ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 557 พลังหลากหลายรูปแบบ
พอซาทงเทียนยืนอยู่ใต้บันไดอย่างมั่นคงแล้ว เขาก็ทำท่ามือกระตุ้นวิชาเคล็ดกระบี่ด้วยแววตาที่เป็นประกาย และตบถุงหนังสีขาวบนเอว ทันใดนั้นแสงสีเขียวเจิดจ้าก็พุ่งขึ้นฟ้า หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ กระบี่บินสีเขียวที่ดูคล้ายลูกตาใสแป๋วก็ถูกตั้งขวางอยู่ตรงหน้า
ครู่ต่อมา ซาทงเทียนเปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว กระบี่บินสีเขียวปล่อยแสงพร่างพรายออกมา ขณะเดียวกันบนตัวของเขาก็แผ่กลิ่นไอกระบี่ออกมาอย่างดุเดือด
หลังจากแสงสีเขียวเปล่งประกายผ่านไป แสงกระบี่สีเขียวสลัวๆ ก็ปกคลุมร่างของเขาไว้
ทันทีที่มีเสียงระเบิดดังออกมา เงากระบี่สีเขียวสลัวๆ ก็ห่อหุ้มร่างของซาทงเทียนไว้ และหายวับไปปรากฏอยู่บนบันได
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”
วิชาขี่กระบี่ที่ซาทงเทียนแสดงออกมา คือเคล็ดวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งที่หลิ่วหมิงเพิ่งทำความเข้าใจได้เมื่อเร็วๆ มานี้
พริบตาเดียวแสงกระบี่สีเขียวก็พุ่งไปถึงขั้นที่สามสิบ จากนั้นม่านแสงบางๆ ห้าสีก็เปล่งประกายออกมาต้านทานแสงกระบี่สีเขียวไว้
สิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างก็คือ แสงกระบี่สีเขียวไม่คิดจะหยุดเลยแม้แต่น้อย และพุ่งไปต่อราวกับการผ่ากระบอกไม้ไผ่
ม่านแสงเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง และค่อยๆ ถูกปั่นจนแตกกระจาย
แต่พอแสงกระบี่สีเขียวพุ่งไปถึงบันไดขั้นที่แปดสิบ ความเร็วของมันก็ลดลงอย่างชัดเจน
แต่ทว่าหลังจากแสงเย็นสะท้านเปล่งประกายออกมา แสงกระบี่สีเขียวก็ยังคงพุ่งผ่านม่านแสงสิบกว่าชั้นที่ต้านทานไว้ได้
หลังจากมีเสียงดังหวึ่งๆ ม่านแสงบนบันไดสองสามขั้นสุดท้ายกลับรวมตัวเป็นกำแพงห้าสีอันหนาแน่น และขวางอยู่บนบันไดขั้นสุดท้ายราวกับเป็นเขาลูกเล็กๆ
มีเสียงฮึดฮัดของซาทงเทียนดังออกมาจากแสงกระบี่สีเขียว ขณะนี้แสงของกระบี่ก็ลดลงไปเล็กน้อย และมีสีเข้มขึ้นมา ทำให้ดูแสบตามากขึ้นกว่าเดิม
แสงกระบี่กระพริบไม่กี่ที ก็ปะทะลงบนกำแพงแสง
“ตู้ม!” เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หลังจากดวงอาทิตย์ลูกเล็กๆ ระเบิดออกมา แสงกระบี่สีเขียวก็ฉีกกำแพงห้าสีจนกลายเป็นรู และกระพริบเข้าไปด้านใน
พอแสงกระบี่สีเขียวดับลง ซาทงเทียนก็พุ่งทะลุม่านแสงสีขาว และเข้าไปในประตูวัง
ตั้งแต่ชายหนุ่มชุดผ้าแพรเดินออกจากฝูงชน และขึ้นไปถึงบันไดขั้นสูงสุด ใช้เวลาแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น ความเร็วของเขาทำให้ฝูงชนมองดูด้วยความตกตะลึง
การที่ซาทงเทียนผ่านด่านได้อย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าจะทำให้คนจำนวนไม่น้อย พากันทยอยขึ้นบันไดห้าสีอย่างต่อเนื่อง
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ใจร้อนไปชั่วขณะ ซึ่งพลังของพวกเขาค่อนข้างอ่อนแอมาก ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ก็ล้มลงมาอย่างรุนแรง
“ผู้เฒ่าเฉียว พวกเราไปกันเถอะ”
หญิงชุดม่วงตะกูลโอวหยางกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ จากนั้นก็เดินออกไปทันที ผู้อาวุโสชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็ก้าวเท้าตามไปโดยไม่กล่าวอะไรออกมา
“เป็นคนของตระกูลโอวหยาง” ท่ามกลางฝูงชนมีคนจำสถานะของหญิงสาวชุดม่วงได้
หญิงสาวชุดม่วงค่อยๆ เดินขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่นานก็ขึ้นไปได้สิบกว่าขั้น และยังคงค่อยๆ ก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าความเร็วลดลงอย่างชัดเจน
ผู้อาวุโสชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวขึ้นไปยืนอยู่บนบันไดห้าสี
พอผู้อาวุโสเหยียบบันไดขั้นที่หนึ่ง ก็มีแสงห้าสีเจิดจ้าเปล่งประกายบนบันได หญิงสาวชุดม่วงที่อยู่บนนั้นมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา นางรีบกระตุ้นพลังเวทถึงทรงตัวไว้ได้อย่างมั่นคง
แม้ว่าผู้อาวุโสชุดดำจะยืนอยู่แค่บันไดขั้นที่หนึ่ง แต่กลับถูกม่านแสงห้าสีใต้เท้าห่อหุ้มไว้ทั้งตัว และดูเหมือนจะเผชิญกับแรงผลักดันจนร่างกายเริ่มไม่มั่นคงเล็กน้อย
สีหน้าผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบพลิกฝ่ามือหยิบขวดโอสถออกมาใบหนึ่ง หลังจากทานโอสถไปหลายเม็ดแล้ว ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน และแผ่กลิ่นไอมหาศาลออกมา
เห็นได้ชัดว่ากลิ่นไอมหาศาลนี้เกินขอบเขตของระดับผลึกขั้นต้น ซึ่งบรรลุถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้ว ตอนนี้ผู้อาวุโสเพิ่งจะทรงตัวได้เล็กน้อย แต่หากคิดจะก้าวขึ้นไปอีกขั้นล่ะก็ ดูหมือนว่าจะเป็นไปไม่ได้
ครู่ต่อมา เฉียวจื้ออีพลิกฝ่ามือหยิบดาบหยกออกมาอย่างรวดเร็ว ภายใต้การร่ายคาถา และโบกสะบัดดาบหยก ทำให้มีแสงสีขาวสว่างไสวพุ่งยิงออกไปทันที มันหล่นลงบนตัวหญิงสาวชุดม่วง และกลายเป็นวงแหวนแสงสีขาวจางๆ
วงแหวนแสงดูเหมือนจะธรรมดาๆ แต่กลับทำให้หญิงสาวชุดม่วงมีสีหน้าสีผ่อนคลายลงทันที เสียงฝีเท้าเบาลงเล็กน้อย และนางก็เร่งความเร็วขึ้นมา ไม่นานก็ขึ้นไปถึงบันไดขั้นที่แปดสิบ และยังคงปีนป่ายขึ้นไปต่อ
ฝูงชนที่มุงดูอยู่เห็นเช่นนี้ ก็อุทานด้วยความตื่นตะลึง
แต่ทว่าพอหญิงสาวชุดม่วงมาถึงขั้นที่เก้าสิบห้า ก็ดูเหมือนว่าแรงผลักที่ผู้อาวุโสชุดดำได้รับ จะเพิ่มขึ้นมาหลายเท่า แต่พอร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เส้นเอ็นก็ปูดโปนตรงหน้าผาก ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ แต่เสียงร่ายถาคายังคงไม่หยุด จากนั้นก็ใช้ดาบหยกฟันลงไปด้านล่าง
และวงแหวนแสงบนตัวหญิงสาวชุดม่วงที่อยู่ด้านบน ก็มืดลงไปไม่น้อย ใบหน้างดงามราวกับหยกขมวดคิ้วขึ้นมา ทันใดนั้นแสงดาบสีเขียวแคบยาวก็ปรากฏออกมา พอชี้มันออกไป ม่านแสงห้าสีบนขั้นบันไดที่เหลือก็ถูกฟันจนขาด
ร่างของหญิงสาวชุดม่วงสั่นไหว และกลายเป็นแสงแวววาวพุ่งผ่านม่านแสงสีขาว ภายใต้การกระพริบของแสงสีเขียว นางก็เข้าไปในประตูวังแล้ว
“ตู้ม!”
หลังจากเห็นหญิงสาวชุดม่วงผ่านบันไดห้าสีไปอย่างง่ายดาย ผู้อาวุโสชุดดำก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง ภายใต้การโจมตีอันน่ากลัวของแสงห้าสี ร่างของเขาก็กระเด็นออกไปราวกับกระสอบทราย และตกลงบนพื้นที่อยู่ไม่ไกลอย่างรุนแรง
ผู้อาวุโสพยายามปีนขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ซีดขาวราวกระดาษ เขาทานโอสถสองสามเม็ดในทันที และนั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจอยู่ที่เดิม
หลิ่งหมิงมองดูผู้อาวุโสชุดดำด้วยสีหน้าเรียบเฉย กลิ่นไอบนตัวดูอ่อนแออย่างถึงขีดสุดจนต้องแอบส่ายหน้าไปมา
วิธีการเช่นนี้ไม่นับว่าเหนือชั้นแต่อย่างใด เห็นได้ชัดว่าบันไดห้าสีรับรู้ระดับการฝึกฝนของคนที่ยืนอยู่บนนั้นได้ การเสริมพลังเช่นนี้ จะเพิ่มระดับความยากในการผ่านบันไดห้าสีขึ้นไปอีก ผู้ที่ช่วยเหลือจะต้องมีพลังเหนือกว่าคนทั่วไป การช่วยเหลือจะต้องเหนือกว่าระดับความยากของบันไดที่เพิ่มขึ้นถึงจะได้ผล อีกอย่างผู้ที่ช่วยเหลือจะถูกพลังสะท้อนกลับไม่น้อย
แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินความร้ายกาจของบันไดห้าสีต่ำเกินไป ขณะนั้นก็มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกหลายคนลงมือทำเช่นนี้ เพื่อให้ศิษย์ในนิกายของตนบุกเข้าวังให้ได้ แต่สุดท้ายต่างก็พากันล้มเหลวจนหมดสิ้น
ในนั้นมีบัณฑิตหนุ่มสำนักเฮ่าหรานด้วย ภายใต้การช่วยเหลือของบัณฑิตวัยกลางคน เขาก็ยืนหยัดได้ถึงบันไดขั้นที่เก้าสิบเท่านั้น เนื่องจากความแข็งแกร่งของตนเองยังไม่เพียงพอ จึงล้มลงจากบันไดอย่างกระเซอะกระเซิง
แต่ว่าสำนักเฮ่าหรานสมกับเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ แม้ว่าจะปีนบันไดไม่สำเร็จ แต่ขณะที่บัณฑิตวัยกลางคนถูกแสงห้าสีดีดกระเด็นออกมา แสงสีขาวรอบตัวก็เปล่งประกาย และทำให้เขาทรงตัวได้ในทันที นอกจากจะมีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อยแล้ว ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ
บัณฑิตหนุ่มกระอักเลือดออกมาสองสามที หลังจากกลับมาบริเวณบันไดด้วยสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรงแล้ว ก็หน้าม่อยคอตกกลับมาตรงหน้าบัณฑิตวัยกลางคน และไม่พูดอะไรออกมาอีก
“ศิษย์น้องไป๋ ตอนที่เจ้าเข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายนั้น พลังเวทไม่ได้มั่นคงอย่างสมบูรณ์ เจ้าไม่ผ่านการทดสอบก็ไม่ต้องท้อใจไป” ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดเหลืองผู้หนึ่งก็เดินออกจากฝูงชนในฉับพลัน และค่อยๆ เดินมาด้านข้างบัณฑิตหนุ่ม
“ศิษย์พี่ซัง” พอบัณฑิตหนุ่มเห็นชายหนุ่มชุดเหลืองก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็คารวะอย่างนอบน้อม
“ผู้เฒ่าไป๋ ข้าน้อยก็มีเศษกระจกโบราณชิ้นหนึ่งพอดี และกำลังจะไปเข้าประตูวังมายาดูเช่นกัน” ชายหนุ่มชุดเหลืองยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หันมากล่าวบัณฑิตวัยกลางคน
“พลังของศิษย์หลานซังจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของศิษย์สายใน การทดสอบระดับนี้ยิ่งสบายมาก” พอบัณฑิตวัยกลางคนเห็นชายหนุ่มชุดเหลือง ย่อมมองมาด้วยความดีใจ
“ผู้อาวุโสไป๋ชมเกินไปแล้ว” ขณะที่พูดชายหนุ่มชุดเหลืองก็กระโดดขึ้นบันไดห้าสี และกระโดดขึ้นไปต่ออย่างรวดเร็ว
และในขณะเดียวกันแสงสีทองแวววาวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อของชายหนุ่ม อักขระจำนวนมากหมุนวนอยู่ในนั้น และปกป้องชายหนุ่มไว้รอบตัว ไม่ว่าแสงห้าสีจะถูกโจมตีอย่างไร ร่างของเขาก็ยังคงไม่ไหวติง
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป ก็ค้นพบว่าอาวุธจิตวิญญาณที่ชายหนุ่มชุดเหลืองกระตุ้น คือคัมภีร์หนาๆ เล่มหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ อักขระสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นและดับสลายอย่างต่อเนื่อง แลดูลึกลับเป็นอย่างมาก
ศิษย์พี่ซังค่อยๆ ก้าวขึ้นไปอย่างมั่นคง ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ก็ขึ้นไปยังพื้นราบเรียบด้านบนสุดอย่างง่ายดาย และพอแสงสีเขียวเปล่งประกาย เขาก็หายเข้าไปในม่านแสง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา
ชายหนุ่มผู้นี้มีพลังแข็งแกร่งกว่าบัณฑิตหนุ่มในก่อนหน้านั้นมาก คัมภีร์สีทองในมือคงจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ร้ายกาจไม่น้อย
ในระหว่างที่เขากำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น มีเงาร่างสีดำพุ่งออกจากกลุ่มฝูงชน จากนั้นชายชุดดำแปลกประหลาดก็เดินออกมา ชายผู้นี้มีอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี อวัยวะทั้งห้าเป็นปกติ ดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาว แต่ระหว่างคิ้วยังดูอ่อนวัย
ดูจากการแต่งกายของชายผู้นี้ที่มีตราประทับแปลกประหลาดอยู่บนแขนเสื้อ ทำให้รู้ว่าเป็นมนุษย์เผ่าค้างคาว
พอร่างของชายผู้นี้พร่ามัว ก็พุ่งขึ้นไปยังบันไดห้าสีโดยตรง
พอเขาย่างเท้าในแต่ละก้าว จะมีกระแสอากาศสีดำปรากฏขึ้นใต้เท้า และแยกเขากับแสงห้าสีบนบันไดออกห่างกันหนึ่งชุ่นกว่าๆ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหนุ่มเผ่าค้างคาวไม่สัมผัสโดนแสงห้าสีเลยแม้แต่น้อย เขาก็ผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย ทำให้ฝูงชนฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากมีคนไปทดสอบอีกสิบกว่าคน กลับมีแค่ผู้ฝึกร่างคนหนึ่งที่อาศัยกายเนื้ออันแข็งแกร่งจนสามารถผ่านไปได้ เวลาที่เหลือจึงไม่มีคนก้าวออกไปชั่วขณะหนึ่ง
หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนั้นก็ขี่เมฆดำลอยไปยังบันไดห้าสี
พอเขาเหยียบบันไดขั้นแรก แสงห้าสีตรงด้านล่างก็เปล่งประกายออกมา ทันใดนั้นเขารู้สึกเหมือนเหยียบลงไปในหลุมเลน ขณะเดียวกันพลังไร้รูปบางอย่างก็ฉีกดึงร่างของเขาจากซ้ายขวา เพื่อที่จะทำให้เขาออกไปจากขั้นบันได
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้……” หลิ่วหมิงรู้สึกถึงผลกระทบของแสงห้าสีบนร่างกาย และยิ้มออกมาเล็กน้อย
พลังของชั้นจำกัดบนบันไดนี้ โดยทั่วไปนับว่าเป็นลานพลังไร้รูปชนิดหนึ่ง ทำได้แค่อาศัยพลังเวทและอาวุธจิตวิญญาณบนตัวหรือกายเนื้อที่แข็งแกร่งต่อต้านโดยตรง
และสำหรับหลิ่วหมิงที่มีร่างกายแข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุดแล้ว คงจะผ่านการทดสอบนี้ไปได้ไม่ยาก
………………………………