ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 609 เรือหยกจันทรา
“ผู้อาวุโสหลัวโหว ไม่เจอกันนานเลย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ยังคงประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม
หลัวโหวไม่ได้เป็นฝ่ายปรากฏตัวก่อนเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทุกๆ หนึ่งปีกว่าๆ จะดึงเอาไอปีศาจแท้บางส่วนจากร่างของหนอนพลังจิตที่หลิ่วหมิงพกเข้าไปในแดนมายา วันนี้กลับมาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับ หรือว่าจะมีเรื่องสำคัญอันใด?
“ฮึ! เจ้าไม่ต้องแปลกใจไปว่าทำไมข้าถึงปรากฏตัวออกมา แต่ว่าปัญหาของเจ้ามาแล้ว” หลัวโหวค่อยๆ กล่าวออกมา ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ปัญหา?” หลิ่วหมิงได้ยินย่อมรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก
“ไม่ผิด! ข้าเองก็จะไม่พูดจาไร้สาระให้มากความ หลายเดือนมานี้รอยร้าวของกรงขังค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ลำพังแค่ไอปีศาจของหนอนพลังจิตในตอนนี้ ไม่เพียงพอที่จะประคับประคองให้มั่นคงได้ ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากหาไอปีศาจแท้ที่เพียงพอไม่ได้ภายในสองปี เกรงว่าปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ในกรงขัง อาจจะปลดปล่อยวิญญาณออกจากรอยแยกได้ และจะทำการชิงร่างของเจ้า” หลัวโหวทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
“อะไรนะ! มีเรื่องเช่นนี้ด้วย” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที
“นอกจากนี้ ข้าอยากจะเตือนเจ้าอีกประโยค ครั้งหน้าที่กรงขังจะดูดพลังเวทนั้น คงเป็นเวลาราวๆ สี่ปีให้หลัง เมื่อถึงตอนนั้นหากเจ้ายังมีระดับการฝึกฝนดังเช่นปัจจุบันนี้ และไม่สามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้ล่ะก็ คงไม่อาจรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทในครั้งหน้าได้ แม้กระทั่งอาจถูกกรงขังดูดจนตัวแห้ง อายุขัยก็จะลดไปกว่าครึ่งหนึ่งด้วย” หลัวโหวกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
พอหลิ่วหมิงฟังจบ สีหน้าก็ดูไม่ได้ขึ้นมาจริงๆ
อยากจะหาไอปีศาจแท้จำนวนมากมันไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังต้องหาให้ได้ภายในสองปี ดูท่าการทะลวงระดับผลึกคงจะจ่ออยู่แค่หางคิ้วแล้ว มิเช่นนั้นต่อให้จะหาไอปีศาจแท้มาซ่อมแซมกรงขังได้ แต่การถูกฟองอากาศลึกลับดูดเอาอายุขัยไปเกือบครึ่งหนึ่งในครั้งหน้า เขาย่อมไม่ยินยอมอย่างแน่นอน
ขณะนั้นเอง หลัวโหวก็ไม่รอให้หลิ่วหมิงถามอะไรให้มากความ ร่างของเขาพร่ามัว หายไปจากที่เดิมทันที
หลิ่วหมิงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ส่ายหน้าเบาๆ และเก็บเรื่องทะลวงคอขวดไว้ชั่วคราวก่อน เพื่อเตรียมไปหาไอปีศาจแท้จำนวนมาก
เพราะตอนที่ซ่อมแซมกรงขังไปจนถึงตอนที่ฟองอากาศลึกลับดูดกลืนพลังเวทนั้น ยังมีเวลาอีกสองปีให้เขาทะลวงระดับผลึก แต่ว่าเวลามันกระชั้นชิดไปหน่อย เกรงว่าจะต้องทะลวงให้สำเร็จในครั้งเดียวแล้ว
สำหรับเรื่องที่ว่าจะไปหาไอปีศาจแท้จากที่ใดนั้น เกรงว่าเขาจะต้องวิ่งไปหอเป๋ยโต่วอีกครั้งแล้ว
หอเป๋ยโต่วสันทัดเรื่องข่าวสาร เพียงแค่จ่ายหินจิตวิญญาณที่เพียงพอ คงหาสถานที่ที่มีไอปีศาจแท้ได้ไม่ยาก
แต่ก่อนอื่นเขาจำเป็นต้องเตรียมการสักรอบถึงจะได้
หลังจากคิดไตร่ตรองเช่นนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็ไม่มีจิตใจจะไปฝึกฝนในแดนมายาอีก พอเขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ก็ออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ ในทันที
เขาเดินวนไปวนมาในห้องลับ และครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงขี่เมฆไปยังหอคุมกฎ
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ตรงห้องโถงด้านข้างหอคุมกฎ
หลิ่วหมิงกำลังหรี่ตามองตลับหยกที่วางอยู่ตรงหน้า และปล่อยจิตเข้าไปตรวจสอบดูด้านใน ตลับหยกแต่ละใบมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีคุณภาพไม่ธรรมดาหนึ่งชิ้น
ตามกฎของนิกายยอดบริสุทธิ์ หนึ่งในรางวัลของผู้ที่ฝ่าด่านเจดีย์ชั้นสามสิบหกได้ สามารถเลือกอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบชั้นจำกัดขึ้นไปได้หนึ่งชิ้น
เข็มหลบเงา อาวุธจิตวิญญาณที่อวินเล๋ยจื่อ ผู้ควบคุมยอดเขาสายฟ้าเมฆาเคยใช้ในสมัยก่อน หนึ่งชุดมีทั้งหมดเจ็ดเล่ม เนื่องจากพุ่งยิงได้รวดเร็วมากๆ จึงเป็นที่รู้จักว่าเป็นเหมือนเงาที่ไม่สามารถจับร่องรอยได้ มีผลดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับการต่อสู้ในระยะประชิด
เข็มหลบเงาให้ผลลัพธ์คล้ายกับดัชนีกระบี่ของเขา หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็ส่ายหน้าและนำจิตไปสำรวจดูตลับหยกใบที่สอง
มุกสายฟ้า อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบเอ็ดชั้นจำกัด เป็นมุกกลมๆ ที่สร้างขึ้นมาจากกรงเล็บของอินทรีสายฟ้าระดับผลึก มีพลังของสายฟ้าแฝงอยู่ หากปรับแต่งเป็นต้นแบบอาวุธเวท จะสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ และมีโอกาสเรียกวิญญาณส่วนหนึ่งของอินทรีสายฟ้าออกมาได้
หลิ่วหมิงค่อนข้างใจเต้นกับของสิ่งนี้ แต่หากจะปรับแต่งจากสามสิบเอ็ดชั้นจำกัดไปเป็นสามสิบหกชั้นจำกัดล่ะก็ ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร ไม่เพียงแต่ต้องใช้วัสดุเสริมต่างๆ ที่สำคัญก็คือกว่าจะรวบรวมมาได้ครบต้องใช้เวลาหลายปี ไม่สามารถใช้การในตอนนี้ได้ หลังจากถอนหายใจเบาๆ แล้ว ก็นำจิตเข้าไปสำรวจดูตลับหยกอีกใบ
……
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงเดินออกจากห้องโถงข้างหอคุมกฎ ตลับหยกที่อยู่ในมือคือเรือหยกจันทรา อาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาระดับสุดยอดที่มีสามสิบสองชั้นจำกัด
แม้ว่าจะยังมีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอื่นๆ อีกหลายชิ้น แต่ส่วนมากต้องไปประทับชั้นจำกัดเพิ่มเอง หลังจากปรับแต่งเป็นต้นแบบอาวุธเวท ถึงสำแดงอานุภาพที่แท้จริงออกมาได้
และเรือหยกจันทรานี้สำเร็จมาแล้ว โดยพื้นฐานไม่จำเป็นต้องรวบรวมวัสดุเพื่อยกระดับ ก็สามารถสำแดงอานุภาพอันยิ่งใหญ่ได้ สามารถแก้ปัญหาการขี่เมฆระยะไกลและใช้เวลานานของหลิ่วหมิงได้ ซึ่งช่วยลดเวลาในการเดินทางเป็นอย่างมาก
ดังนั้นอาวุธจิตวิญญาณนี้จึงเหมาะสมที่สุดสำหรับเขาในปัจจุบัน
สำหรับวิชาขี่กระบี่ แม้จะบอกว่าหลบหลีกได้รวดเร็วมาก แต่ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ ไม่อาจใช้ในการเดินทางได้ ต้องรอสำเร็จวิชาขี่กระบี่เหินเวหาแล้ว จึงจะใช้ในการเดินทางระยะไกลได้
ใต้ท้องเรือหยกจันทรานี้ ยังมีค่ายขนาดใหญ่อยู่หลังหนึ่ง หากใส่ผลึกหินธาตุลมลงไป ก็จะยกระดับความเร็วของมันขึ้นมามาก
ตอนอยู่บนเกาะมัจฉา ตอนที่เฟิงจ้านประมุขพรรคฉางเฟิงใช้เรือหยกเหินเวหานั้น ก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกอิจฉาอยู่พักหนึ่ง ดังนั้นพอเห็นเรือหยกนี้ เขาก็เลือกมันอย่างไม่ลังเล
ส่วนที่ว่าเป็นศิษย์สายในแล้ว จะมีโอกาสเรียนวิชาหนึ่งวิชาโดยจ่ายแต้มคุณูปการเพียงครึ่งเดียวนั้น เขากลับไม่อยากจะใช้มันในตอนนี้
หลังจากหลิ่วหมิงประสานมือคารวะศิษย์ดำเนินการแล้ว ก็ออกไปจากหอคุมกฎทันที
บนพื้นราบเรียบกว้างใหญ่ตรงด้านนอกหอคุมกฎ พอเขาตบตลับหยก เรือเล็กๆ สีขาวสลัวๆ ก็พุ่งออกมา
หลังจากหลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทใส่เรือหยกแล้ว มันก็กลายเป็นเรือเหาะที่ยาวสิบกว่าจั้ง สูงสี่ห้าจั้ง
พื้นผิวเรือหยกถูกม่านแสงสีขาวน้ำนมปกคลุมไว้ ลวดลายจิตวิญญาณสีทองจางๆ ทั้งสองข้างกระพริบไม่หยุด แลดูมีเสน่ห์ลึกลับเป็นอย่างมาก
พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ศิษย์สองสามคนที่เพิ่งมาถึงเห็นเช่นนี้ ก็พากันมองมาด้วยความอิจฉา
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่นๆ แต่กลับกระโดดขึ้นบนเรือหยก และปล่อยพลังใส่ค่ายกลแวววาวที่อยู่ส่วนหน้าของเรือติดต่อกัน
“ฟู่!”
ทันใดนั้น เมฆหลายก้อนก็ปรากฏขึ้นทั้งสองด้านของเรือหยก และค่อยๆ พยุงมันขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงแวววาวพุ่งไปทางตลาดในนิกาย
ในเมื่อจะออกไปหาไอปีศาจแท้ข้างนอก ก็ต้องไปตลาดเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเล็กน้อย
ก่อนหน้านั้นเขาไปตลาดฉางหยางอย่างรีบร้อน จึงไม่ทันงานประมูลใหญ่ในตลาด อีกอย่างมุกพลังวารีทั้งสองเม็ดกับโล่เก้ากะโหลก ก็ได้รับความเสียหายจากการบุกเจดีย์ซวีหลิงเมื่อห้าปีก่อน และยังไม่ได้รับการซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์ ครั้งนี้จึงต้องไปซื้อวัสดุหลอมอาวุธจำนวนหนึ่งที่ตลาด
แน่นอนว่านอกจากนี้แล้ว หลิ่วหมิงก็สามารถไปดูว่ามียันต์หรือโอสถอะไรที่เหมาะมือหรือไม่ จะได้ซื้อมาเพิ่ม
……
หนึ่งเดือนต่อมา ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เขากำลังชื่นชมมุกสีดำมืดสองเม็ดกับโล่ขนาดเล็กที่อยู่บนมือ พวกมันก็คือมุกพลังวารีกับโล่เก้ากะโหลกที่ถูกฟื้นฟูมาแล้วนั่นเอง
มุกพลังวารียังดีที่สามารถมอบให้ผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธในตลาดทำการฟื้นฟูได้ หลังจากจ่ายหินจิตวิญญาณไปจำนวนหนึ่งแล้ว ก็รับกลับมาได้
แต่โล่เก้ากะโหลกเป็นต้นแบบอาวุธเวท ไม่อาจแสดงให้คนอื่นเห็นได้ง่าย ยิ่งไม่อาจให้คนอื่นทำการซ่อมแซมได้ ด้วยเหตุนี้ตนเองจึงต้องใช้เวลาคิดไม่น้อย เขาซื้อวัสดุราคาแพงจากตลาดมาจำนวนหนึ่ง หลังจากลงมือจัดการเองแล้ว ก็ใช้เวลาสิบกว่าวันถึงซ่อมแซมมันกลับมาได้อย่างสมบูรณ์
และภายในแหวนย่อส่วนยังมีกระบี่เล็กสีเขียวเล่มใหม่วางอยู่ เป็นกระบี่บินระดับสูงที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ไม่นานมานี้
เนื่องจากกระบี่เล็กสีเทาเล่มนั้น ได้รับความเสียหายจากไปการบุกเจดีย์มากเกินไป มันไม่คุ้มค่าที่จะซ่อมแซมแล้ว ดังนั้นจึงตัดสินใจเปลี่ยนเล่มใหม่ไปเลย
นอกจากนี้แล้ว มุมหนึ่งของแหวนย่อส่วนยังมีผลึกหินธาตุลมเปล่งประกายแวววาวอยู่ และยังมียันต์อยู่ปึกหนึ่งด้วย
หลิ่วหมิงเก็บมุกพลังวารีกับโล่กระดูกเข้าไป และนั่งไตร่ตรองถึงวันที่จะออกนอกนิกาย ทันใดนั้นก็มีเสียงดังหวึ่งๆ บนเอว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และเอามือข้างหนึ่งลูบไปที่เอว แผ่นค่ายกลกลมๆ แผ่นหนึ่งปรากฏในมือ มีอักขระสีเงินจางๆ เปล่งประกายอยู่บนนั้น
“อะไรนะ! ผู้ควบคุมยอดเขากลับมาแล้ว และเรียกศิษย์ในยอดเขาทั้งหมดไปพบที่ห้องโถงใหญ่?” หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูอักขระบนแผ่นค่ายกลแล้ว ก็ดูอึ้งไปทันที และพูดพึมพำออกมา
แต่ในเมื่อผู้ควบคุมยอดเขาผู้นั้นเป็นคนถ่ายทอดคำสั่งเอง หลิ่วหมิงก็ไม่อาจไม่ไปไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงจัดชุดให้ดูเรียบร้อย จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปยังปลายยอดเขา
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวต่อมา ห้องข้างห้องโถงหลักของยอดเขาลั่วโยวที่ไม่นับว่ากว้างขวางมาก มีศิษย์สายในยี่สิบกว่าคนรวมตัวอยู่เนืองแน่น
คนเหล่านี้คือศิษย์สายในทั้งหมดที่ยังอยู่ในยอดเขาลั่วโยว
คนเหล่านี้ต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป ประจักษ์ชัดว่ารู้สึกสับสนกับการถูกเรียกตัวมากะทันหันเช่นกัน หญิงสาวผมสั้น ใบหน้างดงามที่อยู่ตรงหน้าก็คือเสี่ยวอู่ ศิษย์อันดับหนึ่งของยอดเขาลั่วโยวที่เรียกตัวเองว่า ‘ศิษย์พี่ห้า’ นั่นเอง
ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังของนางก็คือศิษย์พี่เฟิง ที่รับตำแหน่งศิษย์ดำเนินการในยอดเขา ไม่รู้ว่าเขาฝึกฝนวิชาอะไร ช่วงเวลาแค่ห้าปีถึงผอมลงอย่างเห็นได้ชัด แต่กลิ่นไอบนตัวกลับแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย
ส่วนศิษย์คนอื่นๆ เมื่อวิเคราะห์จากกลิ่นไอบนตัวแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีศิษย์ระดับผลึกกับศิษย์ระดับของเหลวอย่างละครึ่ง ซึ่งต่างก็มีสิบกว่าคน ดูเหมือนว่าศิษย์ระดับของเหลวจะมีชายหนุ่มเตี้ยๆ ผู้หนึ่งเป็นแกนนำ ดูๆ แล้วมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปีเท่านั้น
ชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ในมุมที่ดูไม่เตะตาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ตั้งแต่เข้ายอดเขาลั่วโยวมาห้าปี เขาออกไปข้างนอกน้อยมาก จึงไม่คุ้นเคยกับคนที่อยู่รอบตัวเหล่านี้เลย นอกจากทักทายเสี่ยวอู่ในตอนแรกแล้ว เขาก็มายืนอยู่ตรงนี้และไม่พูดอะไรอีก
คนอื่นๆ ก็พูดคุยกันเบาๆ และไม่มีใครเข้ามาตีสนิทเขา
………………………………