ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 585 การประลองของสิบอันดับแรก (1)
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป บนแท่นประลองที่หนึ่ง
ผู้ดำเนินการระดับผลึกผู้นี้ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่แสดงท่าทีให้จินเทียนชื่อกับชายหนุ่มรูปร่างกำยำแยกกันยืนคนละฝั่ง หลังจากพูดกำชับไปสองประโยคแล้ว ก็หายวับออกไปอยู่นอกชั้นจำกัด
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำจ้องมองชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้าตาไม่กระพริบ พอนึกถึงฉากที่ฝ่ายตรงข้ามชี้มาที่ตนเองอย่างไม่สนใจในตอนแรกแล้ว ก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากกว่าเดิม
นิ้วมือทั้งสิบของเขาเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง และพ่นแสงสีเงินออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้วก็ลอยอยู่ตรงหน้าเขา มันคือตะปูกระดูกโปร่งใสสามสิบตัวที่มีรูปร่างเหมือนกันไม่มีผิด ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงอาทิตย์ แสงสีเงินดูแสบตายิ่งนัก
“ฮึ! ข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มรสความร้ายกาจของตะปูไล่ชิงวิญญาณของข้า!”
ประจักษ์ชัดว่าเขาคิดที่จะใช้วิธีการทรงอานุภาพโจมตีชายหนุ่มผู้นี้ให้ล่าถอยไป เพื่อเชิดหน้าชูตาต่อหน้าผู้คนนับพัน และลบคำสบประมาทในก่อนหน้า
หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ กลับหรี่ตาสังเกตอาวุธจิตวิญญาณอย่างตะปูกระดูกใสนี้อย่างละเอียด
ดูจากกลิ่นไอน่าตกใจที่พวกมันแผ่ออกมา แม้ว่าจะยังไม่เข้าสู่ระดับต้นแบบอาวุธเวท แต่ชั้นจำกัดของมันจะต้องไม่ต่ำกว่าสามสิบชั้นอย่างแน่นอน
ตะปูสีเงินเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นชุดอาวุธจิตวิญญาณเท่านั้น ทั้งยังมีชุดละสามสิบตัว ประจักษ์ชัดว่าไม่สามารถสร้างโดยตามใจได้ น่าจะใส่ชั้นจำกัดพิเศษบางอย่างไว้
ภายใต้การเบี่ยงสายตาของหลิ่วหมิง กลับค้นพบว่าชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้ามีท่าทีสบายๆ ราวกับทุกสิ่งตรงหน้าไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็ค้นพบสายตาเหยียดหยามของชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้า ภายใต้ความโมโห พอเขาเปลี่ยนท่ามือ ตะปูสีเงินสามสิบตัวก็หมุนติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นแสงตะปูสีเงินแวววาวสามสิบลำ และพุ่งเข้าหาชายหนุ่มชุดคลุมสีทองด้วยเสียงดัง “ฟิ้วๆ!”
“หากเจ้าสามารถกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดได้จริงๆ ก็ยังพอจะชื่นชมได้บ้าง ตอนนี้น่ะหรือ จุ๊ๆ……” จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะออกมา
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ภายใต้การพองของแขนเสื้อ พลันมีคลื่นพลังไร้รูปม้วนตัวออกมา และม้วนเอาแสงสีเงินที่โจมตีเข้ามาไว้ในนั้น
ตะปูสามตัวเปลี่ยนทิศทางกลางอากาศ และจมหายไปในแขนเสื้อของเขา “ฟู่ๆ!”
ตอนแรกชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่ต่อมากลับค้นพบว่าตนเองสูญเสียการติดต่อกับตะปูสีเงินทั้งสามสิบตัว สีหน้าเขาจึงดูซีดขาวราวกระดาษ
สุดท้าย จินเทียนชื่อยกมือขึ้นโดยไม่รอให้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำทำการตอบสนองใดๆ เงามือยักษ์สีทองสลัวๆ ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ และแผดเสียงพุ่งเข้าหาชายหนุ่มรูปร่างกำยำ
ตอนนี้ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเพิ่งได้สติกลับมา เขารีบส่งเสียงคำรามและพลิกฝ่ามือทันที แสงสีเขียวเปล่งประกายระหว่างนิ้ว กระดิ่งสีเขียวปรากฏออกมา พอสะบัดข้อมือมันก็กลายเป็นม่านแสงสีเขียวปกป้องเขาไว้ ขณะเดียวกันปราณแกร่งคุ้มร่างก็เปล่งประกาย ประจักษ์ว่าเขาคิดจะต้านทานการโจมตีนี้โดยตรง
แต่ครู่ต่อมา มือยักษ์กลับตบเพียงเบาๆ
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำรู้สึกตัวสั่นสะท้าน พลังมหาศาลประชิดเข้าตัวจนกระเด็นออกไปจากชั้นจำกัด ราวกับว่าไม่มีม่านแสงกับปราณแกร่งคุ้มร่างอยู่ แต่ก็ค่อยๆ ร่วงลงด้านล่างแท่นประลองอย่างมั่นคง บนตัวไม่มีร่องรอยบาดเจ็บใดๆ เลยแม้แต่น้อย
ฉากนี้ย่อมทำให้บรรดาศิษย์ที่รอคอยดูการช่วงชิงระหว่างพยัคฆ์กับมังกรอยู่ รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
“จินเทียนชื่อชนะ!” ไม่รู้ว่าผู้ดำเนินการระดับผลึกมาปรากฏตัวบนแท่นประลองตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาประกาศออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์เช่นกัน
บนแท่นหยก ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ต่างก็มองจินเทียนชื่อที่อยู่บนแท่นประลองด้วยสีหน้าตกใจ
แม้จะบอกว่าชายหนุ่มรูปร่างกำยำไม่ใช่คนที่พวกเขาถูกใจที่สุด แต่การที่เข้ามาอยู่ในสิบอันดับแรกได้นั้น ไม่ใช่เรื่องลวงแต่อย่างใด พลังที่แท้จริงจะต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน แต่กลับถูกจินเทียนชื่อจัดการอย่างง่ายดายเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ
หลิ่วหมิงเองก็แอบตกใจด้วยเช่นกัน!
แม้เขาคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าจินเทียนชื่อผู้นี้จะต้องไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจถึงระดับนี้
สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งกว่าก็คือ เขามองไม่ออกว่าเมื่อครู่จินเทียนชื่อใช้เคล็ดวิชาอันใดในการเก็บอาวุธจิตวิญญาณเหล่านั้น หากวิธีการนี้ใช้ได้ผลกับอาวุธจิตวิญญาณทุกชนิดล่ะก็ เขาจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับคนผู้นี้ในภายหลัง
ขณะนี้ ชายหนุ่มรูปร่างกำยำก็ออกจากอาการสะดุ้งตกใจได้ในที่สุด หลังจากเก็บกระดิ่งเขียวเข้าไปแล้ว ก็หันไปยิ้มให้จินเทียนชื่ออย่างขมขื่น
“พี่จินฝีมือยอดเยี่ยมมาก ฝีมือข้าไม่อาจเทียบได้ นับถือยิ่งนัก”
“ออมมือแล้ว”
จินเทียนชื่อหัวเราะเฮ่อๆ! พอโบกมือข้างหนึ่ง ตะปูสีเงินสามสิบตัวก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ และพุ่งกลับไปในมือของชายหนุ่มรูปร่างกำยำ
ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเก็บตะปูเข้าไป และประสานมือคารวะ จากนั้นก็ขี่เมฆหน้าม่อยคอตกออกไปจากยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ
เช่นนี้แล้ว ผลผู้ชนะสิบอันดับแรกก็ปรากฏออกมาในที่สุด แน่นอนว่าจินเทียนชื่อได้แทนที่ชายหนุ่มรูปร่างกำยำผู้นั้น และยืนเรียงอยู่ตรงหน้าแท่นหยกขาวพร้อมกับหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ
“ดีมาก ต่อไปข้าจะประกาศกฎการประลองของสิบอันดับแรก การประลองของสิบอันดับแรกจะใช้ระบบหมุนเวียนกันต่อสู้ ทุกคนจะต้องได้ต่อสู้กับอีกเก้าคนที่เหลือ สุดท้ายจะเอาจำนวนครั้งในการชนะมาจัดอันดับ หากมีคนได้รับชัยชนะเท่ากัน ก็จะให้ทั้งสองต่อสู้กัน ใครชนะจะได้อยู่อันดับที่สูงกว่า วันนี้จะทำการเสี่ยงทายก่อน เช้าพรุ่งนี้ค่อยเริ่มงานประลองอย่างเป็นทางการ” แม้ว่าในใจของชายอ้วนเตี้ยจะคิดเรื่องของจินเทียนชื่ออยู่ แต่ก็ยังก้าวออกมาประกาศ
เนื่องจากใช้ระบบการต่อสู้แบบหมุนเวียน ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ก็จะมีโอกาสแลกมือกับฝ่ายตรงข้ามหนึ่งครั้ง มันขึ้นอยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่สำคัญว่าใครจะมาก่อนมาหลัง คนทั้งสิบเพียงแค่ไปโบกป้ายนิกายตรงหน้าแผ่นศิลายักษ์ ลำดับการต่อสู้ก็ปรากฏออกมาแล้ว
หลังจากทำการเสี่ยงทายเสร็จ หลิ่วหมิงก็กล่าวลาเยี่ยนหมิงกับเสวี่ยอวิ๋น จากนั้นก็กลับไปพักผ่อนยังถ้ำที่พักของตนเอง
เช้าวันที่สอง การประลองใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน ก็เริ่มเปิดฉากขึ้น
บนยอดเขาเมฆาเลิศล้ำ แท่นประลองที่เดิมทีมีทั้งหมดสิบแห่ง ขณะนี้ได้เปลี่ยนเป็นห้าแห่งเท่านั้น และจัดเรียงอยู่ตรงหน้าแท่นหยกขาว ทำให้พื้นที่คับแคบดูกว้างโล่งขึ้นมาไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่มาชมการต่อสู้จะมีมากกว่าสองรอบในก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่า ไม่เพียงแต่มีศิษย์สายนอกเท่านั้น ยังมีศิษย์ธรรมดามาดูด้วยเป็นจำนวนมาก
หลังจากชายอ้วนเตี้ยได้ป่าวประกาศออกไปอีกครั้ง การต่อสู้รอบแรกของสิบอันดับแรกก็เริ่มขึ้นพร้อมกัน
บนแท่นประลองทางด้านตะวันออกในขณะนี้ หลิ่วหมิงกำลังหยุดชะงักอยู่มุมหนึ่ง
ตรงหน้าเขาเป็นชายหนุ่มคิ้วรูปดาบจากสาขาอวี้เหิงที่ควบคุมตั๊กแตนสองตัว ก่อนหน้านั้นเยี่ยนหมิงก็เคยพูดถึงคนผู้นี้
แม้ว่าอสูรตั๊กแตนสองตัวนี้จะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่กลับไม่ง่ายเหมือนอสูรจิตวิญญาณทั่วไป นับว่าเป็นแมลงจิตวิญญาณกลายพันธุ์คู่หนึ่ง ไม่เพียงแต่มีความเร็วอย่างน่าตกใจ ขาหน้าทั้งคู่ที่ดูราวกับคมดาบก็ดูแหลมคมยิ่งนัก เมื่อเทียบกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงทั่วไป มันดูเหนือกว่ามาก
ภายใต้การร่วมมือของแมลงจิตวิญญาณทั้งสอง พลังของมันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายทั่วไปจะสามารถเทียบได้ ทั้งยังตามติดคนผู้นี้มานาน จึงรู้ใจกันเป็นอย่างดี ทำให้รับมือยากขึ้นกว่าเดิมอีก
เป็นดังที่คาดหมายเอาไว้ พอการต่อสู้เริ่มขึ้น คนผู้นี้ก็ตบไปที่เอวทันที ควันสีเขียวสองสายม้วนตัวออกมา และกลายเป็นตั๊กแตนสองตัวที่สูงหลายฉื่อ บนพื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวแปลกประหลาด
พอแมลงจิตวิญญาณสองตัวนี้ปรากฏออกมา ก็กลายเป็นเงาสีเขียวจางๆ พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หมอกดำพวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวออกไปรับมืออย่างรวดเร็ว
ตั๊กแตนยักษ์ทั้งสองส่งเสียงร้อง “จี๊ดๆ!” พอขยับขาหน้า แสงเย็นสะท้านก็เปล่งประกาย และกลายเป็นเงาดาบทอประสานกัน จากนั้นก็ปกคลุมไปหาหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงบิดเอว ร่างของเขาก็ยืดยาวขึ้นมาทันที เขาหลบตาข่ายดาบไปได้ราวกับแผ่นกระดาษ หลังจากมีเสียงดัง “ฟู่!” ร่างของเขาก็ปรากฏตัวบนอากาศเหนือร่างของชายหนุ่มคิ้วรูปดาบอย่างน่าประหลาดใจ พอยกมือข้างหนึ่ง มุกพลังวารีสองเม็ดก็พุ่งออกไป พริบตาเดียวก็รวมกันเป็นหนึ่ง และกลายเป็นเงาภูเขาลูกเล็กๆ กดทับลงมา
แม้จะนับว่าชายหนุ่มคิ้วรูปดาบมีประสบการณ์แลกมือมามากมาย แต่ก็คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่ภายใต้การปิดล้อมของอสูรเลี้ยงทั้งสอง จะสามารถมาปรากฏตัวตรงหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้กระทั่งยังทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และกระตุ้นเคล็ดวิชาร้ายกาจบางอย่างอยู่ ทำให้เขาเปลี่ยนวิชาทำการหลบหลีกไม่ทัน ทำได้แต่แหงนหน้าพ่นโล่เล็กสีเขียวออกมา และกัดลิ้นพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่เข้าไปในโล่
โล่เล็กขยายใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ภายในพริบตา ลวดลายสีเขียวบนพื้นผิวเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และปิดกั้นอากาศด้านบนไว้อย่างแน่นหนา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับดวงตาเป็นประกาย พอขยับแขน ฝ่ามือข้างหนึ่งที่มีไอดำลอยวนก็กางนิ้วทั้งห้าออก และกดไปยังเงาภูเขาลูกเล็กๆ ตรงหน้า
“ตูม!” เงาภูเขาลูกเล็กๆ กดทับลงมา โล่สีเขียวสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที รอยร้าวปรากฏบนพื้นผิวเป็นจำนวนมาก
ชายหนุ่มคิ้วรูปดาบส่งเสียงคำรามออกมา พอปราณแกร่งคุ้มร่างม้วนตัวขึ้นด้านบน โล่สีเขียวก็เกิดความมั่นคงขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังเข้ามา!
พลังมหาศาลอีกสายพุ่งออกจากเงาภูเขาลูกเล็กๆ มันไม่เพียงแต่จะอัดโล่สีเขียวจนแตกกระจาย แม้แต่ปราณแกร่งคุ้มร่างของชายหนุ่มก็ถูกกดทับจนสลายไป เขากระอักเลือดออกมาจนสีหน้าซีดขาว จากนั้นก็อ่อนยวบยาบลงพื้นและสลบไป
ครั้งนี้ต้องชมวิชาเปลี่ยนร่างแปลกประหลาดที่หลิ่วหมิงฝึกฝนมาจากแดนมายา บวกกับการที่ฝ่ายตรงข้ามมัวแต่สั่งให้ตั๊กแตนทำการโจมตี เพื่อคิดยืดเยื้อเวลาไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะมีการเคลื่อนไหวรวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ตนเองเปิดเผยช่องโหว่ขนาดใหญ่ จึงถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างง่ายดาย
ขณะที่แท่นประลองอีกสี่แห่งเพิ่งจะเริ่มต่อสู้ได้ไม่นานนั้น ทางด้านหลิ่วหมิงก็ได้สิ้นสุดลงก่อนแล้ว สิ่งนี้กระตุ้นให้เกิดความประหลาดใจของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้หลายคนบนแท่นหยกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ……” หญิงชุดแดงถอนหายใจออกมาเบาๆ
ในสายตาของนาง จากการแสดงออกของหลิ่วหมิง คงเข้าสู่สามอันดับแรกในงานประลองใหญ่ได้อย่างไม่มีปัญหา ประสบการณ์การต่อสู้กับพลังที่แท้จริงไม่ได้ด้อยไปกว่าศิษย์สายในเหล่านั้น แต่คุณสมบัติสามชีพจรจิตวิญญาณนี้ คงทำให้เขาหยุดการฝึกฝนอยู่ในระดับปัจจุบันเท่านั้น
พอผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนอื่นๆ เห็นฉากเช่นนี้ ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป แต่ก็ไม่มีใครแสดงท่าทีว่าอยากรับหลิ่วหมิง ประจักษ์ชัดว่าทุกคนต่างก็มีความคิดเช่นเดียวกับหญิงชุดแดง
………………………………