันเป็นค้อนหยกดำที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ ขณะนี้มันได้พุ่งกลับไปแล้ว แสงสีดำเปล่งประกายและหมุนวนรอบตัวชายฉกรรจ์อยู่ไม่หยุด
หัวค้อนกลมๆ มีอักขระซับซ้อนสลักอยู่เต็มไปหมด และแผ่คลื่นพลังจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งออกมา
ชายฉกรรจ์เห็นหลิ่วหมิงต้านทานการโจมตีนี้ได้ ก็ต้องร้องอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้
เขารู้ดีว่าการโจมตีของค้อนเล็กนี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถต้านทานได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกผู้น้อยระดับของเหลวผู้นี้ป้องกันได้อีกครั้ง
ชายฉกรรจ์มองโล่บนแขนของหลิ่วหมิง พอเห็นแสงสีดำที่โล่เก้ากะโหลกแผ่ออกมา เขาก็มีแววตาละโมบในทันที
“ฟู่!” เงาร่างสีขาวเงินพุ่งไปด้านหลังชายฉกรรจ์ จากนั้นก็มีเส้นสีดำพุ่งยิงออกมาท่ามกลางเสียงที่ดัง “ฟิ้วๆ!” มันคือแมงป่องกระดูกที่ถูกชายฉกรรจ์สะบัดทิ้งไปนั่นเอง
ชายฉกรรจ์กระตุ้นค้อนเล็กโดยไม่หันหน้า และโจมตีออกไป
แมงป่องกระดูกส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา มันถูกแสงสีดำโจมตีจนกระเด็นออกไป
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที คิดจะยื่นมือเข้าช่วยก็ไม่ทันการเสียแล้ว ดีที่หลังจากใช้จิตสื่อสารกับมันแล้วพบว่า มันได้รับบาดเจ็บไม่มาก เขาถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
ขณะเดียวกัน หัวบินที่อยู่อีกด้านก็ถือโอกาสที่ชายฉกรรจ์โจมตีแมงป่องจนกระเด็น พุ่งยิงเส้นผมสีเขียวออกไปอีกครั้ง
ชายฉกรรจ์ยิ้มอย่างเยือก มือข้างหนึ่งจับค้อนไว้มั่นและโบกสะบัดออกไป เทียบกับแมงป่องกระดูกแล้ว หัวบินตรงหน้าทำให้เขารู้สึกแค้นเคืองยิ่งกว่า
“ฟู่!” ค้อนเล็กของชายฉกรรจ์พร้อมด้วยแขนของเขาทุบลงไปบนหน้าอกของมนุษย์ยักษ์สีทองจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่
ชายฉกรรจ์รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และจ้องมองนักรบยันต์เกราะทองคำตรงหน้าด้วยความตกใจ
ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงแอบกระตุ้นยันต์ลึกลับพลังผ้าเหลืองตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังต้านทานการโจมตีนี้ไว้ได้
พอหัวบินเห็นโอกาสอันดี มันก็หัวเราะ “เคล็กๆ!” จากนั้นก็ปล่อยผมยาวสีเขียวไปรัดพันแขนที่จับค้อนไว้แน่น ขณะเดียวกันนักรบยันต์ผ้าเหลืองก็ขยับแขนในทันที แขนทั้งสองจับแขนชายฉกรรจ์ไว้แน่นราวกับเป็นคีมเหล็ก
ชายฉกรรจ์เห็นฉากเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมา หลังจากมีเสียงดังกรอบแกรบ แขนของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว และหวดลงพื้นอย่างรวดเร็ว
“ตู้ม!”
แสงสีดำพุ่งออกจากร่างของนักรบพลังผ้าเหลือง ค้อนเล็กสีดำรวมถึงแขนขวาของชายฉกรรจ์ชกลงบนร่างของมันอย่างรุนแรง
ร่างนักรบพลังผ้าเหลืองสลายตัวในทันที หลังจากร้องอย่างเวทนา มันก็กลายเป็นยันต์ผืนหนึ่ง
ในขณะที่ชายฉกรรจ์จะสะบัดค้อนเล็กเพื่อโจมตีหัวบินที่ก่อกวนอยู่ให้ถอยออกไปนั้น ใจของเขาก็พลันร่วงหล่นลงไป ความรู้สึกอันตรายอย่างสุดขีดบังเกิดขึ้นในหัวใจ
เขาหันหน้าไปฉับพลัน ตำแหน่งเดิมที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่พลันมีแสงกระบี่สีแดงห่อหุ้มเงาร่างคนผู้หนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า
แสงกระบี่หมุนวนแค่รอบเดียว เงาร่างในนั้นก็พร่ามัวหายไปท่ามกลางแสงเย็นสะท้าน ขณะเดียวกัน แสงกระบี่ก็ขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ หลังจากพร่ามัวไปทีหนึ่งแล้ว ก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และม้วนเอาไอกระบี่เย็นสะท้านเข้ามา
ชายฉกรรจ์รู้สึกขนลุกขนพองขึ้นมา คิดจะหลบหลีกตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว ได้แต่คำรามเสียงออกมา อักขระสีดำแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนหน้า ขณะเดียวกันเปลวไฟปีศาจสีดำบนตัวก็พวยพุ่งขึ้นมา ครู่เดียวก็รวมตัวกันเหนือศีรษะของเขา และกลายเป็นกำแพงแสงสีดำ ขณะเดียวกันก็มีเสียงแตกหักดังออกจากร่าง ร่างของเขาขยายใหญ่เท่าตัว และคิดที่รับการโจมตีนี้โดยตรง
“ฟิ้ว!”
กำแพงแสงสีดำบนตัวชายฉกรรจ์ไม่อาจต้านทานแสงกระบี่ได้เลยแม้แต่น้อย พอแสงสีแดงกระพริบผ่านไป กำแพงแสงสีดำก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง จากนั้นก็พังทลายลงมา เผยให้เห็นเงาร่างของชายฉกรรจ์อีกครั้ง แขนซ้ายของเขายังคงถูกเส้นผมสีเขียวของหัวบินพันอยู่
เพียงแต่ว่าตอนนี้ชายฉกรรจ์มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมามาก ครู่ต่อมาเส้นสีแดงเล็กๆ ก็ปรากฏอยู่บนคอของเขา
“ตุบ!”
ศีรษะของชายฉกรรจ์ร่วงลงไป ใบหน้ายังคงดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน เสาโลหิตก็พุ่งออกมาจากร่างไร้ศีรษะ จากนั้นไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งหนีออกไปไกลๆ
แต่แสงกระบี่ที่สังหารชายฉกรรจ์ในก่อนหน้านั้นม้วนตัวแค่ทีเดียว ก็ปั่นไอดำจนละเอียด และมีเสียงร้องอย่างเวทนาของชายฉกรรจ์ดังออกมา พริบตาเดียวเสียงร้องก็หยุดลง
ห่างจากด้านหลังของชายฉกรรจ์ไปไม่ไกล พอแสงสีแดงดับลง ก็ปรากฏร่างของหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่สีแดงยืนหายใจหอบอยู่
เมื่อครู่เขาทุ่มพลังเวทเกือบหมดร่างเพื่อแสดงเคล็ดวิชา ‘กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง’ ในที่สุดก็สังหารชายฉกรรจ์ได้ในกระบี่เดียวอย่างคาดไม่ถึง
ชายฉกรรจ์ผู้นี้ดูเบาศัตรูไปหน่อย และตัวหลิ่วหมิงเองก็มีพลังป้องกันอันน่าตกใจ บวกกับมีนักรบพลังผ้าเหลือง หัวบิน และอื่นๆ คอยก่อกวนอย่างต่อเนื่อง ถึงทำให้ลงมือสำเร็จได้โดยง่าย
มิเช่นนั้นในขณะโจมตีก็เท่ากับว่าส่งตัวเองไปตาย ผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรนั้นไม่อยากจะนึกถึง
แม้ว่าชายฉกรรจ์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้น แต่ความน่ากลัวของการฝึกร่างของเขา เกรงว่าแม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลาง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างแน่นอน
หลิ่วหมิงผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ และโบกมือข้างหนึ่งเรียกหัวบิน แมงป่องกระดูก นักรบพลังผ้าเหลืองกลับมา จากนั้นก็หยิบค้อนเล็กสีดำกับยันต์เก็บของของชายฉกรรจ์ออกมา และปล่อยลูกเปลวไฟสองลูกเผาศพจนกลายเป็นขี้เถ้า
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ก็ขี่เมฆพุ่งไปทางตลาด
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนใส่ชุดสีเขียวแล้วกลับไปยังหอร้อยหลอม
พอเขาเหยียบเข้าไปในประตูใหญ่ เถ้าแก่เย่ก็เดินออกมารับด้วยความดีใจ
“เถ้าแก่เย่ไม่ต้องกังวลแล้ว ปีศาจหยินหยางถูกข้ากำจัดไปแล้ว ใช่สิ! ผู้เชี่ยวชาญหัวกลับมาแล้วหรือยัง?” หลิ่วหมิงถามโดยไม่รอให้เถ้าแก่เย่เอ่ยปาก
“ผู้เชี่ยวชาญหัวกลับมาได้ครึ่งวันแล้ว ตอนนี้กำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้อง ครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านฑูตหลิ่วที่ยื่นมือเข้าช่วย” เถ้าแก่เย่รีบโค้งตัวตอบ เห็นได้ชัดว่าดูนอบน้อมกว่าก่อนหน้านั้นมาก
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินขึ้นไปบนห้องลับชั้นสาม
ภายในห้องโถงชั้นหนึ่ง ลูกน้องหลายคนก็พูดคุยกันด้วยความตกใจระคนดีใจ
“ท่านทูตหลิ่วสังหารปีศาจหยินหยางไปแล้วจริงหรือ? ได้ยินมาว่า แม้คนผู้นี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังเทียบเท่ากับระดับผลึก” ชายหนุ่มผู้หนึ่งถามด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“คนระดับท่านทูตไหนเลยจะกล้าโกหกพวกเรา” เถ้าแก่เย่กล่าวดว้ยสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้ารู้สึกแต่แรกแล้วว่า ท่านทูตหลิ่วไม่ใช่คนธรรมดา” ชายหนุ่มอีกคนหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“อย่างไรซะปีศาจหยินหยางก็ถูกสังหารไปแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเก็บตัวไม่กล้าออกไปไหนอีกต่อไป” ขณะที่พูดเถ้าแก่เย่ก็แสดงสีหน้าเพื่อบ่งบอกให้คนเหล่านี้กลับไปทำงานด้วย
เพราะเรื่องปีศาจหยินหยางนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ศิษย์ธรรมดาที่จากนิกายมานานอย่างพวกเขาจะสามารถจัดการได้ พวกเขารับผิดชอบแค่ดูแลร้านให้ดีก็พอแล้ว
ห้องลับบนชั้นสาม หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะกลมๆ สีเหลือง
เขาเทโอสถสีเขียวออกจากขวดเล็กๆ มาทานเป็นระยะๆ
สองชั่วยามผ่านไป ใบหน้าขาวซีดของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ ดูมีเลือดฝาดขึ้นมา รอยแผลเล็กๆ บนตัวก็สมานกันอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านั้นเขายังกังวลว่านอกจากชายฉกรรจ์แล้ว ยังมีคนของนิกายปีศาจลึกลับคนอื่นติดตามดวงจิตที่ประทับอยู่ในร่างมาสังหารเขาหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าพอกลับถึงตลาด เส้นสีแดงที่ปีศาจหยินหยางทิ้งไว้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูท่าเคล็ดวิชาจับตำแหน่งนี้คงมีผลแค่ครึ่งวันเท่านั้น
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงรู้สึกโล่งใจไปมาก
…………………………………