ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 555 วังมายานภาหยก
“นี่คือ……”
หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวของอักขระรูปใบไม้ที่อยู่บนแขน ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงการร้องเรียกจากที่ไกลๆ อย่างน่าประหลาดใจ
เขาเดินออกจากห้องสงบจิตในทันที และมาปรากฏตัวบนหลังคาของหอร้อยหลอม ครู่ต่อมา ก็มองเห็นเงาวังสีเขียวขนาดใหญ่ที่อยู่บนท้องฟ้าไกลๆ
แม้จะห่างกันไกล แต่เงาวังขนาดใหญ่กลับดูราวกับเทือกเขาที่สูงตระหง่าน มีลักษณะยิ่งใหญ่น่าเกรงขามวางขวางอยู่กลางอากาศ ไม่ว่าใครก็ตามเพียงแค่มองดูเล็กน้อย ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกกดขี่อันรุนแรง
หลิ่วหมิงยืนตกตะลึงพรึงเพริดอยู่กลางอากาศพักใหญ่ๆ และต่อมาก็รับรู้ได้ถึงการเรียกหาจากบนแขนอย่างรุนแรง และต้นกำเนิดของการร้องเรียกนี้ก็คือเงาวังลึกลับที่ปรากฏบนท้องฟ้าไกลๆ นั่นเอง
ขณะเดียวกัน ผู้คนในตลาดจำนวนมากต่างก็สังเกตเห็นสภาพแปลกประหลาดบนท้องฟ้าไกลๆ
ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนที่เดินเตร่อยู่บนท้องถนน ผู้ที่กำลังซื้อของอยู่ในร้านค้า หรือว่าผู้ที่นั่งฝึกฝนอยู่ในห้อง ต่างก็พากันวางมือจากเรื่องที่ทำอยู่ และกรูกันมาที่มุมถนนจ้องมองเงาวังด้วยความตกตะลึงพรึงเพริด
แม้กระทั่งมีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยที่กระโดดขึ้นบนหลังคาเหมือนกับหลิ่วหมิง เพื่อที่จะดูว่ามันคือสิ่งใดกันแน่
“วังมายานภาหยก!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนหลุดคำพูดนี้ออกมา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เขาได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก จึงหันไปมองคนที่ตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง “ฟิ้วๆ!” ลำแสงแปลกประหลาดพุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งไปทางเงาวังที่อยู่ไกลๆ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีด ซึ่งเป็นคนที่ตะโกนออกมาในก่อนหน้านั้น สีหน้าของเขาดูตื่นเต้นอย่างถึงขีดสุด
ไม่นานก็มีแสงหลบหลีกพุ่งออกจากตลาดเป็นจำนวนมาก และตามหลังชายหนุ่มใบหน้าเหลืองซีดไปติดๆ
จากนั้นผู้ฝึกฝนจำนวนมากก็พุ่งไปยังวังที่อยู่ไกลๆ
ภายในร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณใกล้ๆ หอร้อยหลอม หญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางค่อยๆ ก้าวออกมา ผู้อาวุโสชุดดำที่ชื่อเฉียวจื้ออียืนอยู่ด้านข้าง ทั้งสองมองไปยังเงาวังด้วยความตกใจระคนดีใจ
“คิดไม่ถึงว่าเศษกระจกนภาหยกเพิ่งจะมีการตอบสนองแค่ครึ่งวัน วังมายานภาหยกก็เปิดขึ้นแล้ว” ผู้อาวุโสชุดดำจ้องมองท้องฟ้าด้วยดวงตาที่เป็นประกายแวววาว และค่อยๆ กล่าวออกมา
“ผู้เฒ่าเฉียว พวกเราก็ออกเดินทางไปกันเถอะ” ดวงตางดงามของหญิงสาวชุดม่วงเผยแววตื่นเต้นออกมา และหันมากล่าวกับผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสได้ยินก็พยักหน้า
หญิงสาวชุดม่วงยกมือปล่อยมุกสีแดงเข้มออกมาหนึ่งเม็ด หลังจากแสงสีแดงเปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง วิหคจิตวิญญาณที่มีขนสีแดงก็ปรากฏออกมา รูปร่างภายนอกดูคล้ายเหยี่ยวหัวดำ มันแหงนหน้าส่งเสียงกังวานออกมา
ทั้งสองลอยขึ้นไปบนหลังของวิหคสีแดง พอมันกระพือปีกทั้งสอง ก็ก่อเกิดพายุพัดกระหน่ำ จากนั้นก็พาทั้งสองพุ่งไปยังเงาวัง
หลิ่วหมิงมองดูวิหคจิตวิญญาณสีแดงที่พุ่งออกไป และปราดตามองหญิงสาวชุดม่วงกับผู้อาวุโสชุดดำที่อยู่บนหลังของวิหคด้วยความประหลาดใจ
แม้จะมองแค่ปราดเดียว เขาก็จำผู้อาวุโสชุดดำได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นหญิงสาวชุดม่วงมาก่อน แต่ก็พอจะเดาสถานะของนางได้
ขณะนี้มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ข้างตัวหลิ่วหมิง เถ้าแก่เย่กับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสอง ก็พุ่งออกจากหอร้อยหลอมเช่นกัน และมายืนอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง
“วังมายานภาหยก….. คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นมันเปิดในขณะที่ข้ายังมีชีวิตอยู่” เถ้าแก่เย่จ้องมองเงาวังที่อยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนอย่างถึงขีดสุด ความรู้สึกตกใจระคนดีใจ ความปรารถนา ความไม่ยินยอม และความรู้สึกต่างๆ ถูกเผยออกมา ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสองก็อุทานด้วยความเสียดาย
“เถ้าแก่เย่ วังมายานภาหยกที่ท่านกล่าวถึงคือสิ่งใดกัน? เมื่อครู่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ตะโกนชื่อนี้ออกมา” หลิ่วหมิงหันมาถามอย่างราบเรียบ
“เฮ่อๆ! ลืมไปว่าท่านทูตหลิ่วเพิ่งจะมาตลาดฉางหยางได้ไม่นาน ไม่แปลกที่จะไม่เคยได้ยินชื่อวังมายานภาหยกมาก่อน” เถ้าแก่เย่ได้ยินก็กล่าวอย่างลึกลับ
“แท้จริงแล้ววังมายานภาหยกเป็นซากวัตถุสมัยบรรพกาล”
“ซากวัตถุสมัยบรรพกาล!” พอได้ยินคำพูดนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกตกใจจนต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ภาพคัมภีร์จำนวนมากที่เขาเคยอ่านผุดขึ้นในสมอง
ตามบันทึกในคัมภีร์โบราณ ซากวัตถุสมัยบรรพกาลที่กล่าวถึงนี้ ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นก่อนสมัยโบราณกี่หมื่นกี่พันปี ซึ่งปราณฟ้าดินในขณะนั้นหนาแน่นกว่าตอนนี้มาก
ว่ากันว่าในตอนนั้น เผ่าปีศาจในสมัยโบราณยังไม่ทันค้นพบโลกมนุษย์ ดินแดนผู้ฝึกฝนก็รุ่งเรืองกว่าตอนนี้หลายร้อยเท่า
เคล็ดวิชาในสมัยบรรพกาลมีมากมายนับไม่ถ้วน อาวุธเวท อาวุธเวทจิตวิญญาณปรากฏออกมาอย่างไม่ขาดสาย แม้กระทั่งการแบ่งเขตแดนผู้ฝึกฝนก็แตกต่างจากตอนนี้มาก
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดโลกมนุษย์ถึงได้เผชิญกับมหันตภัยฟ้าดินครั้งยิ่งใหญ่ ไม่เพียงแต่ทำให้ปราณต้นกำเนิดเบาบางกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้ผู้ฝึกฝนแต่ละเผ่าสังหารกันอย่างบ้าคลั่ง จนผู้มีพลังเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
และขณะนั้นโลกมนุษย์กลับถูกเผ่าปีศาจโบราณค้นพบโดยกะทันหัน ก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองดินแดน ผู้คนในโลกมนุษย์จำนวนมากถูกดึงเข้าสู่สงครามในครั้งนี้ และเปิดฉากของสมัยโบราณที่ยืดเวลานานนับล้านปี
สำหรับยุคสมัยบรรพกาลในตำนานนั้น คัมภีร์จำนวนหนึ่งก็ไม่ได้อธิบายละเอียด ผู้คนพากันพูดไปต่างๆ นานา เพราะเวลามันยาวนานเกินไป หลิ่วหมิงเองก็อ่านจากคัมภีร์ในนิกายยอดบริสุทธิ์มาเพียงเล็กน้อย และตอนที่อยู่ในนิกายปีศาจ ก็มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้น้อยมาก
“วังมายานภาหยกอยู่ในช่วงท้ายของสมัยบรรพกาล ผู้ฝึกฝนทรงพลังที่มีชื่อว่าราชาสวรรค์นภาหยกเป็นผู้สร้างขึ้นมา เป็นสถานที่พิเศษที่ใช้บ่มเพาะศิษย์ในนิกายโดยเฉพาะ”
“แต่ทว่าหลังจากที่ผู้ทรงพลังท่านนี้เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ กุญแจที่ใช้เข้าวังมายาแห่งนี้ก็คืออาวุธเวทที่เรียกว่ากระจกนภาหยก ซึ่งมันแตกกระจายนับพันชิ้น ผู้คนรุ่นหลังที่มีเศษกระจกนี้ ถึงจะสามารถเข้าวังมายาแห่งนี้ได้ และจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก ว่ากันว่าเวลาที่รอคอยยิ่งยาวนาน ผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะมากขึ้นตามไปด้วย”
“เศษกระจกนภาหยก……” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และกวาดสายตามองดูแขนที่ร้อนเล็กน้อย
เถ้าแก่เย่และคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองเงาวังที่อยู่ไกลๆ โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลิ่วหมิง
“ตำแหน่งที่เปิดวังมายานภาหยกก็คือบริเวณตลาดฉางหยาง ดังนั้นผู้คนที่อยู่ที่นี่มานานต่างก็เคยได้ยินตำนานนี้ แต่ว่าวังมายาแห่งนี้ปรากฏตัวไม่แน่นอนในแต่ละครั้ง ใช้เวลานานสุดก็หลายพันปี เวลาสั้นสุดก็สองสามร้อยปี ด้วยเหตุนี้ แม้ที่ผ่านมาจะมีคนได้รับเศษกระจกนภาหยก แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีเจ้าของเศษกระจกที่รอคอยอยู่บริเวณตลาดฉางหยางได้นานเช่นนี้”
หลิ่วหมิงฟังจบก็เอามือข้างหนึ่งลูบอักขระสีเขียวหยกที่อยู่บนแขน เขาเริ่มจะเชื่อคำพูดของเถ้าแก่เย่ขึ้นมาเล็กน้อย
“ครั้งก่อนที่วังมายานภาหยกเปิด คงเป็นเวลาเจ็ดร้อยปีก่อนสินะ ดังนั้นจึงมีคนคิดว่ามันเป็นแค่ตำนาน คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นวันที่มันเปิดออกมาจริงๆ” ผู้เชี่ยวชาญหัวที่อยู่ด้านข้างกล่าวด้วยความประหลาดใจ
“วังมายานภาหยกมีชื่อเสียงเช่นนี้ ไม่รู้จะได้ประโยชน์อะไรจากด้านในกันแน่?” หลิ่วหมิงลูบคางแล้วกล่าวอย่างสงบ
เถ้าแก่เย่กับผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธทั้งสองต่างก็อยู่ในตลาดฉางหยางมานานหลายสิบปีแล้ว จึงได้ยินตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้มาไม่น้อย พอเห็นว่าหลิ่วหมิงรู้สึกสนใจ ก็เล่าเรื่องที่ได้ยินมาทั้งหมดให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง
หลังจากฟังทั้งสามสลับกันพูดจนจบแล้ว หลิ่วหมิงก็ค่อยๆ เข้าใจเกี่ยวกับวังมายานภาหยกขึ้นมา สำหรับผลประโยชน์ในนั้น ก็ทำให้เขารู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้
ตามที่ทั้งสามกล่าวมา มีแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น ถึงจะเข้าไปในวังมายานภาหยกได้ อีกอย่าง ก่อนเข้าไปต้องผ่านการทดสอบก่อน หากไม่ใช่ผู้ที่มีพลังเหนือกว่าผู้อื่น ต่อให้จะมีเศษกระจกอยู่กับตัว ก็ไม่อาจเข้าไปได้
นอกจากนี้ วังมายาจะดำรงอยู่เป็นเวลาสามเดือน พอถึงเวลา ผู้คนที่อยู่ด้านในจะถูกส่งออกมา จากนั้นก็จะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ในเมื่อเป็นวัตถุบรรพกาลที่พันปีถึงจะพบเจอครั้งหนึ่ง ข้าก็จะไปร่วมสนุกด้วยซักหน่อย” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะทั้งสาม จากนั้นก็กลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งไปยังวังมายา
“ปกติท่านทูตหลิ่วจะเก็บตัวฝึกฝนตลอด คิดไม่ถึงว่าจะสนใจเรื่องเช่นนี้ด้วย” เถ้าแก่เย่จ้องมองแสงหลบหลีกของหลิ่วหมิงที่พุ่งออกไป และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“มีอะไรน่าแปลกใจเล่า ตอนที่ข้ากับเจ้ามาตลาดฉางหยางใหม่ๆ ก็ไม่ใช่ว่าไปสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับวังมายานภาหยกหรอกหรือ? จุ๊ๆ! คิดไม่ถึงว่าจะมีวันได้เห็นมันปรากฏออกมาจริงๆ” ชายวัยกลางคนแซ่หัวกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“หลังจากวังมายาเปิด คาดว่าเวลาสามเดือนให้หลัง คงมีผู้ฝึกฝนจากทั่วทิศกรูกันมาไม่น้อย ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่พวกเราจะหาหินจิตวิญญาณกัน” เถ้าแก่เย่ดูเหมือนจะมีหัวทางการค้าเป็นอย่างมาก
ทั้งสามแสดงความคิดเห็นกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ร่อนลงไปอย่างรวดเร็ว
ข่าวการปรากฏตัวของวังมายานภาหยกแพร่สะพัดถึงกลุ่มอิทธิพลใหญ่แต่ละกลุ่มในตลาดฉางหยางอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งในแผ่นดินจงเทียนที่มีเศษกระจกนภาหยก ขอแค่สามารถมาถึงตลาดฉางหยางในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ต่างก็รีบออกเดินทางด้วยความดีใจ บ้างก็อาศัยค่ายกลส่งตัวมาอย่างไม่เสียดายหินจิตวิญญาณ
และผู้ที่มีเศษกระจกกับกลุ่มอิทธิพลที่อยู่ค่อนข้างห่างไกล ย่อมรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ทำให้ต้องละทิ้งโอกาสอันดีนี้ไป
ทิศทางจากตลาดฉางหยางไปวังมายานภาหยก มีลำแสงลำสองลำพุ่งออกไปอยู่ตลอด พวกเขาต่างก็แย่งกันไปให้ถึงก่อน
ผู้ฝึกฝนที่อยู่ใกล้ตลาดฉางหยาง ต่างก็ใช้วิธีการที่รวดเร็วที่สุดในการเดินทาง
และพื้นที่เปล่าเปลี่ยวกว้างโล่งตรงด้านล่างของวังมายานภาหยก ปกติจะมีคนมาที่นี่น้อยมาก แต่ในระยะเวลาเพียงสั้นๆ ก็ดูคึกคักขึ้นมา และถูกผู้ฝึกฝนจำนวนมากครอบครองพื้นที่ไว้
ผู้ฝึกฝนเหล่านี้ บ้างก็ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ บ้างก็ลอยอยู่กลางอากาศ แต่ล้วนชี้ไปทางเงาวังอยู่ไม่หยุด
ขณะนั้นเอง ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาจากขอบฟ้าไกลๆ พอมาถึงอากาศบริเวณนั้นถึงได้หยุดตัวลง
หลังจากไอดำสลายไปแล้ว ก็มีเงาร่างเผยออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำนั่นเอง
เขาแหงนหน้าและหรี่ตามองขึ้นไป
ตอนอยู่ในตลาดมองเห็นเพียงเงาร่างของวัง พอตอนนี้มาอยู่ใกล้ๆ เงาของวังก็ดูชัดเจนขึ้นมามาก
วังอันทรงพลังลอยอยู่กลางอากาศที่สูงร้อยกว่าจั้งอย่างเงียบๆ มันเปล่งแสงสีเขียวแวววาวอยู่ตลอดเวลา แลดูคล้ายกับภาพมายาในความฝัน ราวกับวังสวรรค์ไม่มีผิด ช่างสมกับชื่อวังมายายิ่งนัก
หลิ่วหมิงมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงถอนหายใจยาวๆ เรียกสติกลับมา และก้มหน้าสำรวจดูรอบด้าน
จะเห็นว่าผู้ฝึกฝนในที่นี้มีมากถึงหนึ่งพันกว่าคน ทุกคนต่างก็จ้องมองเงาวังตรงหน้า และกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา
………………………………