ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 570 ผู้อาวุโสขุยมู่
หลิ่วหมิงเพิ่งจะเก็บเตาเล็กๆ เข้าไป อากาศบริเวณรอบๆ ก็สั่นสะเทือนขึ้นมา ขณะเดียวกันก็เกิดเสียงดังโครมคราม
หลังจากฟ้าหมุนติ้วๆ แล้ว ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิมอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน นอกวังมายานภาหยก
มีเสียงดังโครมครามบนท้องฟ้า
พอบรรดาผู้ฝึกฝนที่ยังไม่จากไปได้ยินเสียงที่ดังเข้ามา ต่างก็แหงนหน้ามองพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย และจ้องมองไปยังวังนภาหยกสีเขียวกลางอากาศด้วยสีหน้าตกใจ
จะเห็นว่าเงาร่างวังมายานภาหยกกำลังปรากฏขาดๆ หายๆ เหมือนกับวันแรกที่มันปรากฏตัว ทันใดนั้นแสงสีเขียวเจิดจ้าก็แผ่ออกมารอบด้าน จากนั้นมันก็กระพริบหายไปราวกับไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
ฝูงชนบังเกิดความฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง มีเสียงอุทานออกมาอย่างไม่ขาดสาย
และบริเวณที่วังมายานภาหยกหายไปนั้น ก็มีเงาร่างสามเงาโซซัดโซเซปรากฏออกมา
ซึ่งก็คือหลิ่วหมิง ชายหนุ่มเผ่าปีศาจ กับหญิงสาวชุดม่วงตระกูลโอวหยางนั่นเอง
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว……” หญิงสาวชุดม่วงทรงตัวไว้เล็กน้อย หลังจากมองไปรอบด้านแล้วก็กล่าวด้วยความดีใจ
แม้หลิ่วหมิงกับชายหนุ่มเผ่าปีศาจจะไม่พูดอะไร แต่หลังจากสังเกตดูรอบด้านอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ทอดถอนใจออกมาเช่นกัน
จะว่าไปแล้ว ต่อให้จะเป็นผู้ที่มีจิตใจแข็งแกร่งแค่ไหน แต่หลังจากผ่านการสังหารทุกวันเป็นระยะเวลาติดต่อกันสามเดือน ย่อมไม่กล้าที่จะผ่อนคลาย ซึ่งไม่แตกต่างจากทั้งสามเท่าไหร่
และเมื่อรวมกับข่าวลือในก่อนหน้า ทุกครั้งหลังจากที่วังมายานภาหยกนี้เปิดออกมา ในความเป็นจริงมีไม่กี่คนที่สามารถอยู่ได้นานสามเดือน และเดินออกจากวังอย่างปลอดภัย
และผู้ที่พ่ายแพ้ อย่างเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็เสียชีวิตคาที่ ดูท่ามันคงไม่ค่อยเหมือนสถานที่ทดสอบทั่วไป
แน่นอน! เนื่องจากซากวัตถุนี้ไม่มีคนดูแล ภายใต้การน้าวนำของชั้นจำกัดพิเศษ ทำให้มียอดฝีมือจากภายนอกบุกเข้ามาอยู่ตลอด ทำให้ระดับความยากเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ดีที่ตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้ว ทั้งสามเองก็แลกสมบัติได้แล้ว นับว่าไม่เสียแรงที่มา
ขณะนั้นเอง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนแขนของทั้งสาม และเกิดเสียงดังก้องฟ้า!
เศษกระจกนภาหยกทั้งสามหลุดลอกลงมา และพุ่งไปคนละทิศทางราวกับฝนดาวตก แต่ว่าพุ่งออกไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ ก็ถูกแสงสีดำ เขียว และขาวม้วนตัวกลับมา
ผู้ที่ลงมือย่อมเป็นเฮ่าเยวี่ย ชายแซ่ไต้ และผู้อาวุธผมขาวที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้
ผู้ฝึกฝนที่ยังอยู่บริเวณนั้นในขณะนี้ ต่างก็อดไม่ได้ที่จะกร่นด่าอยู่ในใจ
ตั้งแต่ทั้งสามมาถึงที่นี่ เศษกระจกนภาหยกเกือบครึ่งหนึ่งที่ออกมาจากวังมายานภาหยก ต่างก็ตกอยู่ในกำมือของผู้แข็งแกร่งทั้งสาม
และหลังจากทารกเฮ่าเยวี่ยกับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ทั้งสองเก็บเศษกระจกนภาหยกไปแล้ว แสงหลบหลีกก็เปล่งประกายในทันที จากนั้นก็ร่อนลงตรงหน้าหลิ่วหมิงทั้งสามที่อยู่ไม่ไกล แต่สายตาของพวกเขาต่างก็ตกอยู่บนตัวของชายหนุ่มเผ่าปีศาจผู้นั้น
“เผ่าปีศาจ!”
ทารกเฮ่าเยวี่ยขมวดคิ้วกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสผมขาวที่อยู่ด้านข้าง ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมาเช่นกัน
ขณะนี้ ชายหนุ่มชุดขาวเผ่าปีศาจได้เก็บร่างปีศาจคืนไปแล้ว และกลับมามีรูปร่างเหมือนคนไม่มีผิด แต่กลิ่นไอปีศาจบนตัวยังเก็บเข้าไปไม่หมด จึงเปิดเผยตัวตนต่อหน้าผู้แข็งแกร่งทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัย
เผ่าปีศาจกับเผ่าค้างคาวแตกต่างจากเผ่าเนตรอินทนิล ซึ่งอย่างหลังถือเป็นกิ่งก้านสาขาของมนุษย์ แต่สองอย่างแรกกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้จะไม่นับว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจของมนุษย์ แต่ในสายตาของผู้ฝึกฝนโดยทั่วไป ย่อมไม่นับว่าเป็นพวกเดียวกัน จะต้องมีความคิดที่ไม่ดี และถูกมองเป็นศัตรูไม่น้อย
แต่ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฮึดฮัดดังมาจากปากชายหน้าเขียว!
สายตาของเขาที่มองชายหนุ่มเผ่าปีศาจเผยแววเยือกเย็นออกมา แต่กลับไม่มีการลงมือใดๆ ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และพุ่งไปยังชายหนุ่มเผ่าปีศาจ
แสงสีเขียวรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ และผสมปนเปไปด้วยเสียงที่ดังโครมคราม ดูเหมือนว่ามันจะมาถึงตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าปีศาจภายในพริบตาเดียว ความเร็วระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิงจะสามารถตอบสนองได้ทัน
ขณะที่ชายหนุ่มเผ่าปีศาจกำลังจะถูกโจมตีนั้น ก็มีเงาร่างสีเขียวเปล่งประกายท่ามกลางฝูงชน และพุ่งมาขวางอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มเผ่าปีศาจอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีมือแห้งเหี่ยวขนาดใหญ่ปรากฏออกมาข้างหนึ่ง และตบแสงสีเขียวจนกระเด็นออกไป
เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ แฝงตัวอยู่บริเวณนี้ด้วย และตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่สามารถรับรู้ได้เลยแม้แต่น้อย
หลังจากคนสวมชุดเขียวใส่หมวกคลุมผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ถึงเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
คนผู้นี้ดูมีอายุไม่มาก เหมือนจะมีอายุราวๆ สามสิบถึงสี่สิบปีเท่านั้น โครงหน้าเป็นสี่เหลี่ยม แม้กระทั่งสามารถพูดได้ว่ามีความสง่างามแฝงอยู่ด้วย เพียงแต่ว่ามีเส้นผมสีเขียวหยิกโผล่ออกจากทั้งสองด้านของหมวกคลุมเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เปล่งแสงสีเขียวจางๆ แลดูแปลกๆ
“ผู้อาวุโสขุยมู่จากหุบเขาปีศาจสวรรค์!” บรรดาผู้ฝึกฝนที่มุงดูอยู่ มีคนจำคนผู้นี้ได้จึงหลุดปากตะโกนออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขาไม่เคยได้ยินชื่อผู้อาวุโสขุยมู่มาก่อน แต่ชื่อของหุบเขาปีศาจสวรรค์นั้นเขาพอรู้จักอยู่บ้าง
นั่นคือมันมีสถานะแตกต่างจากสี่ยอดนิกายใหญ่อย่างนิกายยอดบริสุทธิ์และสำนักเฮ่าหรานไม่มากนัก เป็นกลุ่มอิทธิพลเผ่าปีศาจในแผ่นดินจงเทียนที่มีจำนวนน้อยจนงอนิ้วนับได้
แต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมา หุบเขาปีศาจสวรรค์มีศิษย์ออกไปข้างนอกไม่มากนัก ทั้งยังเคลื่อนไหวเร้นลับ น้อยมากที่คนนอกจะรู้ตัว ไม่เหมือนนิกายยอดบริสุทธิ์และนิกายอื่นๆ
“ไต้เทียนอิ้ง เจ้าลงมือกับคนของหุบเขาปีศาจสวรรค์โดยไม่มีเหตุไม่มีผล หมายความว่าอย่างไรกัน? คิดจะรังแกคนของหุบเขาปีศาจสวรรค์หรือ?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเขียวจ้องมองชายหน้าเขียว และกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ข้าก็ว่าใคร? ที่แท้ก็เป็นสหายขุยมู่ หนึ่งในกลุ่มดาวยี่สิบแปดกลุ่มของหุบเขาปีศาจสวรรค์นั่นเอง ต้องเสียมารยาทที่ไม่ได้ต้อนรับแล้ว” ชายหน้าเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่พูดถึงเรื่องที่ตนเองลงมือเลย
ชายชุดเขียวได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าโมโหขึ้นมา ขณะที่กำลังจะลงมือนั้น ชายหนุ่มชุดขาวที่อยู่ด้านหลังก็ยื่นมือมาห้ามปรามไว้ ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ช่างเถอะอาจารย์อาขุยมู่ การเดินทางในครั้งนี้ พวกเราไม่ได้คิดจะต่อสู้กับมนุษย์ผู้ฝึกฝน”
ดวงตาขุยมู่เป็นประกายแวววาว หลังจากหันไปมองชายหนุ่มชุดขาวทีหนึ่งแล้ว ก็ถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ได้ของมาหรือยัง?”
ชายหนุ่มชุดขาวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
พอผู้อาวุโสขุยมู่ได้ยินก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง หลังจากกวาดสายตามองดูทารกเฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ แล้ว ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาพยุงตัวทั้งสองขึ้น
ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มเผ่าปีศาจก็หันไปมองหลิ่วหมิงกับหญิงสาวชุดม่วงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ข้าน้อยเซวียผานจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ สหายทั้งสองมีนามว่าอย่างไร?”
“โอวหยางเชี่ยนจากตระกูลโอวหยาง” หญิงสาวชุดม่วงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มพราย
“หลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์” หลิ่วหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยปากออกมา
“ดี! ดีมาก! หวังว่างานประตูสวรรค์ในอีกหลายสิบปีให้หลัง ข้าจะได้พบกับท่านทั้งสองอีก!” เซวียผานกล่าวอย่างทระนงองอาจ
ชายวัยกลางคนก็มองดูหลิ่วหมิงทั้งสองทีหนึ่ง หลังจากแสงสีเขียวบนตัวเปล่งประกาย เขากับเซวียผานก็กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งจากไป
เฮ่าเยวี่ยและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ กลับไม่มีใครลงมือขัดขวางแต่อย่างใด
“คุณหนู พวกเราไปกันเถอะ!” เฉียวจื้ออีเหาะออกจากฝูงชนมาอยู่ข้างตัวหญิงสาวชุดม่วง และค่อยๆ กล่าวออกมา
หลังผ่านการบำรุงรักษามาสามเดือน สีหน้าซีดขาวของผู้อาวุโสแซ่เฉียว ก็กลับมามีเลือดฝาดอีกครั้ง แต่กลิ่นไอของเขากลับไม่มั่นคงเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าพลังสะท้อนกลับของบันไดห้าสีในวันนั้น ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
หญิงสาวชุดม่วงพยักหน้าแล้วหันไปกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งนี้ข้าติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วแล้ว หากภายหน้ามีโอกาสจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน”
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็อดทำตามองบนไม่ได้ ที่โอวหยางเชี่ยนพูดถึงก็คือ เรื่องที่นางตั้งใจล่อเงาร่างของจินเลี่ยหยางให้มาพัวพันกับเขา
สำหรับเรื่องนี้ หลิ่วหมิงย่อมโมโหมาโดยตลอด แต่หากเขาเป็นนางก็คงทำเช่นนี้เหมือนกัน
แน่นอน! เขาเองก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า หากเขาเหมือนกับผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่พอเจอหน้าก็ถูกเงาร่างจินเลี่ยหยางเตะออกจากวังมายาล่ะก็ ตอนนี้นางคงไม่พูดกับเขาเช่นนี้
พอเห็นสีหน้าของหลิ่วหมิง หญิงสาวชุดม่วงก็หัวเราะเบาๆ และจากไปพร้อมกับผู้อาวุโสแซ่เฉียวอย่างรวดเร็ว
“จุ๊ๆ! สหายเฮ่าเยวี่ย เจ้าเด็กนี่ไม่เลว คิดไม่ถึงว่าจะยืนหยัดได้จนถึงตอนท้าย หากไม่มีเหตุที่คาดไม่ถึงล่ะก็ คงมีโอกาสกลายเป็นศิษย์สายในของนิกายท่านไม่น้อย” ผู้อาวุโสผมขาวจากหอการค้าเชียนเหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่กลับเอามือลูบหนวดแล้วกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“สหายหร่วนชมเกินไปแล้ว ศิษย์หลานหลิ่วยังต้องฝึกฝนอีกเล็กน้อย” แม้ว่าทารกเฮ่าเยวี่ยจะรู้สึกประหลาดใจที่เห็นหลิ่วหมิงอีกครั้ง แต่กลับกล่าวอย่างนอบน้อมด้วยสีหน้าสงบ
หลังจากทั้งสองทักทายปราศรัยไปสองประโยค ผู้อาวุโสผมขาวก็กลายเป็นแสงหลบหลีกแล้วพุ่งไปทางตลาดฉางหยาง แต่ว่าก่อนไป ก็หันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่งด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
ชายหน้าเขียวแห่งสำนักเฮ่าหรานก็ไม่อยากจะอยู่ที่นี่นานมากนัก ทันใดนั้น เขาก็พาศิษย์แซ่ซังที่มีสีหน้าเศร้าหมองกับบัณฑิตวัยกลางคนและคนอื่นๆ จากไปโดยไม่ร่ำลา
ซาทงเทียนที่อยู่ด้านข้างเฮ่าเยวี่ย ก็มองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าอึมครึม ประจักษ์ชัดว่ายังจดจำเรื่องที่หลิ่วหมิงกับปีศาจเลี้ยงสองตัวโจมตีเขาจนต้องออกจากวังมายาอย่างลึกซึ้ง
จั้งเสวียนกลับยิ้มให้หลิ่วหมิงอย่างเป็นมิตร
หลังจากผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่มุงดูอยู่ เห็นว่าวังมายานภาหยกหายไปแล้ว ก็พากันแยกย้ายจากไปเป็นกลุ่มๆ บ้างก็จากไปเพียงคนเดียว
พริบตาเดียวก็เหลือแค่เฮ่าเยวี่ยกับศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ไม่กี่คนที่ยังอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“ครั้งนี้ทำได้ไม่เลว หวังว่างานประลองใหญ่ในอีกไม่นาน จะมีการแสดงออกที่ดีมากขึ้นกว่าเดิม” เฮ่าเยวี่ยจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าแปลกๆ สองสามที หลังจากพยักหน้าและทิ้งคำพูดไว้หนึ่งประโยคแล้ว ก็หมุนตัวเหาะจากไป
“ครั้งหน้าต่อให้จะมีอสูรจิตวิญญาณคอยช่วย ข้าก็จะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้” ซาทงเทียนจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น จากนั้นแสงกระบี่สีเขียวก็เปล่งประกายตรงใต้เท้า และเขาก็พุ่งตามเฮ่าเยวี่ยไป
หลิ่วหมิงได้ยินกลับยิ้มบางๆ อย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น
“พี่หลิ่ว คิดไม่ถึงว่าตั้งแต่จากกันในแดนอบอ้าว จะได้มาพบเจอกันในสถานที่แห่งนี้ ที่แท้พี่หลิ่วก็มีเศษกระจกนภาหยกชิ้นหนึ่งเช่นกัน” เมื่อเฮ่าเยวี่ยกับซาทงเทียนจากไปไกลแล้ว จั้งเสวียนก็เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“พี่จั้งไม่รู้อะไร ข้ากำลังทำภารกิจนิกายอยู่ในตลาดฉางหยาง และบังเอิญโชคดีถึงได้เศษกระจกนภาหยกมา ถึงเข้าวังมายานี้ได้” หลิ่วหมิงก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
………………………………