ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 57 แดนปีศาจปรโลก
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวแสดงวิชาทะยานเวหาเหาะไปยังทิศทางที่ผู้เฒ่าปีศาจบอก
ตอนที่เขาเหาะออกไปนอกม่านแสงสีขาวนวลนั้น สิ่งที่ตาของเขามองเห็นคือสถานที่มืดครึ้มเปล่าเปลี่ยวมาก แผ่นฟ้าทั้งผืนถูกแผ่คลุมด้วยเมฆดำอย่างแน่นหนามองไม่เห็นแสงอาทิตย์แม้แต่น้อย ทำให้รู้สึกอึดอัดใจเป็นพิเศษ
หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำเล็กน้อย ความรู้สึกหนาวเย็นหลั่งพรั่งพรูภายในร่าง ถึงแม้จะทำให้ร่างกายเขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก แต่กลับรู้สึกว่าพลังเวทตรงทะเลจิตวิญญาณกลับดูคล้ายจะวิ่งเต้นภายในพริบตา
หลิ่วหมิงแอบถอนหายใจ
แดนปีศาจปรโลกนี้เป็นอย่างที่ผู้คนกล่าวไว้จริงๆ มันมีผลดีต่อการฝึกฝนวิชาจิตวิญญาณปีศาจและวิชาที่ใช้พลังหยินไม่น้อย แต่ร่างกายกลับทนต่อพลังปราณหยินที่ต้านกลับมาไม่ได้
เขาได้แต่ละความคิดที่จะอาศัยปราณหยินในการฝึกฝนพลังเวท
พอเหาะไปไกลกว่าสามลี้ หลิ่วหมิวก็ยังไม่พบปีศาจใดๆ และสุดท้ายก็มาถึงแม่น้ำมืดที่ผู้เฒ่าปีศาจได้บอกไว้
แต่พอเขาเหาะเข้าไปใกล้หน่อยหนึ่งก็หัวเราะขมขื่นอย่างอดไม่ได้
แม่น้ำมืดที่ปรากฏตรงหน้า ถ้าจะบอกว่าเป็นแม่น้ำไม่สู้บอกว่าเป็นลำธารเล็กๆ น่าจะเหมาะสมกว่า
แม่น้ำมืดกว้างไม่เกินจั้งกว่าๆ น้ำในแม่น้ำก็ไม่ได้ใสสะอาด แต่กลับเป็นสีเหลืองอ่อนที่ขุ่นเป็นพิเศษ และเหนือผิวน้ำยังมีหมอกสีขาวปกคลุมวนเวียนอยู่สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้กับผู้พบเห็น
หลิ่วหมิงบังคับเมฆให้ลอยลงบนหินสีดำก้อนหนึ่งตรงริมแม่น้ำ เขายังไม่ทันได้คิดว่าจะหามัจฉาหน้าปีศาจได้อย่างไร ก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้น สิ่งมีชีวิตสีขาวดำชนิดหนึ่งกระโดดขึ้นมาจากน้ำที่อยู่ด้านหน้า และกระโจนเข้าหาเขา
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง รีบสะบัดแขนเสื้อ โซ่สีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกไป หลังจากตวัดกวัดแกว่งอย่างเลือนลางแล้วก็หวดเข้าใส่เจ้าสิ่งที่พุ่งเข้าอย่างรุนแรง
และเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวดำนี้ส่งเสียงร้องประหลาดออกมา และได้แต่นอนเต้นตุบๆ อยู่บนพื้นไม่หยุด
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงได้มีเวลามองไปยังเจ้าสิ่งมีชีวิตสีขาวดำนั้น
มันเป็นสิ่งที่คล้ายปลาและอสูรดูแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ยาวประมาณครึ่งฉื่อ ส่วนท้ายของมันเหมือนกับปลาชนิดหนึ่ง แต่ส่วนหน้าเป็นหัวปลาปีศาจขนาดเล็กกว่าตัวหลายเท่า และมีขนปุกปุย ตรงท้องมันยังมีกรงเล็บสีดำเล็กๆ สองข้าง
ตอนนี้เจ้าปลาแปลกประหลาดอ้าปากพะงาบๆ อยู่ไม่หยุด ทำให้มองเห็นฟันเล็กละเอียดแหลมคมสองแถว แสดงให้เห็นว่ามันดุร้ายเป็นอย่างมาก
“ดูเหมือนเจ้าสิ่งนี้ก็คือมัจฉาหน้าปีศาจ” หลังจากหลิ่วหมิงตื่นตะลึงครู่หนึ่งแล้วก็ยิ้มออกมา
โซ่ตรวนวิญญาณหวดเข้าใส่ตรงหัวปีศาจของเจ้าปลาประหลาดอย่างรุนแรงอีกครั้งด้วยความแม่นยำ
มัจฉาหน้าปีศาจสส่งเสียงร้องประหลาดแล้วก็สลบไป
หลิ่วหมิงหยิบข้องปลาออกมาจากอก ใช้โซ่ตรวนจิตวิญญาณม้วนพันมัจฉาหน้าปีศาจมาใส่ลงไปในข้อง
ต่อมาเขาถึงเดินลงจากก้อนหินไปยังด้านหน้าของแม่น้ำมืดอย่างระมัดระวัง
ครั้งนี้ไม่มีอะไรโดดขึ้นมาจากน้ำแล้ว
หางคิ้วของหลิ่วหมิงยกขึ้น แล้วตวัดโซ่ตรวนวิญญาณออกไปอีกครั้ง แตะปลายโซ่ลงบนผิวน้ำด้านหน้าแล้วชักกลับอย่างรวดเร็ว
ปลายโซ่ตรวนวิญญาณถูกปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งสีขาว
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจด้วยความตกตะลึง
แม่น้ำมืดนี้เย็นประหลาดอย่างหาที่เปรียบมิได้
ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าเข้าใกล้แม่น้ำมืดไปกว่านี้แล้ว เขาเว้นระยะห่างจากแม่น้ำเท่าเดิมแล้วค่อยๆ เดินไปยังทิศทางที่สวนกระแสน้ำไหล
ผลคือผ่านไปสักระยะก็จะมีมัจฉาหน้าปีศาจกระโดดออกมาจากแม่น้ำ ตัวใหญ่สุดยาวหนึ่งฉื่อตัวเล็กสุดยาวไม่กี่ชุ่น
หลิ่วหมิงใช้โซ่ตรวนวิญญาณหวดใส่มันจนสลบโดยไม่ละเว้นแม้แต่ตัวเดียวแล้วใส่ลงไปในข้องปลา ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จับมัจฉาหน้าปีศาจได้สิบเจ็ดถึงสิบแปดตัวแล้ว และมันก็ถูกใส่ลงไปในข้องปลาจนเต็ม
เขาขี่เมฆเหาะกลับไปอย่างไม่ลังเล
……
“ไม่เลว สิ่งเหล่านี้คือมัจฉาหน้าปีศาจที่ข้าต้องการ เข็มทิศหยินนี้เป็นของเจ้าแล้ว” พอเฒ่าปีศาจเห็นหลิ่วหมิงเหาะลงมาพร้อมกับมัจฉาหน้าปีศาจเต็มข้องปลาก็กล่าวด้วยความดีใจ และโยนเข็มทิศหยินในมือออกไปให้หลิ่วหมิง
ถึงแม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอรับเข็มทิศหยินมาแล้วก็โยนข้องปลาในมือให้กับฝ่ายตรงข้าม
เสียงดัง “ตุ๊บ!”
ผู้เฒ่าปีศาจลุกขึ้นมา ขาทั้งสองไม่ใช่ขาของมนุษย์แต่เป็นขานกอินทรีย์สีดำเงาขนาดยักษ์ เขายกขาเหยียบข้องปลาไว้ ใช้มือดึงมัจฉาหน้าปีศาจตัวที่ใหญ่ที่สุดออกมาตัวหนึ่งแล้วยัดเข้าไปในปาก และกลืนมันลงไปทั้งยังดิบๆ ด้วยเสียงดังกรุบๆ
“ไม่เลว รสชาติของมัจฉาหน้าปีศาจนี้สดอร่อยมาก ยิ่งกินยิ่งอร่อยสุดยอด” ผู้เฒ่าปีศาจเคี้ยวไปด้วยพูดพึมพัมกับตนเองไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม
ถึงแม้ในมือของหลิ่วหมิงจะถือเข็มทิศอยู่ แต่ก็มองตะลึงตาค้างอย่างห้ามไม่ได้
“ฮ่าๆ ศิษย์น้องไป๋ ดูเหมือนเจ้าก็หลงกลไปจับมัจฉาหน้าปีศาจนั่นเหมือนกัน” ชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องหินหลังหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลออกไป พอเขาเห็นสถานการณ์ตรงหน้าหลิ่วหมิงก็หัวเราะแล้วเดินเข้ามา
“เอ๋! ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่ตู้ เมื่อกี้ศิษย์บอกว่าหลงกลนี่หมายความว่าอย่างไร!” หลิ่วหมิงหันหน้ากลับไปมองด้วยความแปลกใจ
ชายหนุ่มผู้นี้ใส่ชุดสีน้ำเงิน สะพายคาบโค้งยาวเล็กๆ ใบหน้าเย็นชา เขาผู้นั้นคือตู้ไห่จากเขาหยินทนทรมาณนั้นเอง
หลังจากครั้งนั้นที่หลิ่วหมิงและพวกเขาผิดใจกันกับศิษย์ที่ชื่อโอวหยางซินผู้นั้นแล้ว พวกเขาก็นับว่าสนิทสนมกันดี ต่อมาก็ยังร่วมมือกันไปทำภารกิจแต้มคุณูปการด้วยกันหลายครั้ง การร่วมมือแต่ละครั้งล้วนประสบความสำเร็จไปด้วยดี
ด้วยเหตุนี้ เขากับตู้ไห่และคนอื่นๆ ก็สนิทสนมกันมากขึ้นกว่าเดิม
“ผู้เฒ่าปีศาจตนนี้ แท้จริงแล้วเป็นปีศาจระดับต่ำที่ปรมาจารย์ลิ่วยินได้ปราบไว้ นอกจากชำนาญวิชามายาแปลงร่างส่วนบนให้เหมือนกับมนุษย์อย่างพวกเราแล้วก็ไม่มีความสามารถพิเศษใดๆ อีก ด้วยเหตุนี้ในปีนั้นนักพรตลิ่วยินถึงได้จับมันขังไว้บริเวณค่ายกล ให้มันรับผิดชอบปกป้องค่ายกลโดยเฉพาะกับส่งศิษย์นิกายของเรากลับไป และเรื่องง่ายๆ อย่างอื่น เพราะอย่างไรที่นี่ก็มีปราณหยินเข้มข้นมีแต่ปีศาจเท่านั้นที่สามารถพำนักอยู่ได้ ส่วนเข็มทิศในมือเป็นอาวุธอาญาสิทธิ์ที่สามารถสร้างได้ง่ายๆ ศิษย์ที่เข้ามาที่นี่ครั้งแรกต่างก็ได้รับแจกอยู่แล้ว แต่ผู้เฒ่าปีศาจนี้กลับชอบกินมัจฉาหน้าปีศาจในแม่น้ำมืด ดังนั้นจึงนำเข็มทิศหยินนี้มาเป็นข้ออ้างแลกเปลี่ยนให้ศิษย์ใหม่บางคนช่วยจับปลามาให้มัน แท้ที่จริงแล้วต่อให้เจ้าไม่ไปจับมัจฉาหน้าปีศาจให้มัน มันก็ต้องให้เจ้าอยู่แล้ว” ตู้ไห่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง!” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที กวาดสายตามองไปยังผู้เฒ่าปีศาจครู่หนึ่ง เขาค้นพบว่าขานกอินทรีย์ข้างหนึ่งถูกโซ่สีเงินเส้นเล็กๆ พันไว้กับผนังตรงห้องหิน
ตอนนี้ผู้เฒ่าปีศาจไม่สนใจการสนทนาระหว่างหลิ่วหมิงกับตู้ไห่ เอาแต่ดึงมัจฉาหน้าปีศาจแต่ละตัวใส่ปากแล้วกลืนลงไปไม่หยุด
ทำให้หลิ่วหมิงเห็นแล้วรู้สึกใจเต้นขึ้นมา
“ใช่สิศิษย์น้องไป๋ เรื่องแบบนี้เจ้าก็ยังไม่รู้คงไม่ได้มาที่นี่คนเดียวหรอกนะ” ตู้ไห่หยุดยิ้มแล้วขมวดคิ้วถามออกไป
“ครั้งนี้ศิษย์น้องกะจะมาคนเดียวจริงๆ ศิษย์พี่ตู้ก็อยู่ที่นี่ด้วย หรือว่าก็คิดที่จะจับปีศาจเหมือนกัน?” หลิ่วหมิงถามออกไปตรงๆ
“ข้าไม่ได้ฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณเลยจะมาจับปีศาจได้อย่างไร แต่ข้ากับอวิ๋นเซียนมาหาหญ้าจิตวิญญาณหลายชนิดที่ขึ้นเฉพาะในนี้เพื่อนำกลับไปใช้ประโยชน์” ตู้ไห่ส่ายศีรษะกล่าว
“ศิษย์พี่มู่ก็มาด้วยหรือ ไม่ทราบว่าตอนนี้อยู่ที่ใด!” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ แต่กวาดสายตามองรอบด้านแล้วก็ยังไม่เห็นร่างที่คุ้นเคยของนาง
“อวิ๋นเซียนกำลังเช่าพักผ่อนอยู่ในห้องจิตวิญญาณข้าจะพาเจ้าไปพบนาง ศิษย์น้องเองก็อย่าเพิ่งรีบไปจากที่นี่ แดนปีศาจปรโลกนี้ค่อยข้างอันตรายเป็นอย่างมาก ทางที่ดีศิษย์น้องฟังพวกข้าทั้งสองบรรยายเรื่องต่างๆ ให้ฟังเล็กน้อยก่อนแล้วค่อยไปก็ยังไม่สาย” ตู้ไห่กล่าวด้วยความกระตือรือร้น
“ศิษย์พี่พูดขนาดนี้แล้ว ศิษย์น้องย่อมไม่กล้าขัดอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองครู่หนึ่งก็พยักหน้าตอบรับกลับไป
ตู้ไห่เห็นเช่นนี้ ก็พาหลิ่วหมิงเดินไปยังห้องหินห้องหนึ่งด้วยความดีใจ
ครู่ต่อมา หลังจากที่ตู้ไห่เคาะประตูหินแล้ว มู่อวิ๋นเซียนหญิงผู้มีใบหน้างดงามก็เดินออกมาจากด้านใน
พอนางเห็นหลิ่วหมิงก็อึ้งเล็กน้อย สำรวจดูทั่วร่างของหลิ่วหมิงครู่หนึ่งก็ถามด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์น้องไป๋ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร หรือว่าเจ้าบรรลุระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางแล้ว ทั้งยังฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณแล้วด้วย รูปร่างของเจ้าตอนนี้เทียบกับเมื่อก่อนแล้วเปลี่ยนไปไม่น้อย”
ตามระดับความเร็วในการฝึกฝนของศิษย์ทั่วไป ตอนนี้หลิ่วหมิวสามารถบรรลุระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง เทียบกับการเปลี่ยนแปลงหลังล้างไขกระดูกแล้วกลับทำให้คนยอมรับได้อย่างรวดเร็ว
เพราะยังไงนิกายปีศาจก็มีวิชาไม่น้อยที่ฝึกฝนแล้ว ทำให้รูปร่างภายนอกเปลี่ยนไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
“ก่อนหน้านี้ไม่นานศิษย์น้องบังเอิญโชคดีทะลวงเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้ มิเช่นนั้นคงไม่รีบร้อนมาหาปีศาจที่เหมาะสมถึงที่นี่เพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเอง” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน
“จุ๊ๆ! ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม ศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางได้นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีแต่มันมีน้อยมาก ทั้งยังใช้เวลาสั้นๆ ขนาดนี้ ดูๆ แล้วข้ากับศิษย์พี่ตู้ทึ่งในความสามารถของศิษย์น้องมาก” มู่อวิ๋นเซียนมองดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ล้อข้าเล่นแล้ว! ดูเหมือนศิษย์พี่มู่กับศิษย์พี่ตู้จะไม่ได้เข้ามายังแดนปีศาจปรโลกเป็นครั้งแรก คงจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้เป็นอย่างดี พอจะแนะนำศิษย์น้องสักเล็กน้อยได้ไหม” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อศิษย์น้องรีบร้อนขนาดนี้ พวกเราก็จะบอกเรื่องราวเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ให้เจ้าสักหน่อย ข้าว่าก่อนที่ศิษย์น้องจะมาที่นี่คงจะได้ยินเรื่องราวมาบ้างเล็กน้อย แต่ข้ารับรองได้ว่าแดนปีศาจปรโลกอันตรายกว่าที่เจ้ารู้มาหลายเท่านัก แค่ศิษย์ที่เสียชีวิตต่อหน้าต่อตาข้าก็มีเจ็ดแปดกว่าคนแล้ว และมันต่างจากคำร่ำลือภายนอกที่บอกว่ามีศิษย์ตายที่นี่แค่บางครั้ง” มู่อวิ๋นเซียนได้ยินก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
“ไม่ผิด ถึงแม้ศิษย์ในนิกายของเราที่อยู่ในแดนปีศาจปรโลก ต่างก็พยายามรวมกลุ่มอยู่กันสิบถึงยี่สิบคนอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่มีคนใหม่เข้ามาก็มีไม่น้อยที่ไม่ได้กลับออกไป และครึ่งหนึ่งในนั้นก็ถูกปีศาจดุร้ายกลืนกินเข้าไป อีกครึ่งหนึ่งกลับถูกทำลายโดยสองมหันตภัยร้าย”
“สองมหันตภัยร้าย?” หลิ่วหมิงได้ยินประโยคข้างจนก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอได้ยินประโยคท้ายยิ่งแปลกใจมากกว่า
……………………………………….