ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 62 เครื่องหมายลึกลับ
ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกได้ว่าแรงดึงดูดแปลกประหลาดที่อยู่บนมือได้หายไปแล้ว เขารีบดึงมือทั้งสองออกจากหัวของแมงป่องกระดูกขาวด้วยความดีใจ
แต่ในขณะนั้นเอง ฟองอากาศตรงทะเลจิตวิญญาณค่อยๆ เคลื่อนไหวแล้วแตกกระจายออกมาเองราวกับกระจก
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดัง “หวึ่ง!” ศีรษะหนักอึ้ง ตาทั้งสองมืดลง แล้วก็มาปรากฏตัวกลางห้องว่างเปล่าอันมืดครึ้ม
“นี่คือ…”
สายตาเขากวาดมองรอบด้าน แสดงสีหน้าสับปนเปออกมา
ที่แห่งนี้เป็นห้องว่างเปล่าลึกลับที่เคยขังเขาไว้เมื่อครึ่งปีก่อน
แต่พื้นที่บริเวณนี้ดูเหมือนจะกว้างกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวยี่สิบกว่าจั้งแล้ว
แต่พอสายตาของเขามองไปยังด้านข้างก็ตกใจเป็นอย่างมาก
แมงป่องกระดูกขาวที่ถูกโซ่ตรวนวิญญาณมัดอยู่นั้นอยู่บริเวณใต้เท้าเขา มันทั้งดิ้นเอาชีวิตอยู่ไม่หยุดราวกับว่าฟื้นฟูพลังมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ตนเองเข้ามาที่นี่เพราะเจ้าฟองอากาศนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ทำไมมันถึงมาปรากฏที่นี่พร้อมกับเขาได้…หรือจะเป็นเพราะวิชาสื่อสารจิตวิญญาณที่เขาแสดงในก่อนหน้านั้น?” หลิ่วหมิงคิดวกกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็คงคิดได้แต่แบบนี้
แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะแปลกประหลาดสักเพียงใดก็ตาม เขาย่อมไม่ยอมให้แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ดิ้นหลุดจากโซ่ตรวนวิญญาณได้ เขาเคลื่อนร่างในทันที มือข้างหนึ่งกดลงไปบนหัวของมันอย่างมั่นคง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือส่งเสียงดังขึ้น หัวพยัคฆ์สีเหลืองปรากฏขึ้นมากลางอากาศ คลื่นเสียงจำนวนหนึ่งพ่นออกมา
ถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวจะร้ายกาจสักแค่ไหน แต่เมื่อถูกโจมตีประชั้นชิดเช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเวทนาทันที แต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการผูกมัดของโซ่ตรวนวิญญาณและอักขระบนหัวได้ มันได้แต่ดิ้นไหวไปมาอย่างไม่คิดชีวิต
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ปราณีอะไรแล้ว เขากระตุ้นห่วงเขี้ยวพยัคฆ์อยู่ไม่หยุด คลื่นเสียงถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา แมงป่องกระดูกขาวก็อ่อนแรงลงไปอย่างมาก
หลิ่วหมิงถึงได้ค่อยๆ รู้สึกโล่งใจขึ้นมา หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อย ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เขานั่งขัดสมาธิลงแถวนั้น ปากร่ายคาถากระตุ้นวิชาสื่อสารจิตวิญญาณขึ้นมา
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้จะสามารถทำให้แมงป่องกระดูกขาวยอมศิโรราบได้หรือไม่ แต่ในเมื่อวิชาที่ฝึกมาตอนแรกมันใช้ได้ผลมันก็คุ้มค่าที่จะลองดูสักครั้ง
ไอสีดำม้วนตัวออกจากร่างหลิ่วหมิง อักขระสีเทามากมายไหลพรั่งพรูออกมาแล้วค่อยๆ เข้าไปยังหัวของปีศาจอีกครั้ง
ถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวจะไร้พลัง แต่จิตที่ต่อต้านก็ยังแข็งแกร่ง ยังไม่คิดที่จะยอมศิโรราบเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงรู้ว่าตนเองจะถูกขังอยู่ที่นี่นานซักระยะหนึ่ง ดังนั้นย่อมไม่กังวลกับปัญหาเรื่องเวลา ยิ่งไปกว่านั้นในนี้ยังปลอดภัยกว่าที่ใดๆ ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะมีเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เขาจึงแสดงวิชาอย่างสบายใจ
แต่พอเวลาๆ ค่อยผ่านไป สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา
ครึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงหยุดร่ายคาถาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ และหลับตาพักผ่อนฟื้นฟูพลังเวท
หนึ่งวันผ่านไป เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง แมงป่องกระดูกขาวก็เหมือนจะฟื้นฟูพลังขึ้นมาเล็กน้อย และกำลังเคลื่อนไหวอีกครั้ง
หลิ่วหมิงกระตุกห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ตรงข้อมืออย่างไม่ปราณี และโจมตีลงบนหัวแมงป่องกระดูกขาวอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็แสดงวิชาสื่อสารจิตวิญญาณออกมา
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ !
เวลาที่เหลืออีกหลายวัน ทุกวันเขาจะทรมาณแมงป่องกระดูกขาวสักพักหนึ่งก่อน ตามด้วยแสดงวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ จากนั้นก็นั่งฟื้นฟูพลังเวท วันที่สองก็ทำซ้ำแบบนี้อีกครั้ง
สามวันผ่านไป พลังจิตในการต่อต้านของปีศาจตนนี้ถึงได้มีท่าทีอ่อนลง
มันทำให้เดิมทีที่หลิ่วหมิงคิดว่าไม่มีหวัง มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยเท่า
หลังผ่านการทรมาณต่อเนื่องมานานสองวัน แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ก็ส่งจิตสื่อสารออกมาเพื่อที่จะบอกว่ายอมศิโรราบแล้ว
หลิ่วดีใจเป็นอย่างมาก รีบใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสำแดงต่อจิตของแมงป่องกระดูกขาวรอบหนึ่ง แล้วประทับเครื่องหมายจิตวิญญาณของตนเองไว้ จนแน่ใจว่าสามารถสื่อสารจิตวิญญาณกับปีศาจตนนี้ได้แล้ว ถึงหยุดแสดงเคล็ดวิชาลับ
จากนั้นนิ้วมือนิ้วหนึ่งของเขาแตะลงไปบนร่างแมงป่องกระดูกขาว โซ่ตรวนวิญญาณก็คลายหลุดออกมา และพุ่งกลับไปหาเขา ในขณะเดียวกันอักขระบนหัวของมันก็กะพริบหายไป
แต่แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ถูกทรมานติดต่อกันมาหลายวัน ถึงแม้จะไม่มีอะไรมัดไว้ก็ยังดูเหมือนจะหายใจแขม่วๆ อยู่
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะรู้ว่าผ่านไปอีกไม่กี่วัน เจ้าปีศาจตนนี้ค่อยๆ ฟื้นฟูได้เอง และเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรกับเวลาที่ยังเหลืออยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้
หลายวันก่อน เขาได้เจียดเวลาลองกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำดู แต่ก็ยังคงไม่สามารถเพิ่มพลังเวทได้เลยแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงล้มความตั้งใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ก็คงฝึกได้แค่การใช้วิชาอื่นๆ กับวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ
สำหรับเคล็ดวิชาโซ่ตรวนวิญญาณนี้ ถึงแม้จะฝึกฝนจนสามารถพลิกแพลงใช้งานได้ดั่งใจ แต่ยังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติของวิญญาณ ซึ่งโซ่ตรวนวิญญาณแต่ละเส้นที่หลอมสร้างจากวิญญาณระดับแตกต่างกันจะมีคุณภาพแตกต่างกัน
หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องนี้
ในส่วนของวิชาสื่อสารจิตวิญญาณนั้น ถ้าหากฝึกฝนจนถึงขั้นที่สูงขึ้นก็จะสามารถเพิ่มพลังในการควบคุมและการสื่อสารได้ เมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วก็อาจจะสามารถทำให้ปีศาจระดับแม่ทัพยอมศิโรราบได้
แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดชั่งใจแล้ว ก็ยังไม่คิดที่จะไปฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ เขาตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือฝึกวิชาพื้นฐานง่ายๆ
ด้วยระดับการฝึกฝนในตอนนี้ เขาย่อมสามารถฝึกวิชาแท่งวารี และวิชาขั้นสูงอื่นๆ ได้แล้ว แต่ที่ยังไม่ทำเช่นนี้เป็นเพราะว่า ประการแรกคืออยากจะฝึกวิชาคมวายุ และวิชาอื่นๆ ให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบก่อน ไม่อยากให้มันอยู่แค่ครึ่งๆ กลางเช่นนี้
ประการที่สองคือ วิชาขั้นสูงเหล่านั้นถึงแม้จะมีพลานุภาพอันน่าตกใจ แต่ใช้เวลาในการแสดงนานมาก ทั้งยังเพิ่มระดับความสามารถได้ยากมาก ในตอนนี้เขาคิดว่ามีโอกาสน้อยที่จะได้ใช้วิชาขั้นสูงเหล่านั้น ควรฝึกฝนวิชาพื้นฐานง่ายๆ ให้คล่องมือกว่าเดิมสักหน่อยดีกว่า
แต่ถ้าหากว่ามีเวลาพอ แน่นอนว่าเขาจะเลือกวิชาขั้นสูงสักวิชาสองวิชามาฝึกให้สำเร็จไปจนถึงขั้นที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป ในสถานการณ์บางอย่างวิชาขั้นสูงสามารถสำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มาก
หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนในใจแล้วก็เริ่มต้นใช้เวลาที่เหลือฝึกฝนวิชาคมวายุ
วิชานี้ถูกเขาฝึกฝนจนถึงขั้นสำเร็จแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่ายังมีส่วนที่สามารถเพิ่มได้อีก ทำให้เขายิ่งรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม ถ้าหากว่ายกระดับการฝึกฝนขึ้นไปอีกขั้นวิชาคมวายุนี้จะมีอานุภาพเช่นไร
ไม่นาน แมงป่องกระดูกขาวก็ฟื้นฟูตัวพอที่จะเคลื่อนไหวได้ และช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นอกจากรูขนาดใหญ่ตรงตัวมันแล้วบาดแผลอื่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และตอนที่หลิ่วฝึกฝนวิชาคมวายุ ปีศาจตนนี้ก็หมอบดูอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาพักผ่อน หลิ่วหมิงก็ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสื่อสารกับจิตของแมงป่องกระดูกขาว ทั้งยังฝึกฝนปีศาจตนนี้ให้ประสานกับตัวเองในด้านต่างๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็โดดเด่นมาก ทำให้มันค่อยๆ ฉลาดและแสนรู้ขึ้นมา
ภายใต้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนปีแล้ว
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เขาก็ยังไม่สามารถออกไปจากห้องว่างเปล่านี้ได้
สิ่งนี้นอกจากทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
วิชาคมวายุถูกฝึกฝนจนถึงขั้นที่สามารถปล่อยออกมาได้สิบเส้นภายในไม่กี่ลมหายใจ แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกขาดอะไรไปบางอย่างจึงยังคงฝึกฝนคมวายุอยู่ทุกวันไม่หยุด
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ด้านหนึ่งของห้อง และปล่อยคมวายุใส่ผนังหมอกสีเทาในระยะยี่สิบกว่าจั้ง
ในตอนที่เขายกแขนขึ้นเพื่อที่จะร่ายคาถานั้น อยู่ๆ ศีรษะเขาก็สั่นสะเทือนขึ้นมาในทันที เครื่องหมายแปลกประหลาดที่มีสีเขียวอ่อนเกาะตัวขึ้นมาในจิตของเขา ตามด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในขณะเดียวกันคมวายุในมือสองเส้นก็พุ่งยิงออกไป
นี่ไม่ใช้คมวายุสองเส้นที่เกาะตัวขึ้นแล้วปล่อยออกไปพร้อมกัน แต่มันสามารถปล่อยออกไปได้ภายในพริบตา ทั้งที่ยังไม่ได้ร่ายคาถาออกจากปากเลย
“นี่คือ…”
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง ต่อมาจึงแสดงสีหน้าดีใจสุดขีดออกมา เขายิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปาก แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น เครื่องหมายสีเขียวในสมองก็กะพริบออกมา คมวายุสองเส้นพุ่งออกจากมือไปพร้อมกัน
“ที่แท้ก็ฝึกฝนสำเร็จไปอีกขึ้น สามารถปล่อยคมวายุได้ภายในพริบตา”
หลิ่วหมิงหัวเราะขึ้นมา มือทั้งยกขึ้นมาประกบกัน คมวายุแต่ละเส้นตรงพุ่งดิ่งออกไปต่อๆ กันจนเป็นเส้นตรง แล้วปะทะลงบนกำแพงหมอก ทั้งยังส่งเสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!”
ครู่ต่อมา ยังคงมีรอยยิ้มปรากฏบนปากเขาอยู่ไม่หยุด แต่พอหยุดคมวายุลงฝ่ามือทั้งสองประกบเข้าหากัน แล้วค่อยๆ แยกออกไปยังด้านนอก
เสียงดัง “ฟู่!”
คมวายุยักษ์ขนาดยาวครั้งจั้งก่อตัวขึ้นในทันที
หลิ่วหมิงกระตุกข้อมือ คมวายุยักษ์กลายเป็นแสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็วและดูเหมือนจะรวดเร็วกว่าคมวายุทั่วไปถึงหนึ่งเท่า ราวกับว่าเพิ่งจะปล่อยเส้นที่สองออกไป เส้นแรกก็ฟันเข้าที่บนผนังฝั่งตรงข้ามแล้ว และจากเสียงปะทะที่ดังสะเทือนเลือนลั่นทำให้หมอกเทาค่อยๆ กระจายออกไป
“ที่แท้ ก่อนหน้าที่ข้ายังฝึกไม่สำเร็จเป็นว่ายังฝึกไม่ถึงหัวใจหลักของมันนั่นเอง แต่เจ้าสัญลักษณ์สีเขียวนี่คืออะไรกัน กลับไปต้องไปสอบถามดูสักหน่อยแล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำด้วยความดีใจ
เวลาที่เหลือในอีกหลายวัน เขายังคงฝึกฝนคมวายุต่อ แต่ก็ไม่สามารถยกระดับเพิ่มขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงตัดสินใจเปลี่ยนไปฝึกวิชากระสุนไฟแทน
เมื่อเวลาผ่านไปสี่ถึงห้าเดือน ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ฝึกวิชากระสุนขั้นสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ
ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่ปล่อยกระสุนไฟได้เร็วกว่าเมื่อก่อนเท่านั้น ขนาดของลูกไฟที่ปล่อยออกไปยังดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าตอนฝึกใหม่ๆ เท่าตัว
ถึงแม้ส่วนหนึ่งนั้นจะเกิดจากพลังเวทบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้นก็ตาม แต่กว่าครึ่งหนึ่งในนั้นก็เกิดจากการฝึกวิชากระสุนไฟจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ถึงจะแสดงพลังอานุภาพอันน่าเกรงขามเช่นนี้ออกมาได้
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกดีอกดีใจ และคิดที่จะฝึกฝนวิชานี้ต่อนั้น พลันมีเสียง “หวึ่ง!” ดังขึ้นที่หูทั้งสองข้าง แสงสว่างบังเกิดขึ้นตรงหน้า เขากลับมาสู่ท่ามกลางทะเลทรายสีดำอีกครั้ง
ตอนนี้เขายังนั่งขัดสมาธิอยู่ในวงกลม พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณรอบๆ ยังมีปราณหยินเบาบางที่ยังกระจายไปไม่หมด แม้แต่มือทั้งสองก็ยังวางอยู่หัวแมงป่องกระดูกขาว
ปีศาจตนนี้ยังคงโดนโซ่ตรวนวิญญาณมัดอยู่อย่างแน่นหนา
ที่แท้เขาก็กลับมายังแดนปีศาจปรโลกแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเวลาที่เข้าไปอยู่ห้องว่างเปล่าลึกลับนั้นจะยืดยาวกว่าเดิมหนึ่งเท่า
แต่หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ กลับร่ายคาถาราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจแล้วใช้จิตสื่อสารกับแมงป่องกระดูกขาวทันที
……………………………………….