ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 578 ประลองใหญ่แปดสาขา (1)
หลังจากเสี่ยงทายเสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็บอกลาเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋น เมื่อมาถึงบริเวณแท่นประลองที่เก้า เขาก็หาสถานที่ที่มีคนน้อยแล้วนั่งขัดสมาธิพักผ่อน
ไม่นาน ชายอ้วนเตี้ยที่อยู่บนแท่นหยกก็หยุดการสนทนากับคนรอบข้าง และเดินมาข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็เริ่มประกาศด้วยเสียงอันดัง
“ได้เวลาแล้ว การประลองใหญ่ในรอบแรกเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ณ บัดนี้ ขอให้ศิษย์ทุกคนไปประจำที่แท่นประลองที่เสี่ยงทายมา และเริ่มประลองตามดำลับหมายเลขที่ได้รับ”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ศิษย์หลายพันคนที่อยู่ด้านล่างก็แยกย้ายกันไปล้อมแท่นประลองของตนเอง
และบนแท่นประลองของแต่ละเขต ต่างก็มีผู้ดำเนินการระดับผลึกอยู่หนึ่งคน เขากำลังประกาศการจับคู่ต่อสู้ และเรื่องราวบางอย่างที่ต้องระวัง
ตอนนี้หลิ่วหมิงก็ยืนอยู่ในกลุ่มคนที่ล้อมรอบแท่นประลองที่เก้าแล้ว ขณะที่รับฟังการบรรยายของผู้ดำเนินการ เขาก็กวาดสายตามองดูรอบด้านไปด้วย และก้มมองหมายเลขบนป้ายของนิกาย
เขตที่เก้ามีศิษย์ทั้งหมดสี่ร้อยกว่าคน เขาอยู่ลำดับที่สามร้อยหกสิบสอง ก่อนหน้านั้นจะมีการต่อสู้กันหนึ่งร้อยกว่าครั้ง และตอนนี้ก็เหลือเวลาแค่ครึ่งวัน คิดว่าตนเองคงยังไม่ได้ขึ้นไปประลองในวันนี้
……
“รอบต่อไป หมายเลขยี่สิบห้าต่อสู้กับหมายเลขยี่สิบหก!”
ที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือ เวลาแค่หนึ่งถ้วยชา ก็ตัดสินแพ้ชนะไปได้สิบกว่ารอบแล้ว นี่ห่างจากที่เขาคาดคิดไว้มาก
และคู่ต่อสู้บนแท่นประลองแต่ละคู่ ต่างก็มีระดับการฝึกฝนห่างกันไม่มาก ในนั้นย่อมมีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นมากที่สุด ศิษย์จำนวนหนึ่งที่มีพลังอ่อนแอ ยังไม่ทันจะนำอาวุธจิตวิญญาณออกมา ก็ถูกเคล็ดวิชาของฝ่ายตรงข้ามควบคุมไว้จนพ่ายแพ้ไปในพริบตา
พอศิษย์ระดับของเหลวขั้นต้นจำนวนหนึ่งพบเจอกับขั้นปลาย พวกเขาก็ยอมแพ้โดยไม่ต้องทำการต่อสู้เลย
พอมองออกไป แท่นประลองอื่นๆ ก็แตกต่างกันไม่มากนัก
แน่นอนว่าย่อมมีศิษย์ที่มีการฝึกฝนระดับเดียวกัน พลังใกล้เคียงกันที่ต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดสักระยะเวลาหนึ่งถึงจะตัดสินแพ้ชนะได้
แต่เนื่องจากไม่ใช่การต่อสู้ความเป็นความตาย พอมีคนตกเป็นเบี้ยล่าง หรือรู้ตัวว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม ก็จะยอมแพ้แล้วกระโดดออกมาจากม่านแสง
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันรู้สึกถึงสายตาที่มองมาทางด้านหลัง เขาจึงหันกลับไปดูในทันที แต่กลับพบว่าเป็นจั้งเสวียน ชายฉกรรจ์ดวงตาสีม่วงผู้นั้น ซึ่งกำลังเดินออกจากแท่นประลองที่แปด และก้าวมาทางหลิ่วหมิง
“หลังจากกันที่วังมายานภาหยก ดูเหมือนว่าพลังเวทของพี่หลิ่วจะบริสุทธิ์ขึ้นมาไม่น้อย” หลังจากจั้งเสวียนยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว ก็กุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
“พี่จั้งเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ บรรลุระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว คิดว่าคงมีพลังเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ข้าน้อยจะกล้าเทียบกับพี่หลิ่วได้อย่างไร วันนั้นพี่หลิ่วสังหารปีศาจหยินหยางด้วยตนเอง ทั้งยังผ่านการทดสอบของวังมายานภาหยก พลังของท่านแข็งแกร่งเป็นที่ประจักษ์ของผู้คนจำนวนมาก” พอนึกถึงเรื่องการทดสอบในวังมายานภาหยก จั้งเสวียนก็ถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
“ที่แท้คนผู้นี้ก็คือหลิ่วหมิงที่สังหารปีศาจหยินหยางผู้นั้น?” หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ทันใดนั้น ผู้คนที่อยู่รอบด้านก็มองมาทางหลิ่วหมิง และกระซิบกระซาบกันเบาๆ
ในขณะเดียวกัน สีหน้าหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไปทันที พอหันหน้าไปบริเวณแท่นประลองที่เก้า ก็เจอกับชายหนุ่มร่างอ้วนที่จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม ในมือถือขนมอบที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน และกำลังกัดแทะอยู่
สายตาของคนผู้นี้เคร่งขรึมผิดปกติ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกดดันอยู่ลางๆ คิดว่าคงไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาแต่อย่างใด แต่เขาไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน และคนผู้นี้ก็ไม่ได้อยู่ในรายชื่อผู้มากความสามารถตามที่เยี่ยนหมิงพูดถึงด้วย
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงทำการคาดเดาอยู่ในใจชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็เรียกสติกลับมาอย่างรวดเร็ว และหันมาพูดกับจั้งเสวียนต่อ
“พี่จั้งชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น แต่ว่าพรสวรรค์เนตรอินทนิลของพี่จั้งน่าตกใจเป็นอย่างมาก การประลองใหญ่ในครั้งนี้จะต้องได้รับผลประโยชน์อย่างแน่นอน”
จั้งเสวียนหัวเราะอย่างขมขื่น ขณะที่กำลังจะพูดอะไรออกมานั้น การต่อสู้บนแท่นประลองที่เก้าก็ตัดสินผลแพ้ชนะแล้ว และหลังจากทั้งคู่ลงจากแท่นประลองไป น้ำเสียงเยือกเย็นของผู้ดำเนินการระดับผลึกก็ดังขึ้นมา
“รอบต่อไป หมายเลขสามสิบเอ็ดต่อสู้กับหมายเลขสามสิบสอง”
“พี่หลิ่ว ข้าต้องขึ้นแท่นประลองก่อนแล้ว” จั้งเสวียนได้ยินก็กุมมือคารวะ ทันใดนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวสองสามที และกระโดดขึ้นบนแท่นประลองที่เก้า
หมายเลขสามสิบเอ็ดก็คือเขานั่นเอง
คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายหนุ่มเตี้ยเล็ก หน้าตอบปากแหลม มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์ที่ชายหนุ่มเตี้ยเล็กไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ถูกจั้งเสวียนปล่อยกำปั้นผ่านอากาศจนกระเด็นออกไปนอกแท่นประลองภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ
เวลาค่อยๆ ผ่านไป การประลองในแต่ละรอบก็ดำเนินไปตามลำดับขั้นตอน
เขตการประลองแต่ละเขต มีเสียงร้องไชโยและเสียงสะอึกสะอื้นดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะนี้ ผู้ที่มีพลังเหนือผู้คนเหล่านั้น ต่างก็เป็นคนเก่งกาจที่แต่ละฝ่ายให้ความสำคัญ พอเดินขึ้นแท่นประลอง ก็ดึงเสียงเรียกร้องของผู้ชมที่อยู่ด้านล่างได้
โจวเทียนรุ่ยที่เป็นหนึ่งในนั้นอยู่เขตที่สาม ขณะนี้มีเสียงชื่นชมออกมาเป็นระยะๆ ที่แท้ชั่วระยะเวลาเทียบเท่ากับการยกแขนยกขา เขาก็สามารถโจมตีศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายคนหนึ่งจนพ่ายแพ้ไปแล้ว
ไม่นาน ตรงเขตการประลองที่สอง การขึ้นแท่นประลองของหญิงชุดดำที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็ดูเหมือนจะก่อให้เกิดเสียงอุทานดังออกมา ชั่วเวลาเพียงไม่นาน หญิงสาวที่มีแผลเป็นบนใบหน้า ก็โจมตีชายหนุ่มจนสลบไปได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ยังคงสังเกตดูการต่อสู้บนแท่นประลองด้านหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย และรอคอยอย่างเงียบๆ
การประลองใหญ่ในครั้งนี้ เขาได้ตัดสินใจตั้งแต่แรกแล้ว อย่างน้อยจะต้องชิงตำแหน่งสิบอันดับแรกมาให้ได้ แน่นอน! หากเป็นไปได้ล่ะก็ การชิงที่หนึ่งมาได้ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง
เช่นนี้แล้ว เขาไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรจำนวนมาก แต่หากถูกผู้อาวุโสยอดเขาลูกไหนถูกใจเข้า ก็สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้โดยตรง จะได้ไม่ต้องไปเดินเส้นทางอื่นให้ยุ่งยาก
เมื่อยามตะวันรอน ในที่สุดก็ถึงตาหลิ่วหมิงแล้ว
“รอบต่อไป หมายเลขสามร้อยหกสิบเอ็ดต่อสู้กับหมายเลขสามร้อยหกสิบสอง”
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็กระโดดขึ้นแท่นประลองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และร่อนลงด้านหนึ่งของแท่นประลอง
ม่านแสงรอบด้านปรากฏออกมาปกคลุมแท่นประลองไว้ทั้งหมด
ฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบกว่าปี เป็นชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาที่มีใบหน้าหล่อเหลา พอเขาเห็นหลิ่วหมิงขึ้นเวที ก็ประสานมือคารวะแล้วกล่าวออกมา
“ข้าน้อยจูอู้เทียนจากสาขาเซียวเซียง ขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่ด้วย”
“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ พอใช้จิตกวาดดูก็พบว่าฝ่ายตรงข้ามมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น
“อะไรนะ! ท่านคือหลิ่วหมิง!” จูอู้เทียนได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นสะท้าน แต่ก็เผยสีหน้าระแวดระวังออกมาในทันที
หลิ่วหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ ผู้ดำเนินการระดับผลึกที่อยู่บนอากาศก็กล่าวออกมา “เริ่มได้” จากนั้นก็เหาะออกจากม่านแสง
ชายหนุ่มชุดเทาสะบัดแขนเสื้อในทันที ง่ามสั้นสีเหลืองอันหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากหมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ
หลิ่วหมิงจ้องมองง่ามสั้นในมือชายหนุ่มด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนว่าจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงที่มียี่สิบห้าชั้นจำกัด แต่เขายังคงยืนเอามือไขว้หลัง โดยไม่คิดจะลงมือเลยแม้แต่น้อย
“แม้พี่หลิ่วจะมีชื่อเสียงมาก แต่การกระทำเช่นนี้จะดูถูกกันไปหน่อยแล้ว” ท่าทีเมินเฉยของหลิ่วหมิง ดูเหมือนจะทำให้ชายหนุ่มชุดเทารู้สึกโมโหเล็กน้อย และขมวดคิ้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึม
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง มือทั้งสองก็ปล่อยพลังเวทใส่ง่ามที่อยู่กลางอากาศ และชี้ออกไป
มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นมา ง่ามบินกลายเป็นสายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
ดวงตาหลิ่วหมิงเปล่งประกายเยือกเย็น เขากระตุ้นเคล็ดวิชาจนหมอกดำพวยพุ่งบนตัว พอยกมือขึ้นมา หมอกดำก็รวมตัวเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำ และพุ่งเข้าหาสายฟ้าสีทอง
เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” กลางอากาศ มือยักษ์สีดำกับสายฟ้าต่างก็ไม่มีใครตกเป็นเบี้ยล่าง
พอเห็นฉากเช่นนี้ดูเหมือนจะเหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเผยแววเฉียบขาดออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเงาหายไปจากที่เดิม
ขณะเดียวกัน บังเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” สายฟ้ากับฝ่ามือยักษ์สีดำระเบิดตัวกลางอากาศ และมีสายฟ้าพุ่งออกจากหมอกควันที่พวยพุ่ง
ขณะนั้นเอง เงาร่างราวกับปีศาจก็มาปรากฏตัวด้านหลังชายหนุ่มชุดเทา และตบฝ่ามือยักษ์สีดำใส่หลังของเขาเบาๆ โดยไร้สุ้มเสียง
ชายหนุ่มชุดเทาไม่ทันได้ตอบสนองแต่อย่างใด ปราณแกร่งคุ้มร่างจึงถูกฝ่ามือยักษ์สีดำตบใส่จนแตกกระจายภายในพริบตา และกระเด็นออกไปสิบกว่าจั้งพร้อมกับส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนาก่อนหล่นลงด้านนอกแท่นประลอง
เนื่องจากง่ามสั้นกลางอากาศขาดการติดต่อกับเจ้าของ มันจึงร่วงหล่นลงพื้นเสียงดัง “เพล้ง!”
ตั้งแต่ชายหนุ่มชุดเทาปล่อยง่ามสั้นออกมา จนถึงตอนที่ถูกหลิ่วหมิงโจมตีจนกระเด็นออกไป เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น
“หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ” ผู้ดำเนินการระดับผลึกกลางอากาศเห็นเช่นนี้ก็ประกาศออกมาทันที แต่ดวงตากลับเผยแววประหลาดใจออกมาอย่างอดไม่ได้
“ออมมือแล้ว!”
หลิ่วหมิงพูดเบาๆ ไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็กระโดดลงจากแท่นประลองไป
ด้านล่างแท่นประลอง ชายผอมสูงที่ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ร่วมสาขากับชายหนุ่มชุดเทาได้ก้าวเข้ามาประคองตัวเขา
ไม่นานชายผอมสูงก็ประคองชายหนุ่มชุดเทาหายไปจากฝูงชนโดยไม่ปริปากออกมา
หลังผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม การประลองในวันแรกก็ปิดฉากลง
หลิ่วหมิงไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง เขาก็ขี่เมฆดำเหาะกลับไปยังถ้ำที่พัก
……
เช้าตรู่วันที่สอง มีผู้คนมารวมตัวกันอย่างหนาแน่นบนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำอีกครั้ง
แต่เทียบกับวันแรกแล้ว ดูเหมือนจะลดลงไปหนึ่งในสามส่วน
หลังจากผ่านการต่อสู้วันแรกไปแล้ว มีคนถูกคัดออกครึ่งหนึ่ง ผู้คนที่มาในวันนี้มีจำนวนหนึ่งที่ถูกคัดออกไปแล้ว เพียงแค่มาชมการต่อสู้เท่านั้น
เพราะหากได้เห็นคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือระดับสูง ก็จะมีประโยชน์ต่อการฝึกฝนและยกระดับประสบการณ์ต่อสู้จริงในภายหน้าได้
บนแท่นหยก เมื่อนับรวมหัวหน้าสาขาทั้งแปดกับรองหัวหน้าสาขาแล้ว กลับมีแค่ราวๆ สิบคน ซึ่งน้อยกว่าวันแรกเล็กน้อย
และผู้อาวุโสยอดเขากลับมีมากกว่าวันแรกหลายคน
หลิ่วหมิงมาถึงบริเวณแท่นประลองที่เก้าตั้งแต่เช้า หลังจากหาพื้นที่สงบได้แล้วก็สังเกตดูอย่างเงียบๆ
พอเขากวาดจิตออกไป ก็ค้นพบว่าหลังผ่านการต่อสู้ในวันแรก ศิษย์ที่เหลืออยู่ส่วนมากก็มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง มีส่วนน้อยที่เป็นระดับของเหลวขั้นต้น
และหลังจากเริ่มประลองได้ไม่นาน การต่อสู้ระหว่างศิษย์ระดับของเหลวขั้นกลางกับขั้นปลายก็ดุเดือดกว่าวันแรกมาก เวลาในการต่อสู้ก็ยาวนานกว่าวันแรกด้วย
ครึ่งวันต่อมา ในที่สุดก็ถึงตาหลิ่วหมิงขึ้นไปต่อสู้อีกครั้ง
“รอบต่อไป หมายเลขสามร้อยหกสิบสองต่อสู้กับหมายเลขสามร้อยหกสิบสี่” ผู้ดำเนินการระดับผลึกประกาศด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เดินออกจากฝูงชนด้วยรอยยิ้มจางๆ และกระโดดขึ้นบนแท่นประลอง
………………………………