ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 612 กวางจิตวิญญาณเก้าสี
“ที่แท้ก็เป็นสหายอวิ๋นกังจากเขาถานกวง ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว วันนี้นับว่าโชคดีมากที่ได้มาเจอท่าน” อินจิ่วหลิงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
แม้แต่ระดับการฝึกฝนและสถานะของอินจิ่วหลิงกับกู่เจวี๋ย ยังดูเหมือนจะเกรงใจหลวงจีนหนุ่มรูปนี้เป็นอย่างมาก
เรื่องราวเกี่ยวกับเขาถานกวง หลิ่วหมิงเองก็เคยอ่านจากบันทึกในคัมภีร์มาจำนวนหนึ่ง
ว่ากันว่าเขาถานกวงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนา และก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน แม้ว่าจะไม่ได้มีชื่ออยู่ในอันดับสี่ยอดนิกายใหญ่ แต่ว่ากันว่าพลังที่แท้จริงไม่ได้ด้อยไปกว่าสี่ยอดนิกายใหญ่เท่าไหร่
อีกอย่างพระพุทธศาสนามีต้นกำเนิดมาแต่สมัยบรรพกาล พลังวิเศษบางอย่างในนั้น ทำให้ผู้ฝึกฝนทั่วไปปวดหัวอยู่ไม่หยุด ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้เป็นสี่ยอดนิกายใหญ่ ก็ไม่มีใครอยากจะล่วงเกินหลวงจีนเหล่านี้
ดูจากท่าทีในวันนี้ ชื่อเสียงของเขาถานกวงคงจะเหนือกว่าคำร่ำลือ
พลังอภินิหาริย์ทางพระพุทธศาสนา หลิ่วหมิงก็เคยพบเจอมาหลายครั้ง ช่างลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง นึกถึงเปลวไฟผู่ถัวของราชาปีศาจสมุทรที่เกือบจะทำให้หัวปีศาจยักษ์ได้รับบาดเจ็บ และค่ายกลพุทธะที่เจียหลานแสดงในทะเลหนานไห่แล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์ไม่น้อย
“สหายอินกล่าวเกินไปแล้ว วันนี้อาตมาเป็นแค่คนกลางเท่านั้น เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เห็นการแลกเปลี่ยนพลังวิเศษระหว่างทั้งสอง” หลวงจีนหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตน
“เอาล่ะ! พวกเราไม่ต้องมาเยินยอกันเองแล้ว สหายอิน พวกเราตกลงกันว่าวันนี้จะประลองกันที่นี่สามรอบ เพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นเจ้าของลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนั้น คนของท่านที่จะเข้าร่วมประลองก็คือสองคนนี้ใช่หรือไม่?” กู่เจวี๋ยเห็นทั้งสองทักทายกันอย่างอบอุ่น ก็แสดงสีหน้าทนไม่ไหว และเอ่ยปากแทรกขึ้นมา สายตาของเขาก็มองไปยังหลิ่วหมิงทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง
“ถูกต้อง เจ้าทั้งสองยังไม่รีบมาคารวะสหายกู่เจวี๋ยอีก” อินจิ่วหลิงกวักมือเรียกทั้งสองโดยไม่พูดอะไรมาก
“คารวะผู้อาวุโสกู่!” หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่รีบก้าวมาโค้งคารวะอย่างไม่รอรี
“ศิษย์หลานเสี่ยวมีการฝึกฝนระดับผลึก คาดว่าใกล้จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้วสินะ สมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจริงๆ ศิษย์หลานผู้นี้ดูแปลกหูแปลกตาเล็กน้อย เป็นศิษย์ในสังกัดของสหายอินเช่นกันหรือ?” กู่เจวี๋ยสังเกตดูเสี่ยวอู่ทีหนึ่ง หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ละสายตามามองหลิ่วหมิง
“ศิษย์หลิ่วหมิง เพิ่งเข้ายอดเขาลั่วโยวในช่วงหลายปีมานี้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“ศิษย์หลานหลิ่วก็ฝึกฝนถึงระดับของเหลวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาจริงๆ” กู่เจวี๋ยกล่าวออกมาสองประโยค จากนั้นก็ละสายตามามองเสี่ยวอู่อีกครั้ง
ประจักษ์ชัดว่าผู้แข่งแกร่งระดับแก่นแท้ของสำนักเฮ่าหรานผู้นี้ ยังคงรู้สึกสนใจศิษย์พี่ใหญ่ของยอดเขาลั่วโยวมากกว่าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ช่างมีสายตาหลักแหลมยิ่งนัก เขายังไม่ได้กระตุ้นพลังเวทเลยแม้แต่น้อย ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามเห็นระดับการฝึกฝนของตนเองแล้ว
และขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกงุนงง พอหันหน้าเล็กน้อยก็พบกับสายตาที่เป็นประกายของอวิ๋นกังพอดี
พอหลวงจีนหนุ่มผู้นี้เห็นหลิ่วหมิงมองมา กลับยิ้มให้เล็กน้อย
หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งทันที แต่ก็ยิ้มตอบอย่างสุภาพ
“เอาล่ะ! สหายกู่อย่าพูดจาไร้สาระอีกเลย ข้าได้ยินมาว่าทางท่านเองก็ได้รับศิษย์ที่มีดวงตาแห่งความว่างเปล่ามาคนหนึ่ง คิดว่าวันนี้คงพามาด้วยเช่นกัน” อินจิ่วหลิงให้หลิ่วหมิงทั้งสองถอยกลับไป และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ข่าวสารของพี่อินช่างรวดเร็วยิ่งนัก พวกเจ้าทั้งสองก็มาคารวะผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์กันหน่อย” กู่เจวี๋ยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มในฉับพลัน
ชายหญิงสองคนที่อยู่ด้านหลังได้ยินเช่นนี้ ก็รีบก้าวเข้ามากุมมือคารวะอินจิ่วหลิง
“ศิษย์ฉินอี้ กู่ฉิน คารวะผู้อาวุโสอิน”
หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูทั้งสอง พอมองไปยังศิษย์หญิงผู้นั้น ถึงค้นพบว่านางมีใบหน้าธรรมดา ตาดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวสลัวๆ แทบจะไม่สามารถแยกแยะรูม่านตากับตาขาวได้ แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
แต่ก่อนเขาก็เคยได้ยินคนพูดถึงเรื่องดวงตาแห่งความว่างเปล่ามาก่อน ดูเหมือนจะเป็นร่างจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่พบเจอได้น้อยมาก พลังของดวงตาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เชี่ยวชาญในด้านการจับกระแสพลังเวท ได้ชื่อว่าไม่มีวิชาใดสามารถหลบพ้นการมองเห็นของดวงตานี้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อ ‘ดวงตาแห่งความว่างเปล่า’
มีแม้ว่าร่างจิตวิญญาณระดับนี้ ไม่ค่อยได้เปรียบในด้านของการฝึกฝน แต่ในด้านการประลองพลังเวทกลับถือเบี้ยเหนือกว่ามาก
“สหายกู่ ศิษย์ทั้งสองของท่านก็ไม่ธรรมดานี่” อินจิ่วหลิงดวงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เริ่มการประลองกันเถอะ!หลิ่ว” กู่เจวี๋ยค่อยๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ได้! แต่ก่อนอื่นเจ้ากับข้าควรนำเจ้าสิ่งนั้นออกมาก่อน” อินจิ่วหลิงพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา
กู่เจวี๋ยย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด
……
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งภายในหุบเขา กู่เจวี๋ยกับอินจิ่วหลิง คนหนึ่งถือคทาหยกหนึ่งอัน อีกคนก็คีบป้ายสีเงินอันหนึ่งอยู่ และกำลังร่ายคาถากระตุ้นอยู่ไม่หยุด
คทาหยกกับป้ายพ่นแสงสีขาวและสีเงินใส่ลำต้นบนต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นคลื่นสั่นสะเทือนไร้รูป ก็ก่อตัวขึ้นรอบต้นไม้ใหญ่
กลุ่มแสงห้าสีพุ่งออกจากต้นไม้ใหญ่ มีอะไรบางอย่างถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้น
“ฟิ้ว!” กลุ่มแสงห้าสีหลุดออกจากต้นไม้ใหญ่โดยสมบูรณ์ พริบตาเดียวก็กลายเป็นกรงห้าสี และค่อยๆ ร่วงลงหน้าต้นไม้ใหญ่
หลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป ถึงมองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในกรงเป็นกวางจิตวิญญาณตัวหนึ่งที่มีความสูงเท่ากับคนหนึ่งคน บนตัวเปล่งแสงหลากสีแวววาวออกมา เขาบนหัวดูสั้นอย่างน่าประหลาดใจ ดูท่าจะยังเป็นลูกกวางน้อยอยู่ บนหน้าผากมียันต์สีเหลืองติดอยู่หนึ่งผืน มันกำลังนอนหมดสติอยู่ในกรง
“นี่ก็คือกวางจิตวิญญาณเก้าสีหรือ?” หลิ่วหมิงแอบอุทานอยู่ในใจ และมองดูอย่างอดไม่ได้
กวางจิตวิญญาณเก้าสีเป็นอสูรกลายพันธุ์ในหมู่ปีศาจอสูร หลังจากเติบโตแล้วจะมีพลังถึงระดับผลึก และค่อยๆ ฝึกฝนจนถึงระดับแก่นแท้ได้ อีกอย่างปีศาจอสูรชนิดนี้มีความสามารถในขับไล่สิ่งชั่วร้ายโดยกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีพลังในการควบคุมภูติผีปีศาจเป็นอย่างมาก
ที่อินจิ่วหลิงฝึกฝนก็คือวิชาสายปีศาจ หากมีกวางจิตวิญญาณเก้าสีติดตัว ก็สามารถใช้สยบปีศาจได้อย่างดี และก็ยกระดับพลังของตนเองได้อย่างมาก
ส่วนกู่เจวี๋ย แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่เมื่อเผชิญกับอสูรระดับนี้ ใครก็ไม่ยอมให้ตกอยู่ในมือของคนอื่นอย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดหมายกันประลองเพื่อลูกกวางตัวนี้
“ข้าเป็นผู้ดำเนินการประลองในครั้งนี้ตามคำเชิญของพี่กู่ ตามวิธีการที่ทั้งสองนัดหมายไว้ในก่อนหน้า การประลองในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสามรอบ แข่งสามชนะสอง สองในสามรอบนี้ต้องเป็นศิษย์ในสังกัดของทั้งสอง ฝ่ายที่ชนะจะได้กวางจิตวิญญาณตัวนี้ไป ท่านทั้งสองคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ใช่หรือไม่?” อวิ๋นกังก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว และกล่าวออกมา
อินจิ่วหลิงกับกู่เจวี๋ยต่างก็พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี อาตมาจะเริ่มแล้วนะ” อวิ๋นกังประนมมือทั้งสองร่ายคาถาอย่างเงียบๆ แสงสีทองพุ่งออกจากจีวรของเขา ที่แท้มันก็เป็นลูกประคำเส้นหนึ่ง
ภายใต้การกระตุ้นพลังเวทของอวิ๋นกัง ลูกประคำก็ขยายใหญ่หนึ่งหมู่กว่าๆ แสงสีทองพุ่งออกจากลูกประคำ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลรูปวงกลมหลังหนึ่ง อากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อย และได้ยินเสียงสวดมนต์ดังออกมาอยู่รำไร
“ให้ทำการประลองภายในค่ายกล ใครออกนอกวงกลมนี้ก็ถือว่าแพ้” อวิ๋นกังหยุดแสดงวิชาแล้วกล่าวออกมา
“ถ้าอย่างนั้นรอบแรกก็ให้พวกข้าทั้งสองประลองก่อนเถอะ ถือเสียว่าเป็นตัวอย่างให้กับศิษย์ของตนเอง” กู่เจวี๋ยหัวเราะฮ่าๆ เท้าของเขาขยับเล็กน้อย จากนั้นก็หายตัวเข้าไปด้านในค่ายกล
อินจิ่วหลิงเผยแววตาเคร่งขรึมออกมา จากนั้นก็หายวับเข้าไปด้านในเช่นกัน
“สหายทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ทำการประลองเล็กๆ สักรอบก็พอ มิเช่นนั้นค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์ของข้าคงไม่อาจต้านทานได้” อวิ๋นกังเห็นเช่นนี้ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
หากผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ต่อสู้กันด้วยพลังทั้งหมด เทือกเขาในรัศมีร้อยลี้อาจจะกลายเป็นผุยผงได้ และภายใต้สถานการณ์ที่มีพลังพอๆ กัน ก็ใช่ว่าจะรู้แพ้ชนะได้ภายในสองสามกระบวนท่า
“สหายอวิ๋นกังกล่าวได้มีเหตุผล สหายอินวันนี้พวกเราทำการประลองเล็กๆ สักรอบเป็นไง?” กู่เจวี๋ยกล่าว
“สหายกู่มีคำแนะนำดีๆ อย่างไรบ้าง?” อินจิ่วหลิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และถามด้วยสีหน้าสงบ
“ได้ยินมาว่าร้อยกว่าปีก่อน สหายอินปราบมังกรกระดูกระดับผลึกขั้นสุดยอดได้ตัวหนึ่ง ไม่สู้พวกเราใช้อสูรจิตวิญญาณมาประลองกัน เพื่อตัดสินชัยชนะในครั้งนี้ดีหรือไม่?” กู่เจวี๋ยดวงตาเป็นประกาย ในระหว่างที่โบกมือนั้น สุนัขสีเขียวตัวหนึ่งที่สูงจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏออกมาตรงหน้า กลิ่นไอป่าเถื่อนแผ่ออกมาจากตัวของมัน
แม้แต่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่อยู่นอกค่ายกล ก็รับรู้ถึงแรงกดดันจิตวิญญาณที่ทำให้รู้สึกหายใจอึดอัด สุนัขสีเขียวตัวนี้มีพลังแข็งแกร่งมาก มันเป็นปีศาจอสูรระดับผลึกขั้นปลายตัวหนึ่ง
“ที่แท้สหายก็อยากจะประลองอสูร เช่นนี้ก็ดี” อินจิ่วหลิงเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม และตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด
พอกล่าวจบ แขนเสื้อของเขาก็พองขึ้นมา ลูกแสงสีดำขนาดเท่ากำปั้นพุ่งออกจากในนั้น
มีเสียงคำรามดังขึ้น!
มังกรกระดูกสีดำที่ยาวสิบกว่าจั้งพุ่งออกจากลูกแสงในทันที กลิ่นไออันแข็งแกร่งของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสุนัขสีเขียวเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงมองดูคนทั้งสองที่อยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าตื่นเต้น การที่ได้เห็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ต่อสู้กันเช่นนี้ นับว่ามีโอกาสน้อยมาก
ครู่ต่อมา การต่อสู้ภายในค่ายกลก็เริ่มขึ้น
ดูเหมือนว่าสุนัขสีเขียวจะได้รับคำสั่ง หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ร่างของมันก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสีเขียวพุ่งออกไปทันที
อินจิ่วหลิงดวงตาเป็นประกาย พอชี้นิ้วออกไป ดวงตาสีแดงทั้งคู่ของมังกรกระดูกดำที่อยู่ตรงหน้าก็เปล่งประกายอย่างโหดเหี้ยม มันอ้าปากพ่นลำแสงสีดำราวกับหมึกใส่สุนัขสีเขียวโดยตรง
สุนัขสีเขียวก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน มันอ้าปากขนาดใหญ่พ่นเปลวไฟสีเขียวออกมาปะทะกับลำแสงสีดำ
“ตู๊มตาม!”
แสงสีดำกระเด็นไปทั่วทิศ และพากันระเบิดออกมา อานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่ขณะที่คลื่นที่เหลือสั่นสะเทือนมาถึงขอบค่ายกลนั้น ลูกประคำสีทองที่อยู่ด้านล่างก็เปล่งแสงสีทองเป็นประกาย เสียงสวดมนต์ดังขึ้นมา คลื่นของแสงสีดำที่มีลักษณะดุดันในก่อนหน้านั้น หายไปราวกับหิมะละลาย
พอแสงสีดำเปล่งประกาย มังกรกระดูกก็ลากยาวเป็นเส้นสีดำ พริบตาเดียวก็พุ่งมาอยู่เหนือหัวสุนัขสีเขียวโดยไม่คาดคิด กรงเล็บกระดูกอันแหลมคมคว้าไปยังดวงตาทั้งสองของสุนัขสีเขียวอย่างรวดเร็ว
………………………………