ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 587 การประลองของสิบอันดับแรก (3)
ฉากที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
ตราประทับยักษ์ที่ร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว กลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง
ท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่งตรงด้านล่าง หลิ่วหมิงก็ใช้แขนข้างหนึ่งที่มีไอดำลอยวนค้ำยันตราประทับสีดำผ่านอากาศไว้
อู่หมิงอ้าปากเล็กน้อย ดูเหมือนเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
แม้ตราประทับตาข่ายมืดนี้จะเป็นของที่เลียนแบบมาจากอาวุธเวทบางอย่างในสมัยบรรพกาล แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ชั้นจำกัดทั้งหมดถูกเปิดออกมา แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นต้นก็ไม่อาจรับมือได้
และหลิ่วหมิงตรงหน้ากลับใช้พลังกายเนื้อทำให้มันลอยอยู่กลางอากาศได้!
ขณะนั้นเอง ดวงตาหลิ่วหมิงก็เป็นประกาย พอเขาตะโกนออกมา ก็ดันแขนทั้งสองขึ้นด้านบน ทำให้ตราประทับขยับขึ้นไป จากนั้นร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
อู่หมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีเงาดำกระพริบตรงหน้า หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวที่ด้านหลังของเขาอย่างน่าประหลาดใจ จากนั้นแขนข้างหนึ่งก็พร่ามัวปล่อยกำปั้นออกไป
การโจมตีรวดเร็วราวสายฟ้าแลบเช่นนี้ อู่หมิงไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ หลังจากมีเสียงดังขึ้น ปราณแกร่งคุ้มร่างก็ถูกโจมตีจนระเบิดออกมา ขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็ทะลักเข้ามาในพริบตา
ร่างของชายหนุ่มอวบอ้วนสั่นสะเทือน และถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง สองตาทั้งคู่มืดลงจากนั้นก็สลบไป
“ตู้ม!” ตราประทับสีดำเพิ่งจะหล่นลงในบริเวณที่หลิ่วหมิงเคยยืนอยู่ในก่อนหน้านั้น
กายเนื้อกับพลังมหาศาลอันน่ากลัวของหลิ่วหมิง ย่อมทำให้ศิษย์ที่ชมการประลองอยู่รู้สึกหวาดผวาขึ้นมา
บริเวณมุมบางแห่ง พอชายหนุ่มชุดคลุมสีทองที่หลับตาพักผ่อนอยู่ได้ยินเสียงนี้ ก็ต้องชำเลืองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งอย่างอดไม่ได้
การประลองอีกสองคู่ที่เหลือ ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงยักษ์สามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้อย่างราบรื่น และชายควบคุมตั๊กแตนที่หลิ่วหมิงพบเจอในรอบแรก ก็เอาชนะคู่ต่อสู้สาขาจิตวิญญาณบริสุทธิ์ได้เช่นกัน
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม การประลองรอบที่สามก็เริ่มต้นขึ้น
การประลองรอบนี้ ชายหนุ่มผอมแห้งที่สะพายกระบี่ทองแดงยักษ์กลับได้ต่อสู้กับจินเทียนชื่อ
ครั้งนี้ ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ละสายตามาดูการประลองนี้
หลังจากมีประสบการณ์สองรอบในก่อนหน้านั้น พอชายหนุ่มผอมแห้งที่สะพายกระบี่ทองแดงยักษ์ขึ้นไปบนแท่นประลอง เขาก็รีบทำท่ามืออย่างไม่ลังเล กระบี่ทองแดงยักษ์บนหลังพุ่งขึ้นฟ้า “ฟิ้ว!” พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่สิบกว่าจั้ง ไอกระบี่ทะลักออกจากร่างอย่างมหาศาล ทำให้ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองรู้สึกใจเย็นสะท้าน
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”
ชายหนุ่มตะโกนออกมา ร่างของเขาพร่ามัวรวมเป็นหนึ่งกับกระบี่ทองแดงยักษ์เล่มนั้น และกลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้งก่อนพุ่งเข้าหาจินเทียนชื่อย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
มีแสงสว่างเปล่งประกาย ภายใต้สถานการณ์ที่กระบี่ร่างรวมกันเป็นหนึ่ง คิดว่าคงไม่อาจเก็บอาวุธจิตวิญญาณไปได้ แต่พอจินเทียนชื่อโบกแขนเสื้ออีกครั้ง แสงกระบี่สีเขียวก็กระพริบหายเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
และชายหนุ่มกระบี่ทองแดงก็โซซัดโซเซมาปรากฏตัวกลางอากาศ แต่สีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ บรรดาศิษย์ที่อยู่นอกแท่นประลองต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ บรรดาผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นหยก ก็พากันขมวดคิ้วขึ้นมา
ขณะที่ผู้คนต่างก็คิดว่าการประลองจะสิ้นสุดเพียงเท่านี้นั้น ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตบศีรษะในฉับพลัน แสงสว่างม้วนตัวออกจากศีรษะ และพ่นกระบี่เล็กสีเหลืองที่ยาวสามชุ่นออกมา
พอกระบี่นี้ปรากฏตัว ก็มีเงากระบี่จำนวนมากปรากฏออกมาบนอากาศบริเวณนั้น ขณะเดียวกันไอกระบี่ก็พุ่งขึ้นฟ้า และแผ่แสงเจิดจ้าจนผู้คนไม่กล้ามองมันโดยตรง
สิ่งนี้ทำให้บรรดาศิษย์ที่อยู่บนยอดเขาต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนหลุดปากออกมาว่า “กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ”
ในเมื่อชายหนุ่มกระบี่ทองแดงปล่อยท่าไม้ตายของตนเองออกมาแล้ว ย่อมไม่ลังเลอะไรอีกต่อไป เขาชี้นิ้วไปที่จินเทียนชื่อแล้วตะโกนออกมา
กระบี่เล็กสีเหลืองพุ่งไปหาจินเทียนชื่อทันที อากาศบริเวณที่มันพุ่งผ่านเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา และยังทำให้รู้สึกถึงความร้อนผะผ่าว
ครั้งนี้ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองไม่ได้โบกแขนเสื้ออีก พอร่างของเขาพร่ามัว กระบี่เล็กก็พุ่งผ่านเงาร่างของเขาไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลบการโจมตีของฝ่ายตรงข้าม
ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่ได้จัดการคู่ต่อสู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้จ้องมองการต่อสู้ของแท่นประลองนี้อยู่ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา
ดูท่าเคล็ดวิชาที่จินเทียนชื่อใช้ คงมีผลกับอาวุธจิตวิญญาณที่ต่ำกว่าต้นแบบอาวุธเวทเท่านั้น โล่เก้ากะโหลกในมือตนเองตอนนี้ ก็ได้ปรับแต่งเป็นต้นแบบอาวุธเวทแล้ว คงจะสามารถรับมือกับคนผู้นี้ได้เช่นกัน
พอผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ที่สังเกตดูการต่อสู้นี้อยู่ มองเห็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ชายหนุ่มนำออกมา ก็ต้องมองมาด้วยสายตาประหลาดใจเช่นกัน ชายที่ไว้หนวดจากยอดเขากระบี่สวรรค์ ถึงกับเอ่ยปากรับคนผู้นี้เข้ายอดเขา เพื่อฝึกฝนสายกระบี่ด้วยความดีใจ
ขณะที่ผู้คนต่างก็คิดว่าม้ามืดตัวที่ใหญ่ที่สุดในงานประลองใหญ่ได้ปรากฏออกมาแล้วนั้น จินเทียนชื่อกลับดูเหมือนยังยิ้มกริ่มอยู่เช่นเดิม
ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา กระบี่บินสีเขียวหมุนวนหนึ่งรอบ และพร่ามัวไปตรงหน้าชายหนุ่มชุดคลุมสีทอง
ครั้งนี้จินเทียนชื่อไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด แต่กลับโบกแขนเสื้อทั้งสองในฉับพลัน ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา มีแสงแวววาวสองดวงม้วนตัวออกจากแขนเสื้อ และกระพริบไปห่อหุ้มกระบี่เล็กสีเหลืองไว้
ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด กระบี่บินพลังจิตวิญญาณถูกฝ่ายตรงข้ามทำให้สั่นสะเทือนสองสามที จากนั้นก็ไม่สามารถออกมาได้
จินเทียนชื่อค่อยๆ ยิ้มออกมา พอขยับแขนข้างหนึ่ง มือยักษ์สีทองก็ปรากฏออกมาในพริบตา และคว้าลงไปทันที
ชายหนุ่มกระบี่ทองแดงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาขยับไหล่เพื่อจะหลบหลีก แต่กลับรู้สึกว่ามีเสียงดังหวึ่งๆ อยู่รอบด้าน และอากาศก็ดูแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ทำให้เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้
ในตอนที่เขาได้สติกลับมานั้น ก็ถูกมือยักษ์สีทองคว้าขึ้นมา และสะบัดออกไปนอกแท่นประลองแล้ว
หลังจากชายหนุ่มกระบี่ทองแดงยืนตั้งหลักได้ ก็ได้แต่จำใจยอมแพ้เท่านั้น
จินเทียนชื่อแสดงความสามารถมหัศจรรย์ออกมาติดต่อกันได้ ย่อมทำให้ศิษย์คนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรออกมา
หัวหน้าสาขากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้บนแท่นประลอง ต่างก็แสดงสีหน้าฉงนออกมาอย่างอดไม่ได้ และไม่มีคนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวเกี่ยวกับชายหนุ่มชุดคลุมสีทองไปชั่วขณะหนึ่ง
การประลองรอบที่สามของคู่อื่นๆ ก็สิ้นสุดลงอย่างสงบ
เจ้าอั้นอิน โหวคุนต่างก็ได้รับชัยชนะ และอู่หมิงเองก็ได้รับชนะเป็นครั้งแรก
“เอาล่ะ! การประลองในวันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ พรุ่งค่อยดำเนินการประลองจัดอันดับรอบที่สี่ต่อ!” พอเห็นว่าท้องฟ้ามืดแล้ว ชายอ้วนเตี้ยก็ประกาศออกมาทันที
บรรดาศิษย์ได้ยินเช่นนี้ก็รีบโค้งตัวคารวะแล้วแยกย้ายกันไป และหลิ่วหมิงก็ขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พักอย่างไม่ลังเล
เช้าวันที่สอง การประลองรอบที่สี่ก็เริ่มขึ้นตามเวลาที่กำหนด
ครั้งนี้หลิ่วหมิงเจอกับโหวคุน ชายหนุ่มชุดขาวจากสาขาเสวียนเหมี่ยว
พอหลิ่วหมิงขึ้นไปยืนอยู่บนแท่นประลอง เขาก็สังเกตดูชายหนุ่มชุดขาวตรงหน้าทันที
สำหรับวิชาห้าธาตุกับค่ายกลยันต์ของโหวคุนนั้น เขาย่อมทำความเข้าใจไปแล้วหนึ่งรอบ
โหวคุนยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่กลับมีใบหน้าไร้ความรู้สึก
“เริ่มการประลอง!”
ผู้ตัดสินเป็นผู้อาวุโสผอมแห้งคนหนึ่ง หลังจากกระตุ้นชั้นจำกัดบนแท่นประลองแล้ว ก็พุ่งออกจากแท่นประลองไป
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง แขนทั้งสองของโหวคุนก็พร่ามัวในทันที จากนั้นก็ปล่อยยันต์สิบกว่าผืนไว้รอบตัว
“ขึ้น!”
ชายหนุ่มชุดขาวตะโกนออกมาเบาๆ ยันต์แต่ละผืนเปล่งแสงสีเหลืองออกมา และรวมตัวกันเป็นค่ายกลป้องกันรูปทรงกลมรี
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง เท้าข้างหนึ่งกระทืบพื้นในฉับพลัน ไอดำพวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกันก็มีเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นร่างของเขาก็หายตัวไปท่ามกลางไอดำ
โหวคุนเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ยกมือทั้งสองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คมวายุสีเขียวสิบกว่าสายแฉลบผ่านหน้าไป
“เพล้ง!” “เพล้ง!”
ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัว จากนั้นก็หายวับมาปรากฏตัวตรงหน้าชายหนุ่มชุดขาว ไอดำบนร่างกลายเป็นหนวดสัมผัส และกวาดออกไปรอบด้านทันที หลังจากคมวายุถูกกวาดออกไปทั้งหมด กำปั้นสีดำก็ชกลงบนค่ายกล
ร่างของโหวคุนสั่นสะท้าน ค่ายกลยันต์สีเหลืองเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดคลื่นที่ดูคล้ายระรอกคลื่น แต่กลับไม่แตกกระจายออกมา
เมื่องานประลองใหญ่ดำเนินมาถึงจุดนี้ ศิษย์ที่เข้าสู่สิบอันดับแรกอย่างพวกเขา ต่างก็ทำความเข้าใจวิชา อาวุธจิตวิญญาณ และอื่นๆ ของกันและกันได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว
โหวคุนรู้ดีว่าตนเองเชี่ยวชาญวิชาห้าธาตุกับค่ายกลยันต์ แม้มันจะมีอานุภาพไม่เลว แต่ก็ไม่เพียงพอในการรับมือกับหลิ่วหมิงที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ดังนั้นพอการประลองเริ่มขึ้น เขาก็วางค่ายกลป้องกันไว้ก่อนหนึ่งชั้น
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ ก็ประจักษ์ชัดว่าเขาทำถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นอานุภาพของกำปั้นในเมื่อครู่ ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาพ่ายแพ้ในรอบนี้ได้
ตอนนี้โหวคุนโบกแขนเสื้อทั้งสองใส่หลิ่วหมิงที่ปรากฏขาดๆ หายๆ ตรงหน้า จากนั้นแสงหลากสีสิบกว่าลำก็พุ่งยิงออกไป และร่วงลงรอบตัวหลิ่วหมิงราวกับสายฟ้าแลบ
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทิวทัศน์รอบด้านเปลี่ยนไปทันที ร่างของเขามาอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าสีเทาสลัวๆ แห่งหนึ่ง คิ้วของเขาขมวดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ความสามารถในการใช้งานค่ายกลยันต์ของโหวคุนนั้นไม่ต่ำเลย ลงมือรวดเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก ดูท่าวิธีการทั่วไปคงไม่อาจโจมตีให้คนผู้นี้พ่ายแพ้ได้
พอโหวคุนเห็นว่าสามารถกักขังหลิ่วหมิงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ยันต์แต่ละผืนพุ่งยิงออกไปบริเวณค่ายกลยันต์ที่กักขังหลิ่วหมิงอยู่ และก่อตัวเป็นค่ายกลยันต์อีกสี่หลัง จากนั้นเขาถึงหยุดมือลง
ค่ายกลทั้งห้าหลังนี้เป็นกำแพงกีดขวาง เชื่อว่าต่อให้หลิ่วหมิงอยากจะทำลาย ก็ต้องใช้พลังไม่น้อย
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ โหวคุนก็กลืนโอสถลงไปหนึ่งเม็ดทันที พอโบกมือข้างหนึ่ง แท่นประลองก็ร้อนขึ้นมาผิดปกติ ท่ามกลางแสงสีแดงเพลิง มีอสูรเพลิงบิดตัวไปมาอยู่ข้างตัวเขา
พอศิษย์ที่ชมการต่อสู้มาตั้งแต่รอบแรกเห็นฉากนี้ ก็รู้ว่าโหวคุนคิดจะใช้ลูกไม้เดิมๆ โดยแสดงเคล็ดวิชาอสรพิษเพลิงขั้นสมบูรณ์แบบอีกครั้ง
ขณะที่บรรดาศิษย์ทั้งหลายต่างก็คิดว่าฉากที่ต่อสู้กับโจวเทียนรุ่ยจะเกิดซ้ำอีกครั้งนั้น ค่ายกลยักษ์ที่กักขังหลิ่วหมิงอยู่ก็สั่นสะเทือนจนเกิดเสียงดังโครมคราม ขณะเดียวกัน แสงจิตวิญญาณบนนั้นก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง
ท่ามกลางค่ายกลยันต์ มีไอดำวนเวียนรอบตัวหลิ่วหมิง มันหนาแน่นราวกับของเหลวที่เดือดพล่านอย่างรุนแรง หลังจากหมุนวนรอบตัวขึ้นไปด้านบนแล้ว ก็ก่อตัวเป็นมังกรหมอกดำสองตัวกับพยัคฆ์ดำอีกสองตัว
หลังจากหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬด้วยพลังทั้งหมด ก็สามารถกระตุ้นพลังของมังกรสองตัวและพยัคฆ์สองตัวได้
………………………………