ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 558 อสูรมายา
หลิ่วหมิงค่อยๆ ก้าวขึ้นไปทีละก้าวด้วยจิตใจที่ฮึกเหิม อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับการตอบสนองที่รวดเร็ว ไม่นานก็ผ่านไปได้หกสิบขั้น
แต่ทว่ายิ่งสูงแสงห้าสีตรงใต้เท้าก็ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น และพลังที่ฉุดลากก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังเปลี่ยนแปลงไปมากมายหลากหลายรูปแบบ
ขณะที่ก้าวไปด้านหน้า มักจะมีพลังมหาศาลผลักเขาไปด้านหลัง ขณะที่กำลังจะกระตุ้นพลังต้านทานเล็กน้อยนั้น พลังมหาศาลนี้ก็เปลี่ยนทิศทางมาผลักจากด้านหลังไปด้านหน้า และเมื่อหลิ่วหมิงปรับสมดุลพลังเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น พลังมหาศาลก็เปลี่ยนทิศทางในฉับพลัน
หลังจากฝ่าอุปสรรคนี้จนไปถึงบันไดขั้นที่เจ็ดสิบ เขาก็ค้นพบอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าทุกระยะห่างของบันไดสิบขั้น พลังของชั้นจำกัดจะเพิ่มขึ้นมาสามส่วน และความเร็วในการเปลี่ยนแปลงก็หยั่งรู้ได้ยากขึ้นเล็กน้อย
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะอาศัยความแข็งแกร่งที่พอจะเทียบกับร่างฝึกระดับผลึกได้ แต่หลังจากผ่านบันไดไปเก้าสิบขั้น ก็รู้สึกว่าเริ่มรับมือไม่ไหวเล็กน้อยแล้ว
เขาหยุดฝีเท้าลงทันที และทำท่ามือในฉับพลัน มีเสียงกรอบแกรบดังออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว ขณะเดียวกันไอดำก็พวยพุ่งออกมาและหมุนวนรอบตัวอย่างบ้าคลั่ง เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกตัวเบาลง แรงกดดันที่มาจากรอบด้านลดลงไปมาก หลังจากเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้ว ก็เดินขึ้นบันไดไปอีกห้าขั้นอย่างง่ายดาย
ขณะที่หลิ่วหมิงก้าวขึ้นไปบนพื้นราบเรียบขั้นที่หนึ่งร้อยนั้น ก็รู้สึกว่าแสงห้าสีตรงใต้เท้าดับลง ขณะเดียวกัน แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขน จากนั้นเขาก็ผ่านม่านแสงตรงหน้าไปโดยไม่มีอะไรขวางกั้น
อยู่ใกล้ประตูใหญ่ของวังประณีตงดงามเช่นนี้ เขาต้องสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างอดไม่ได้ พอหันกลับไปมองด้านหลัง ฝูงชนที่อยู่ด้านล่างถูกหมอกควันสีขาวปกคลุมจนดูพร่ามัว
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขึ้นมา หลังจากทำให้ไอดำออกห่างจากตัวไปไม่ถึงชุ่นกว่าๆ แล้ว เขาถึงก้าวเดินเข้าไปในประตูใหญ่
พอเข้าไปในประตูใหญ่ ยังไม่ทันมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ก็มีแสงสีขาวเปล่งประกายตรงหน้า จากนั้นก็มีเสียงดังโครมครามดังขึ้นใกล้ๆ สภาพรอบด้านดูพร่ามัวขึ้นมาทันที
ขณะที่เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ร่างของเขาก็มาอยู่ในห้องโถงบางแห่งแล้ว ขณะเดียวกัน เขาก็คืนร่างกลับมาเป็นร่างเดิมของตนเอง
ประจักษ์ชัดว่าชั้นจำกัดในสถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะแปลงโฉมอย่างไรก็ไม่ได้ผล
ขณะเดียวกัน มีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” เงาสีดำสองสามเงาพุ่งเข้ามาจากรอบด้าน
หลิ่วหมิงขยับแขนทั้งสองโดยไม่ต้องคิด มีไอดำลอยวนบนเงากำปั้นจำนวนมาก ทันใดนั้นก็เกิดเป็นเงาสีดำม้วนตัวไปทั่วทิศ
“ตู้ม!” “ตู้ม!” เงาสีดำที่พุ่งเข้ามาถูกพลังของเงากำปั้นโจมตีจนกระเด็นออกไป หัวสองหัวระเบิดตัวออกมาทันที
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองเห็นใบหน้าของเงาดำเหล่านี้อย่างชัดเจน มันคือหมาป่ายักษ์สีดำขนาดจั้งกว่าๆ แต่ว่าลำตัวของมันมีลวดลายจิตวิญญาณสีดำกระพริบอยู่ ราวกับว่าไม่ใช่ร่างที่แท้จริง
หลิ่วหมิงคิดวกไปวนมาอย่างรวดเร็ว พอปราดตามองออกไป ก็ค้นพบว่าหัวสองหัวถูกพลังมหาศาลโจมตีจนหลุดออกจากร่าง
สุดท้ายเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ใ ศพเหล่านี้เปล่งประกายสองสามที ก็ระเบิดตัวกลายเป็นไอดำสองกลุ่ม ทิ้งไว้เพียงมุกกลมๆ สีเทาสองเม็ดที่มีขนาดเท่านิ้วโป้งอยู่บนพื้นเท่านั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น พอเขาบิดตัว ก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมา หมาป่ายักษ์หลายตัวพลิกตัวกระโจนเข้ามา รู้สึกว่ามีเงาดำกระพริบตรงหน้า และทิ้งเงากำปั้นสีดำไว้กลางอากาศ
“ตู้ม!” “ตู้ม!”
หมาป่ายักษ์เหล่านั้นไม่ทันได้ตอบสนอง ก็ถูกโจมตีจนระเบิดเป็นไอสีดำ มุกสีเทาแต่ละเม็ดร่วงลงพื้น
หลิ่วหมิงปรากฏตัวใจกลางห้องโถงอีกครั้ง พอกวาดจิตออกไปดูจนมั่นใจว่าไม่มีหมาป่ายักษ์อยู่รอบด้านแล้ว เขาก็ดูดมุกกลมๆ ทั้งหมดมาไว้ในมือทันที จากนั้นก็คีบขึ้นมาดูอย่างละเอียด และพูดพึมพำออกมา
“ที่แท้นี่ก็เป็นมุกนภาหยกที่พูดถึง แต่มันกลับเป็นสีดำ ดูท่าอสูรมายาที่ถูกสังหารไปเมื่อครู่ คงเป็นอสูรระดับต่ำสุด”
ขณะนี้ หลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องราวหลังจากเข้ามาในวังมายานภาหยกตามที่เถ้าแก่เย่เคยบอกไว้
วังมายาเคยมาปรากฏตัวในก่อนหน้ามาหลายครั้ง คนนอกย่อมเข้าใจทุกอย่างในนั้นพอประมาณ และพูดต่อๆ กันมา
ตามที่เถ้าแก่เย่พูดมา ผู้คนทั้งหมดที่เข้าไปในวังมายา จะถูกอสูรมายาจำนวนมากที่ดูแลอยู่ในนั้นโจมตี อสูรมายานี้เกิดขึ้นจากการที่วังมายาดูดซับพลังฟ้าดินจากโลกภายนอก จนก่อเกิดเป็นรูปร่างขึ้นมา พลังของมันก็แตกต่างจนมาก มีตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับที่พอจะเทียบได้กับระดับผลึก
และผู้ฝึกฝนจากภายนอกที่เข้ามาในวังมายานภาหยก หลังจากสังหารอสูรมายาเหล่านี้แล้ว จะได้รับ ‘มุกนภาหยก’ ที่มีพลังแตกต่างกัน มุกที่มีพลังพิเศษแฝงอยู่มาก สีของมันจะสวยสดงดงามผิดปกติ ด้วยเหตุนี้โดยทั่วไปจึงแบ่งออกเป็นสีเทา สีขาว สีเขียว สีม่วง สีเงิน สีทอง หกสีใหญ่ๆ
และผู้ฝึกฝนจากภายนอกที่เข้ามาในวังมายานภาหยก เพียงแค่ถูกกักอยู่ในวังมายาครบสามเดือน ก็จะถูกส่งไปยังแท่นบูชายักษ์บางแห่งก่อนที่วังแห่งนี้จะหายไป และสังเวยมุกนภาหยกเหล่านี้ เพื่อแลกกับสมบัติล้ำค่าต่างๆ ที่ราชาสวรรค์นภาหยกทิ้งไว้เป็นรางวัลให้แก่คนรุ่นหลัง และยังว่ากันว่าเพียงแค่มีจำนวนมุกนภาหยกที่เพียงพอหรือคุณสมบัติสูงพอ ก็สามารถแลกอาวุธเวทบางอย่างได้โดยตรง
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หลิ่วหมิงบุกเข้าวังมายานภาหยกอย่างไม่ลังเล เพราะด้วยพลังของเขาในตอนนี้ สามารถกวาดล้างอสูรมายาเหล่านี้ไปได้ครึ่งหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเสร็จแล้ว ถึงสังเกตดูห้องโถงอย่างละเอียด
ห้องโถงสูงจนมองไม่เห็นเพดาน เพราะมีไอหมอกสีขาวจำนวนหนึ่งลอยอยู่ จนไม่อาจมองทะลุได้
และรอบด้านห้องโถงล้วนเป็นผนังสีดำสลัวๆ บนผนังไม่มีอะไรพิเศษ มีเพียงประตูหินสีดำที่ปิดสนิทอยู่ ดูเหมือนจะนำไปสู่ห้องโถงที่อยู่ติดกัน
หลิ่วหมิงเดินไปตรงหน้าประตูหินบางแห่งอย่างไม่ใส่ใจ พอชี้มือข้างหนึ่งผ่านอากาศ ประตูหินก็สั่นสะท้านเล็กน้อย และค่อยๆ เปิดออกมา
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กระพริบหายเข้าไปด้านใน
พอเดินเข้าไปใจกลางห้องโถงห้องนี้ ประตูตรงหลังก็ปิดตัวลง
หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินเข้าไปใจกลางห้องโถงด้วยสีหน้าสงบ ไอหมอกรอบด้านสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง หมูป่ายักษ์ห้าตัวที่มีแสงสีเหลืองเปล่งประกายปรากฏตัวออกมา
หมูป่าเหล่านี้สูงจั้งกว่าๆ ยาวสองสามจั้ง คมเขี้ยวสีทองทั้งคู่แหลมคมผิดปกติ มีไอหมอกพ่นออกจากปากเป็นระยะๆ และมีเสียงร้องคำรามแปลกประหลาดดังออกมา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอปล่อยจิตออกไป ก็ค้นพบว่าหมูป่าเหล่านี้มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลว
พวกมันต่างก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแสงสีเหลือง ทันใดนั้นก็มีตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นก็พากันพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ดวงตาหลิ่วหมิงดูเยือกเย็นขึ้นมา เขาพุ่งถอยไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีแดงก็ม้วนตัวออกไป
นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ กระบี่สีแดงหมุนตัวติ้วๆ อยู่กลางอากาศ และกลายเป็นเงากระบี่สีแดงจำนวนมากพุ่งใส่หมูป่ายักษ์
“เต๊ง!” “เต๊ง!” เงากระบี่สีแดงถูกโจมตีจนกระเด็นออกไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย ด้านหนึ่งกระตุ้นกระบี่บินสีแดงให้ทำการโจมตี อีกด้านหนึ่งก็หรี่ตาสังเกตดูอย่างละเอียด
หมูป่ายักษ์เหล่านี้มีลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกายอยู่บนตัว ประจักษ์ชัดว่าถูกวางชั้นจำกัดป้องกันบางอย่างไว้ มันดูแข็งแกร่งกล้าและทรหดมาก แม้แต่ความแหลมคมของวิชาขี่กระบี่ ก็ไม่อาจทำลายเกราะป้องกันนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
ในระหว่างที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หมูป่ายักษ์ก็ไม่สนใจกระบี่บินสีแดงที่ปะทะลงบนตัว และค่อยๆ หยุดชะงักลงพร้อมกับพ่นไอหมอกสีเขียวออกมา ไอหมอกม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทิศ
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามือติดต่อกัน เปลวไฟสีแดงขนาดเท่าไข่ไก่ก่อตัวขึ้นบนปลายนิ้วทั้งสิบ พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปรับมือกับไอหมอกสีดำ
ทันใดนั้น แสงไฟก็ลุกโชนกลางอากาศ คลื่นความร้อนสีแดงม้วนตัวไปทั่วทิศ ทำให้ไอหมอกสีเขียวไม่ทราบชื่อพวยพุ่งอย่างรุนแรง และถูกเผาไหม้จนหมดสิ้นทันที
หลิ่วหมิงถือโอกาสนี้สะบัดแขนเสื้อ มือทั้งสองกุมมุกพลังวารีไว้ จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างพุ่งเข้าหาหมูป่ายักษ์
หลังจากมีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง หมูป่าสีเหลืองหลายตัวก็ถูกเงากำปั้นจำนวนมากโจมตีจุดสำคัญจนระเบิดออกมา มุกกลมๆ สีเขียวอ่อนห้าเม็ดร่วงลงบนพื้น
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บมันขึ้นมาแล้ว ก็ผลักประตูหินสีดำตรงข้างห้องโถงอีกครั้ง
……
ด้านนอกวังนภาหยกยังคงมีผู้แข็งแกร่งระดับของเหลวบุกเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
หลายวันต่อมา ภายในห้องโถงบางแห่งที่มีหมอกควันปกคลุมอยู่อย่างหนาแน่น รอบด้านเงียบสงัดราวกับว่าไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่
ชายหนุ่มรูปโฉมงดงาม สวมชุดผ้าแพรสีขาวทั้งตัวกำลังยืนอยู่ใจกลางห้องโถง หูแคบยาวทั้งคู่สั่นสะท้านเบาๆ ราวกับกำลังฟังความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่
ทันใดนั้นสีหน้าของชายหนุ่มก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แสงสีเขียวแปลกประหลาดเปล่งประกายในดวงตา จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมา หมอกควันรอบด้านพวยพุ่งอย่างรุนแรง และมีเสียงระเบิด “เปรี้ยงปร้าง!” ดังออกมา
จากนั้นมุกกลมๆ สิบกว่าเม็ดก็ร่วงลงพื้น ดูเหมือนว่าจะมีสีขาวและสีเขียวด้วย
ชายหนุ่มเก็บมุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากห้องโถง
……
ท่ามกลางห้องโถงอีกแห่ง หญิงสาวงดงามสวมชุดสีแดงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในมือกำหินจิตวิญญาณระดับสูงไว้หนึ่งก้อน และค่อยๆ ฟื้นฟูพลังเวทอย่างช้าๆ
บนเอวของเขามีป้ายห้อยอยู่อันหนึ่ง บนนั้นมีคำว่า ‘เสิ่น’ สลักอยู่
ห่างจากเขาไปไม่ไกล มีวานรยักษ์สีดำนอนฟุบอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน ครู่เดียวก็กลายเป็นควันดำสลายไปในอากาศ มุกสีม่วงขนาดเท่าไข่ไก่ร่วงลงมา
หญิงสาวเห็นเช่นนี้ ดวงตาอันงดงามก็เผยแววดีใจออกมา จากนั้นก็โบกมือเบาๆ เพื่อนำมุกเข้าไปในยันต์เก็บของ
……
พริบตาเดียว หลิ่วหมิงก็อยู่ในนั้นนานสิบกว่าวันแล้ว แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าจะหาขอบของมันไม่เจอ
ห้องโถงในวังนภาหยกนี้เชื่อมต่อกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าเป็นเขาวงกตที่ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดอยู่ที่ใด
ก่อนหน้านั้น เขาเคยใช้เวลาหลายวันเดินไปทางตะวันตกอยู่ตลอดเวลา หลังจากผ่านห้องโถงไปเจ็ดแปดแห่ง ก็ยังหาจุดสิ้นสุดไม่ได้
จากการคาดการณ์ของเขา วังแห่งนี้จะต้องถูกชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างปกคลุมไว้ ไม่ว่าจะเดินไปทางใดก็ไม่มีจุดสิ้นสุด
ส่วนแท่นบูชาบางแห่งที่เถ้าแก่เย่บอกว่าเป็นสถานที่แลกสมบัติล้ำค่านั้น หากไม่รอจนถึงตอนที่วังมายาใกล้จะหายไปล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าคงไม่ปรากฏต่อหน้าผู้บุกวังอย่างแน่นอน
………………………………