ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 620 อาชาจิตวิญญาณ
คนอื่นๆ ที่มาพร้อมกับหลิ่วหมิงต่างก็สบตากันทีหนึ่ง และเผยสีหน้าลังเลออกมา
พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนอิสระ สามหมื่นหินจิตวิญญาณนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพวกเขา
“นี่คือสามหมื่นหินจิตวิญญาณ”
หลิ่วหมิงสะบัดข้อมือโยนถุงผ้าเล็กๆ ออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“นับว่าสหายเป็นคนตรงไปตรงมาดี” ชายวัยกลางคนสะบัดแขนเสื้อม้วนเอาถุงผ้าเข้ามา หลังจากกวาดจิตดูด้านในแล้ว ก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
“นี่คือแผ่นจิตวิญญาณจับเวลา สามารถนับเวลาที่อยู่ในทุ่งหญ้าได้ หินจิตวิญญาณนี้เป็นค่าเข้าสำหรับหนึ่งปี หากเกินหนึ่งปีสหายต้องจ่ายเพิ่มในตอนที่ออกมา” ชายวัยกลางคนเก็บถุงผ้าเข้าไป และยื่นแผ่นหยกสีขาวให้หลิ่วหมิงก่อนพูดอธิบายสองสามประโยค
“อะไรนะ? สามหมื่นหินจิตวิญญาณเป็นค่าเข้าแค่ปีเดียว!” เดิมทีชายหนุ่มผมแดงได้ปิดปากเงียบแล้ว แต่ตอนนี้ต้องตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้
คนอื่นๆ ก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ชายฉกรรจ์ที่เคยมาที่นี่มาก่อนกลับขมวดคิ้ว จากนั้นก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ ประจักษ์ชัดว่ารู้กฎข้อนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
ชายวัยกลางคนมองชายหนุ่มผมแดงด้วยสายตาดูถูก และดูเหมือนขี้เกียจจะสนใจแล้ว แต่กลับหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงต่อ
“ดูท่าสหายผู้นี้คงมาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์เป็นครั้งแรก ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะขอเตือนสักประโยค ในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์นี้ ไม่ว่าเจ้าจะมีการฝึกฝนสูงเท่าใด ก็พยายามอย่าได้ขัดแย้งกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านั้น เพราะทุ่งหญ้านี้ก็เป็นของเผ่าปีศาจในสระหมื่นปีครึ่งหนึ่ง หากมีผู้ฝึกฝนเกิดความขัดแย้งกับเผ่าปีศาจ ทางนิกายเราจะไม่ก้าวก่ายเลยแม้แต่น้อย”
“ขอบคุณสหายที่ชี้แนะ!”
หลิ่วหมิงให้ชายวัยกลางคนชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องระวังในทุ่งหญ้าอีกสองสามประโยค จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากบ้านหิน
คนอื่นๆ ยังคงลังเลอยู่ว่าจะชำระค่าเข้าเป็นสามหมื่นหินจิตวิญญาณดีหรือไม่
พอหลิ่วหมิงเดินออกจากบ้านหิน ก็ต้องรู้สึกตกใจกับสภาพแวดล้อมภายนอกเป็นอย่างมาก
ตลาดแห่งนี้เล็กมาก มีถนนสายหลักแค่เส้นเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าแค่มองออกไปก็เห็นปลายทางออกทั้งสองด้านทันที บ้านริมถนนทั้งสองด้าน ก็เป็นบ้านหินที่ก่อสร้างอย่างง่ายๆ ทั้งยังมีช่องลมมากมาย แลดูทรุดโทรมมาก
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี มีคนเดินบนท้องถนนน้อยมาก หลังจากหลิ่วหมิงเดินวนไปได้หนึ่งรอบ ก็ค้นพบว่าแม้ที่นี่จะมีขนาดเล็ก แต่มีสิ่งของครบครัน มีร้านค้าเบ็ดเตล็ด ร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณ ร้านค้ายันต์ แม้กระทั่งยังมีร้านรับซื้อสองแห่ง และร้านค้าแต่ละร้านจะมีผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเป็นเถ้าแก่คอยดูแลอยู่หนึ่งคน
แต่ว่าร้านค้าเหล่านี้มีคนน้อยมาก
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้ว ก็เข้าใจเหตุผลของของมัน
ที่นี่คือทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ เพียงแค่ค่าเข้าก็สามหมื่นหินจิตวิญญาณแล้ว ผู้ที่มาล้วนมีการฝึกฝนระดับของเหลว และส่วนมากก็เป็นผู้ฝึกฝนอิสระด้วย ซึ่งไม่ได้มาเที่ยวเตร่แต่อย่างใด คิดว่าตอนนี้คงไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าแล้ว
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น หลิ่วหมิงก็ก้าวเข้าไปในร้านสินค้าเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง
“ที่นี่มีแผนที่ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ขายหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามออกไปตามตรง
“มี แต่ว่าแผนที่ของที่นี่แบ่งเป็นสามแบบ แบบหยาบๆ แบบธรรมดา และแบบละเอียด ซึ่งราคาก็แตกต่างกันด้วย” ดูเหมือนว่าเถ้าแก่วัยกลางคนที่ดูเฉลียวฉลาด จะมีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง
“มีแบ่งประเภทด้วยหรือ มีราคาอะไรบ้าง?” หลิ่วหมิงถามด้วยใจที่เต้นเล็กน้อย
“แผนที่แบบหยาบๆ บันทึกแค่ถนนสายสำคัญกับซากวัตถุโบราณแค่ไม่กี่แห่ง แผนที่ธรรมดาก็เพิ่มเนื้อหาขึ้นมาอีกไม่น้อย ส่วนแผนที่แบบละเอียดนั้น ไม่เพียงแต่จะทำเครื่องหมายจำนวนมากไว้บนสถานที่อันตรายเท่านั้น แม้แต่ฐานที่มั่นของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่งก็มีอยู่ด้วย ซึ่งผู้ฝึกฝนรุ่นก่อนๆ เสี่ยงอันตรายสำรวจมา แผนที่แบบหยาบๆ ห้าร้อยหินจิตวิญญาณ แบบธรรมดาหนึ่งพัน แบบละเอียดก็ห้าพัน” เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่วัยกลางคนไม่ได้อธิบายเป็นครั้งแรก ซึ่งสามารถพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ
“แผนที่นี้ราคาไม่ธรรมดาจริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ขอผู้อาวุโสอย่าได้เข้าใจผิด ร้านค้าในตลาดนี้ทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยนิกายขวานทองคำ ก็ขายแผนที่ราคาเดียวกันหมด” เถ้าแก่วัยกลางคนรีบอธิบายออกมา
“เอาแบบละเอียดมาชุดหนึ่งเถอะ!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวออกมา ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อโยนถุงหินจิตวิญญาณเล็กๆ ออกไป
ก่อนออกเดินทาง เขาได้ทำความเข้าใจมาแล้ว ทำให้รู้ว่าพื้นที่ของทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์กว้างขวางมาก ซึ่งในนั้นมีสถานที่อันตรายอยู่ไม่น้อย ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวก็ไม่อาจประมาทได้ อีกอย่างภายในทุ่งหญ้าก็มีฐานที่มั่นของเผ่าปีศาจอยู่มาก ซึ่งเป็นศัตรูกับมนุษย์ผู้ฝึกฝนไม่น้อย
สำหรับเขาในตอนนี้ แผนที่อย่างละเอียดหนึ่งฉบับเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ
เถ้าแก่วัยกลางคนยื่นมือรับถุงหินจิตวิญญาณมา หลังจากปล่อยจิตสำรวจดูเล็กน้อยแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ และหยิบแผ่นหยกสีฟ้าสลัวๆ จากชั้นไม้มายื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงนำแผ่นหยกแปะไว้บนหน้าผาก หลังจากใช้จิตสำรวจดูเล็กน้อยแล้ว ก็ค้นพบว่ามันเป็นแผนที่แบบละเอียดจริงๆ นอกจากที่เถ้าแก่กล่าวไว้ในก่อนหน้านั้นแล้ว ยังมีทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ส่วนใน และตำแหน่งของตลาดเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่ทำสัญลักษณ์ไว้อย่างละเอียดด้วย
หลิ่วหมิงพยักหน้าและเก็บแผ่นหยกเข้าไปในแหวนย่อส่วน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากร้าน
ต่อมาเขาก็ไม่ได้อยู่ในตลาดต่อ แต่กลับขี่เมฆไปยังเมืองโบราณเทียนเหย่ที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่
หลังจากหลิ่วหมิงไปจากตลาดได้ไม่นาน ก็มีเงาร่างของชายหนุ่มหน้าซื่อจากนิกายเทียนกงมาปรากฏตัวบนถนนของตลาดเล็กๆ อีกแห่ง ที่ถูกควบคุมโดยนิกายขวานทองคำ
หลังจากเขาเดินไปในร้านค้าสองสามร้าน ก็มีแผ่นหยกสีฟ้าเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พอปล่อยจิตกวาดดูเล็กน้อย ร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองก่อนพุ่งไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้า
สองวันต่อมา อีกด้านหนึ่งของทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ หลังจากมีแสงเปล่งประกายบนค่ายกลส่งตัวในตลาดบางแห่งที่สังกัดสระหมื่นปี ชายหนุ่มใบหน้าซีดขาวก็เดินออกมา
คนผู้นี้สวมชุดสีเลือด ใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเลือดจางๆ แลดูชั่วร้าย
คนผู้นี้ค่อยๆ เดินไปบนท้องถนน และหยุดฝีเท้าลงด้วยใบหน้าครุ่นคิด
ผ่านไปสักพัก คนผู้นี้ก็เดินตรงเข้าไปในร้านข้างถนนแห่งหนึ่ง
พอเขาเดินเข้าไปไม่นาน ประตูร้านก็ปิดลง
……
เหนือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ หลิ่วหมิงในชุดคลุมสีเขียวกำลังขี่เมฆดำก้อนหนึ่งห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่กล้าเหาะต่ำมากนัก
ที่ได้ชื่อว่าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าให้กำเนิดอาชาจิตวิญญาณ อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะว่า เมื่อมองภาพรวมของทุ่งหญ้าแล้ว มันมีรูปร่างคล้ายกับกีบม้า
ดินแดนในทุ่งหญ้าเป็นที่ราบ มีเนินตะปุ่มตะป่ำน้อยมาก พื้นดินปกคลุมหนาแน่นด้วยต้นหญ้าขนาดยักษ์สูงถึงครึ่งจั้ง ทุกครั้งที่มีลมพัดแรงก็จะเกิดก่อให้เกิดภาพที่ดูคล้ายกับคลื่นน้ำ ดูสง่างามเป็นอย่างมาก
แม้ว่าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์จะมีปีศาจอสูรโหดเหี้ยมไม่มากนัก แต่ภายในต้นหญ้าเหล่านี้ สามารถซ่อนคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่อาจปล่อยจิตไปสำรวจบริเวณรอบๆ ได้ตลอดเวลา
เมื่อเขาเหาะไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะนำแผ่นหยกที่ซื้อออกมาดู เพื่อเทียบกับเครื่องหมายที่แสดงอยู่บนนั้น จะได้ไม่ไปผิดทาง
ในระหว่างทาง เขามักจะพบกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่ง ซึ่งหากหลบได้ก็จะหลบ และพยายามไม่เจอหน้ากับคนอื่นๆ
ขณะนั้นเอง มีเสียงโครมครามดังมาจากขอบฟ้าตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วและหยุดเมฆดำทันที จากนั้นก็ปล่อยจิตออกไปสำรวจตรงหน้า
ท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้าที่ห่างออกไปตรงหน้าร้อยกว่าจั้ง ไอหมอกสีขาวสลัวๆ กำลังพวยพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงดังโครมคราม
ด้านหลังไอหมอกขาว มีแสงหลบหลีกสองลำกำลังตามติดมาอยู่ และมีเสียงร้องของคนดังเข้ามาอย่างรำไร
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง กลับค้นพบว่าท่ามกลางไอหมอกขาวที่ม้วนเข้ามา มีอาชาพันธุ์ดีหลายตัวที่สูงครึ่งจั้ง และมีผิวขาวสะอาดราวกับก้อนเมฆ กำลังเหยียบเมฆพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“ที่แท้ก็เป็นอาชาจิตวิญญาณ” ตั้งแต่หลิ่วหมิงมาถึงทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ได้ครึ่งค่อนวัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูปร่างของอาชาจิตวิญญาณ ดูจากภายนอกแล้วมันสง่างามเป็นพิเศษ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อาชาทั่วไปจะสามารถเทียบได้
อาชาจิตวิญญาณตัวเต็มวัยที่ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ให้กำเนิดมานี้ มีราคาในตลาดภายนอกมากกว่าหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ สำหรับคนจำนวนมากแล้ว นี่เป็นหินจิตวิญญาณจำนวนมากเลยทีเดียว
แม้อาชาจิตวิญญาณชนิดนี้จะเป็นแค่อสูรจิตวิญญาณระดับต่ำ แต่ความเร็วของมันไม่อาจดูถูกได้ ดูเหมือนว่าจะเทียบเท่ากับความเร็วของอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาระดับกลางด้วย หากได้รับการเลี้ยงดูที่ดี และป้อนพืชจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งล่ะก็ ความเร็วของมันยังจะสามารถเพิ่มขึ้นมาได้มาก
นอกจากนี้แล้ว ว่ากันว่ายังมีอาชาจิตวิญญาณกลายพันธุ์ที่พบเจอได้น้อยมาก ความเร็วใกล้เคียงกับอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหา แต่นี่กลับเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากมาก
ในระหว่างที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น แสงหลบหลีกสองลำตรงด้านหลัง ก็เข้าใกล้ไอหมอกขาวตรงหน้าแล้ว
ลำแสงหลบหลีกสีทองเพิ่มความเร็วขึ้นมาทันที พริบตาเดียวเดียวก็ไล่ตามทัน และอ้อมไปขวางอยู่ตรงหน้าไอหมอกสีขาว
แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากแสงหลบหลีกสีทอง พอมีเสียงดัง “ฟู่!” มันก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีทองปกคลุมไปยังอาชาจิตวิญญาณ
“ฮี้ๆ!……”
อาชาจิตวิญญาณเหล่านี้มีพลังราวๆ ระดับศิษย์จิตวิญญาณขึ้นกลาง มีสติปัญญาไม่เบา พอเห็นว่าแสงสีทองปกคลุมเข้ามา มันก็วิ่งกระจายไปทั่วทิศทันที
ภายใต้การรัดตัวของตาข่ายยักษ์ กลับปกคลุมอาชาจิตวิญญาณได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น และอีกสามตัวกลับถือโอกาสหลบหนีไปแล้ว
ขณะนั้นเอง มีเงาร่างหลายเงาพุ่งขึ้นมาจากต้นหญ้าเขียวชอุ่มในบริเวณใกล้เคียง และขวางอยู่ตรงหน้า “ฟู่!” “ฟู่!” พอค่อยๆ ยกแขนขึ้น ไอหมอกสีเทาที่ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นก็ม้วนตัวออกมา
อาชาจิตวิญญาณตัวหนึ่งวิ่งเร็วเกินไป จึงชนใส่หมอกสีเทาอย่างจัง ร่างของมันชะงักลงเล็กน้อย การเคลื่อนไหวช้าลง ไม่นานก็อ่อนยวบยาบอยู่บนพื้นหญ้า
“ไอหอมวิญญาณลวงตา ช่างมีราคาไม่เบาจริงๆ” หลิ่วหมิงหยุดเมฆดำลงนานแล้ว พอเห็นฉากเช่นนี้ก็ทำจมูกฟุดฟิดสองที และพูดพึมพำอย่างอดไม่ได้
ภายใต้สถานการณ์ที่อาชาสวรรค์ไม่ได้รับบาดเจ็บ ถึงจะขายได้ราคาดี การใช้ตาข่ายหรือไอหอมเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
………………………………