ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 59 ผึ้งปีศาจกับทะเลทรายดำ
หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจแล้วก็เก็บแผนที่ทันที แล้วบังคับเมฆเหาะไปยังทิศทางที่ไกลออกไป
เจ็ดวันผ่านไป ในผืนป่าประหลาดสีดำแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงยืนอยู่นิ่งๆ ใต้ต้นไม้ยักษ์สูงสิบกว่าจั้งต้นหนึ่ง สายตาหรี่มองไปยังปีศาจขนเขียวสามตนที่ดูคล้ายกับลิง
ปีศาจทั้งสามตน มีขนาดใหญ่ตนหนึ่ง ขนาดเล็กสองตน ตนที่มีขนาดเล็กทั้งสองนั้นสูงฉื่อกว่าๆขนเขียวบนร่างกายเป็นสีเขียวอ่อน และตนที่ใหญ่สุดนั้นสูงสี่ฉื่อ มีขนสีเขียวดำปกคลุมไปทั่วทั้งตัว แม้แต่บนหัวก็ยังมีเขาสีเขียวสั้นๆ ติดอยู่หนึ่งอัน มันแยกเขี้ยวขู่หลิ่วหมิงอยู่ไม่หยุด
มันคือปีศาจระดับต่ำชนิดหนึ่งในแดนปีศาจปรโลกที่เรียกว่า ‘วานรเขาเน่า’
วานรเขาเน่าที่โตเต็มที่จะเคลื่อนไหวรวดเร็วฉับไว มีพลังเยอะมาก ทั้งยังพ่นลมเน่าเหม็นได้ เพียงแค่เพิ่มการบ่มเพาะเล็กน้อยก็จะยิ่งมีพลังปีศาจระดับสมุยรับใช้ นับว่าเป็นตนเลือกที่ไม่เลวสำหรับใช้เป็นปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงกระตุกแขนเสื้อ โซ่ตรวนวิญญาณตวัดออกไปยังวานรเขาเน่าราวกับอสรพิษ
หลังเสียงร้องแปลกประหลาด วานรเขาเน่าตัวเล็กสองตนก็กระโดดหนีไปยังต้นไม้ต้นอื่นทันที เหลือแค่ตัวใหญ่สุดตนนั้นมันฉายแววความดุร้ายออกมา และหลังจากที่หลบหลีกโซ่ตรวนวิญญาณได้แล้ว ก็กางแขนออกกลายเป็นเงาร่างสีเขียวพุ่งลงจากต้นไม้แล้วกระโจนเข้าใส่เขา
เล็บสีดำแหลมคมทั้งสิบของมัน กระโจนเข้ามายังไม่ถึงด้านหน้าของหลิ่วหมิง ลมเน่าเหม็นจากปากของมันก็พุ่งออกมาก่อน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่หลบหลีกแต่อย่างใดแต่กลับร่ายคาถาขึ้นทันที แล้วยกแขนขึ้น ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งยิงออกไป
ด้วยความร้อนจากลูกเปลวไฟ พริบตาเดียวก็กวาดล้างลมเหม็นเน่าออกไปจนหมดสิ้น สร้างความหวาดกลัวให้กับวานรเขาเน่าที่กำลังกระโจนเข้ามาเป็นอย่างมาก หลังเสียงร้องแปลกประหลาด หางยาวหลายฉื่อของมันก็ส่ายไปมาโดยฉับพลันเพื่อหลบหลีกลูกเปลวไฟ
แต่ตอนนี้โซ่ดำกลับม้วนตนกลับมาอย่างไร้ซุ่มเสียง และมัดมันไว้อย่างแน่นหนาโดยที่ไม่ทันได้ป้องกันตนเลย
เสียงดัง “ตุ๊บ!”
วานรเขาเน่าตนนี้กระแทกตกลงมาด้านหน้าหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง และไม่สามารถขยับตัวได้ โซ่ตรวนวิญญาณที่บีบแน่นค่อยๆ กัดเซาะจนทำให้หนังของมันมีควันสีเขียวออกมา มันส่งเสียงร้องแปลกประหลาดแสดงความเจ็บปวดจนยากที่จะทนได้
หลิ่วหมิงไม่พูดอะไรยกเท้าขึ้นไปแตะบนหัวของมัน
เสียงดัง “ตุบ!”
วานรเขาเน่าถูกพลังมหาศาลกดไว้ทำให้หัวของมันจมลงในดินครึ่งหนึ่ง และตาเหลือกสลบไปทันที
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ ก้มลงไปจับวานรเขาเน่าขึ้นมาพาดไว้บนบ่าแล้วเริ่มทำท่าแสดงวิชา
ครู่เดียวเมฆเทาก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นใต้เท้าเขา หลังจากกระตุ้นมันแล้วก็เหาะออกไปจากป่าไปยังทิศทางที่ไกลออกไป
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงมาปรากฏตรงโพรงดินที่อยู่ห่างจากป่าสีดำค่อนข้างไกล เขาโยนวานรเขาเน่าบนบ่าลงไปที่พื้น
ทางเข้าโพรงดินนี้ถูกสร้างไว้ใต้หินยักษ์ก้อนหนึ่ง นับว่าปกปิดได้เป็นอย่างดี และข้างในก็มีขนาดไม่กี่จั้ง
ตอนที่หลิ่วหมิงค้นพบนั้นข้างในล้วนว่างเปล่า ไม่รู้ว่าปีศาจชนิดใดมาสร้างไว้แล้วทำไมถึงไม่ใช้มันแล้ว
ตั้งแต่วันแรกที่เจอวานรเขาเน่า เขาก็หาสถานที่อำพรางเช่นนี้ก่อนแล้ววันนี้ถึงได้ลงมือกับมัน
หลิ่วหมิงดูวานรเขาเน่าบนพื้น แล้วมั่นใจว่ามันยังสลบอยู่ ก็หยิบน้ำเต้าสีดำขลับออกมาจากแขนเสื้อ ดึงจุกออกแล้วเทลงบนพื้น ผงสีเหลืองอ่อนไหลออกมา
เขาแค่ถือน้ำเต้าเดินวนรอบวานรเขาเน่าหนึ่งรอบ พื้นที่บริเวณนั้นก็เกิดเป็นวงกลมสีเหลืองขึ้นมา เขาก้าวยาวเข้าไปในวงกลม นั่งขัดสมาธิหลับตาทั้งสองข้างลงแล้วกำหนดลมหายใจอย่างเงียบๆ
ผ่านไปชั่วครู่ หลิ่วหมิงลืมตาท้ังสองขึ้นอีกครั้ง มือทั้งคู่เริ่มทำท่ามือร่ายคาถา
ไอสีดำม้วนตัวออกมาจากตนของเขา และดูเหมือนจะยิ่งออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกัน ก็เริ่มมีอักขระจิตวิญญาณสีเทาอ่อนปรากฏขึ้นมาบนแก้มกับเนื้อตนที่ไม่มีอะไรปกปิดอย่างต้นคอ แขน เป็นต้น และแผ่ขยายไปทั่วทุกซอกมุมของร่างกาย
เสียงดัง “ฟู่!”
หลิ่วหมิงขยับแขน มือข้างหนึ่งยกวานรเขาเน่ามาไว้ด้านหน้าใกล้ๆ อีกข้างหนึ่งกลับใช้นิ้วทั้งห้ากดลงบนกระโหลกศีรษะของมัน
เขาร่ายคาถาขึ้นมา ไอดำบนร่างโหมกระพือเป็นเส้นๆ ราวกับงวงสัมผัสของสัตว์ อักขระจิตวิญญาณสีเทาบนตนของเขายิ่งเปล่งแสงพรั่งพรูออกมาจากกายเขาแล้วจมหายเข้าไปในหัวของวานรเขาเน่า
วานรเขาเน่าที่เดิมทีนอนนิ่งสงบอยู่ ฟื้นตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ และเริ่มดิ้นสลัดตัวด้วยแววตาทั้งสองที่แดงฉาน
แต่มือทั้งสองของหลิ่วหมิงจับแน่นราวกับเหล็กไม่ยอมปล่อย และอักขระบนร่างเขาก็พรั่งพรูไปยังหัวของวานรเขาเน่าเร็วขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากนั้นชั่วครู่ วานรเขาเน่าก็เริ่มพ่นน้ำลายสีเขียวออกมา และดิ้นอ่อนแรงลงกว่าเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าดีใจราถาที่ร่ายก็ยิ่งดังกระชั้นชิดขึ้น
แต่ครู่ต่อมา หัวทั้งสองด้านของมันก็มีเส้นเลือดสีดำปูดออกมาเป็นจำนวนมาก หลังจากที่มันพองตัวก็ระเบิดออกมาด้วยเสียงอันดัง
ของเหลวสีเขียวกระจายไปทั่วทิศในทันที
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ไอดำบนร่างกระพือฮือโหมขึ้นอย่างฉับพลัน ไอดำบังสิ่งของที่พุ่งเข้ามาหาเขาได้ทันท่วงที
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงมีไอดำส่วนหนึ่งขับออกมาจากร่างไร้หัวของวานรเขาเน่า และมันหมุนติ้วๆ แล้วก็ลอยหนีออกไปยังปากโพรง
แต่พอไอดำนั้นสัมผัสกับผงสีเหลืองอ่อน ก็ดีดตนกลับมาราวกับชนถูกสิ่งกำบังที่มองไม่เห็น จากนั้นก็พุ่งชนไปทั่วทุกด้านราวกับแมลงวัน แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถออกจากวงกลมได้แม้แต่ก้าวเดียว
เสียงดัง “ฟู่!”
ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งพุ่งเข้ามา พริบตาเดียวไอดำก็จมอยู่ในเปลวเพลิง แล้วก็มลายหายไป
หลิ่วหมิงโยนศพวานรเขาเน่าในมือทิ้งไปอีกครั้งด้วยสีหน้าผิดหวัง
“นี่ก็พลาดเป็นครั้งที่สามแล้ว คิดไม่ถึงว่าการทำให้ปีศาจระดับต่ำยอมศิโรราบมันจะยากถึงเพียงนี้! ดูท่าปีศาจที่ทดสอบในนิกายคงถูกคนทดสอบมาแล้วหลายครั้งถึงไม่มีความดุร้ายแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้พอใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณก็ทำให้มันยอมศิโรราบได้ง่ายๆ แล้ว และปีศาจในแดนปีศาจปรโลกนี้กลับดุร้ายเป็นอย่างยิ่งถึงได้ปราบมันได้ยากถึงเพียงนี่” หลิ่วหมิงบ่นพึมพำด้วยความผิดหวัง
นี่ก็แปลกเสียจริง!
เขาเสี่ยงอันตรายมาห่างจากฐานที่มั่นห้าร้อยถึงหกร้อยลี้ แต่ปีศาจระดับต่ำที่เขาพบทั้งหมดรวมกับตัวที่อยู่ด้านหน้าเขาแล้วมีแค่สามตนเท่านั้น และตอนที่ทำให้มันยอมศิโรราบก็ล้มเหลวไปหมดทุกตน
ดูเหมือนจะต้องมุ่งไปข้างหน้าเท่านั้น ดีที่ถึงแม้เขาจะห่างจากฐานที่มั่นค่อนข้างไกล แต่บนแผนที่หนังสัตว์ก็ยังระบุสถานที่หลายที่ที่มีปีศาจระดับต่ำปรากฏอยู่ แสดงว่าโอกาสของเขายังมีอยู่
หลิ่วหมิงทำได้เพียงแต่คิดเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงเก็บกวาดโพรงดินเล็กน้อยแล้วขี่เมฆเหาะจากไปอีกครั้ง
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงมาปรากฏตนบนพื้นที่ราบสูงเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เขากำลังค่อยๆ เหาะอยู่ในระดับต่ำ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นมาจากท้องฟ้าทางด้านหลัง แรกเริ่มแค่ดังค่อยๆ แล้วก็เปลี่ยนมาดังก้องจนหูดับขึ้นมาในทันที
ในใจหลิ่วหมิงเย็นยะเยือก รีบหันกลับไปดู สิ่งที่เห็นทำให้หน้าเขาซีดเผือดเป็นอย่างมาก
ท้องฟ้าสีเทาครึ้มที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้พลันเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งยังค่อยๆ ขยายมาทางที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว
“ให้ตายเถอะ เผชิญกับฝูงผึ้งปีศาจอพยพจังๆ เข้าแล้ว! ไม่สิ! เส้นทางนี้ไม่น่าจะอยู่ในเส้นทางการอพยพของฝูงผึ้งปีศาจนี่”
หลิ่วหมิงหลุดปากพูดออกมา แต่ก็ละทิ้งความคิดอื่นๆ ไว้ในสมอง และกระตุ้นเมฆเทาให้เหาะไปยังทิศทางด้านข้างทันที
เขาจำได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้ฝูงผึ้งปีศาจนี้จะน่ากลัว แต่แค่หลบไปให้ไกลจากเส้นทางการอพยพของพวกมันก็สามารถรักษาชีวิตไว้ได้
แต่เมื่อเขาเหาะไปได้ไกลหลายลี้ ก็ค้นพบว่ายิ่งเข้าใกล้ท้องฟ้าสีแดงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีเค้าว่าจะหลุดจากวงล้อมของมันได้ เขาก็แอบร้องทุกอยู่ในใจไม่หยุด
เหตุที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ กล่าวได้ว่าเขาได้พบเจอกับฝูงผึ้งปีศาจขนาดใหญ่เข้าแล้ว มิเช่นนั้นฝูงผึ้งปีศาจขนาดเล็กที่มีแค่หมื่นกว่าตนคงไม่เกิดสถานการณ์เช่นนี้
เมื่อไม่มีวิธีการรับมือใด หลิ่วหมิงทำได้แค่กัดฟันกระตุ้นใช้วิชาตนเบาแล้วลงมาจากเมฆเทา จากนั้นก็กระโดดโลดเผ่นหนีให้ห่างจากท้องฟ้าสีแดงอย่างบ้าคลั่ง
ถึงแม้วิชาทะยานฟ้าจะสะดวกสบายในการใช้ แต่ใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นก็ยังไม่สามารถเหาะได้รวดเร็วมากนัก ไม่สู้ใช้เท้าทางดีกว่าซึ่งสามารถลดการใช้พลังเวทย์ได้ด้วย
หลิ่วหมิงวิ่งบ้าคลั่งอย่างสุดพลัง ระดับความเร็วสูงกว่าการเหาะด้วยเมฆเทาสามเท่า พริบตาเดียวก็กลายเป็นจุดสีดำเล็กๆ
ตอนนี้ ท้องฟ้าสีแดงด้านหลังเพิ่งจะมาถึงบริเวณนั้นพอดี
เจ้าตัวสีแดงบนท้องฟ้านั้นเป็นผึ้งประหลาดสีแดง แต่ละตนมีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ลำตัวลีบแบน แต่ตรงท้ายกลับมีเหล็กในสีขาวขนาดใหญ่ทำให้คนรู้สึกกลัวจนตัวสั่นระริก
……
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงยืนอยู่กลางเนินทรายสีดำที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดแห่งหนึ่ง เขามองดูเม็ดทรายสีดำรอบด้านแล้วก็ยิ้มข่มขืนอยู่ไม่หยุด
สองวันก่อนเขาจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อหนีจากฝูงผึ้งปีศาจ ในที่สุดก็สามารถหลุดพ้นจากการล่าสังหารของมันได้ แต่ด้วยความรีบร้อนไม่ได้ดูเส้นทางทำให้เขามาอยู่ท่ามกลางทะเลทรายแปลกประหลาดนี้
เห็นได้ชัดว่าทะเลทรายแห่งนี้ อยู่ห่างจากฐานที่มั่นพันกว่าลี้ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกระบุไว้ในแผนที่ แต่เขารู้สึกถึงความหนาวเย็นจากอากาศกับความรู้สึกอึดอัด เพราะสถานที่แห่งนี้มีปราณหยินหนาแน่นมากมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีปีศาจอยู่ แน่นอนว่าอาจมีอันตรายที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยเช่นกัน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่ายังไม่ต้องรีบกลับไปยังทิศทางเดิม ลองหาปีศาจที่เหมาะสมจากทะเลทรายแห่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
แต่ก่อนอื่น เขากลับต้องฟื้นฟูพลังเวทย์ที่ใช้จนเกือบจะหมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงหาพื้นที่บริเวณใต้เนินทรายที่มีขนาดใหญ่หน่อยเพื่อหลบพายุ จากนั้นจึงหยิบน้ำเต้าสีดำใบนั้นออกมา เทผงสีเหลืองออกมาเป็นวงกลมหนึ่งวงแล้วตนเองก็นั่งขัดสมาธิลงไปในนั้น
หนึ่งวันผ่านไป เมื่อเขาลืมดวงตาอันใสประกายทั้งสองขึ้น พลังเวทย์ภายในของเขาก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว
หลิ่วหมิงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาใช้วิชาทะยานเวหาเรียกเมฆเทาออกมาแล้วถือเข็มทิศหยินไว้บนฝ่ามือ จากนั้นก็หาทิศทางตามใจชอบ และค่อยๆ เหาะไปยังทิศทางนั้น
สถานที่ไกลออกไปร้อยลี้ ปีศาจร่างมนุษย์ตนหนึ่งที่ทั้งกายล้วนเป็นกระดูกสีขาว มีเพียงเนื้อเน่าไม่กี่ชิ้นติดอยู่บนตัวมันกำลังเดินบนทะเลทรายอย่างช้าๆ
ทันใดนั้นเม็ดทรายใต้เท้าของมันก็แยกออกจากกัน ก้ามยักษ์ดำมืดสองข้างยื่นออกไปหนีบขาเล็กๆ ทั้งสองของมันอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และฉุดลงไปทันที พริบตาเดียวปีศาจร่างมนุษย์ก็ถูกลากลงไปยังหลุมหลุมหนึ่ง
เม็ดทรายรอบๆ ค่อยฝังปีศาจร่างมนุษย์ลงไป จนร่างของมันจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
……………………………………….