ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 623 เข้าไปในซากโบราณ
ไม่นาน นอกม่านแสงบริเวณอื่นๆ ก็มีเสียงต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา ยังไม่ทันเข้าไปในซากวัตถุโบราณของเผ่าปีศาจ ผู้ฝึกฝนสายปีศาจเหล่านี้ก็ต่อสู้กันเพื่อแย่งดูดซับไอปีศาจแล้ว
ผู้ฝึกฝนที่มีพลังค่อนข้างแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งพากันเปิดม่านแสงกับลูกน้อง และบุกเข้าไปด้านใน
ในบรรดาผู้ฝึกฝนเหล่านี้ บ้างก็เป็นผู้ฝึกฝนสายปีศาจที่บุกเข้าซากวัตถุโบราณเพื่อดูดซับไอปีศาจ บ้างก็มาเพื่อสมบัติที่ถูกทิ้งอยู่ในซากวัตถุโบราณ และก็มีจำนวนหนึ่งที่ตั้งใจมาฆ่าคนเพื่อชิงสิ่งของ
ชั่วขณะนั้น ด้านนอกซากวัตถุโบราณของเผ่าปีศาจก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมา มีการต่อสู้กันอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกใจกับภาพตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย หลังจากสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็เตรียมจะไปหาจุดที่ไม่มีคนเพื่อเปิดชั้นจำกัด และจะได้ดูดซับไอปีศาจ
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงหลัวโหวดังขึ้นข้างหู
“ไอปีศาจที่อยู่บริเวณรอบๆ เหล่านี้ เป็นแค่ไอปีศาจธรรมดาเท่านั้น ไม่มีไอปีศาจแท้แต่อย่างใด เจ้าก็ไม่ได้ฝึกฝนพลังปีศาจ ดูดซับไปก็ไม่มีประโยชน์ ไอปีศาจแท้คงจะถูกผนึกอยู่ในส่วนลึกของซากโบราณ ข้ารับรู้ได้อย่างลางๆ เจ้าเข้าไปใจกลางด้านในก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้! ในเมื่อผู้อาวุโสกล่าวเช่นนี้ จะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หลังจากตอบกลับด้วยจิตไปหนึ่งประโยคแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ และกระบี่เล็กสีเขียวก็ลอยอยู่ตรงหน้าในทันที
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”
พอเขาตะโกนเสียงต่ำออกมา กระบี่เล็กสีเขียวก็เปล่งแสงในทันที แสงกระบี่แต่ละลำม้วนร่างเขาไว้ และกลายเป็นสายรุ้งยาวอันน่าตกใจฟันเข้าใส่ม่านแสงแวววาวตรงหน้า
“ตู๊ม!”
ภายใต้การโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของสายรุ้งสีเขียว ม่านแสงแวววาวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
หลิ่วหมิงขี่แสงกระบี่ตรงดิ่งเข้าไปด้านในภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียว
ขณะที่หลิ่วหมิงเข้าไปในซากโบราณได้ไม่นาน แสงหลบหลีกสีดำก็มาปรากฏตัวในตำแหน่งที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ เผยให้เห็นร่างของหญิงงดงามที่สวมชุดกระโปรงสีดำ ซึ่งก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง
นางจ้องมองรอยโหว่ของชั้นจำกัดที่หลิ่วหมิงใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งทะลวงเข้าไป และเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งเข้าไปด้านใน
……
อีกด้านหนึ่งที่อยู่นอกม่านแสง ภายในระยะไม่กี่สิบจั้ง จะมองเห็นศพนอนอยู่บนพื้นหนึ่งถึงสองศพเป็นระยะๆ
ศพเหล่านี้ต่างก็มีใบหน้าซีดขาว ไร้ซึ่งโลหิตและลมปราณใดๆ ร่างกายเหี่ยวเฉาราวกับถูกบีบจนแห้ง
“ฟิ้ว!” มีศพแห้งเหี่ยวถูกโยนออกจากกลุ่มหมอกโลหิตที่อยู่ไม่ไกล
“คุณชาย ผู้ฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ถูกกำจัดไปพอประมาณแล้ว” พอมีเงาดำเปล่งประกาย ชายชุดดำที่หน้าเหมือนโจรก็ปรากฏตัวบริเวณหมอกโลหิต และรายงานอย่างนอบน้อม
“สิ่งที่ปะปนอยู่ในร่างของผู้ฝึกฝนสายปีศาจเหล่านี้ ล้วนเป็นไอปีศาจขุ่นๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก” หลังจากทะเลโลหิตพวยพุ่งอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ถูกเก็บไป เผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดสีแดง ซึ่งก็คือราชาโลหิตนั่นเอง
เขาใช้พลังสายโลหิตสูบโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ฝึกฝนสายปีศาจสิบกว่าคน จากนั้นใบหน้าซีดขาวของเขาก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมา
“พวกเจ้าสองสามคนรออยู่ด้านนอกสักครึ่งชั่วยาม ดูว่ามีปลาหลุดออกจากแหหรือไม่ ที่เหลือตามข้าเข้าไปในซากโบราณ” ราชาโลหิตกวาดสายตามองซากโบราณอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง และแลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างก่อนสั่งออกมา
จากนั้นแสงสีเลือดก็เปล่งประกายบนตัวราชาโลหิต และกลายเป็นแสงสีแดงแวววาว “ฟู่!” ม่านแสงตรงหน้าเปิดออกมา ภายใต้แสงที่เปล่งประกาย เขาก็เข้าไปในซากโบราณอย่างรวดเร็ว
ขณะที่มีเสียงดังตรงด้านหลังของเขา ชายชุดดำหลายคนที่ถูกเขาดึงเป็นพวก ก็ค่อยๆ พากันตามเข้าไป
……
หลิ่วหมิงพุ่งไปมาในซากโบราณอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย
พอเขาเข้าไปด้านในซากโบราณ ก็พุ่งไปยังใจกลางโดยไม่คิดจะหยุดพัก ชั้นจำกัดขัดขวางที่พบเจอกับระหว่างทาง ถูกเขาใช้กระบี่ทำลายเพื่อจะได้ประหยัดเวลา
ขณะนี้ เขาเข้าไปในซากโบราณเป็นเวลาหนึ่งมื้อข้าวแล้ว
“ระวังด้านหน้า!”
ขณะที่เขาทะลุผ่านวังเล็กๆ หลังหนึ่ง จนมาถึงระเบียงทางเดินอันเปล่าเปลี่ยวนั้น พลันมีเสียงหลัวโหวเตือนเข้ามาในหู
เมฆใต้เท้าหลิ่วหมิงหยุดชะงักทันที และเขาก็เขม้นตาจ้องมองไปด้านหน้า
ที่นั่นมีค่ายกลแปลกประหลาดที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ประทับอยู่หลังหนึ่ง
ใจกลางค่ายกล มีแค่อักขระปีศาจสีม่วงแปลกประหลาดตัวหนึ่งเท่านั้น รอบด้านของมันเป็นลวดลายจิตวิญญาณสีเทาจางๆ จำนวนหนึ่ง หากไม่หาอย่างละเอียด ก็ไม่อาจค้นพบตำแหน่งของค่ายกลนี้ได้
“นี่คือ……” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นี่คือหนึ่งในค่ายกลปิดผนึกที่เผ่าปีศาจบรรพกาลทิ้งไว้ แม้จะบอกว่ามันชำรุดไปมาก แต่สามารถจัดการกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวอย่างเจ้าได้เหลือเฟือ ต่อให้พลังของเจ้าจะแข็งแกร่งว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันไม่น้อย แต่หากถูกขังอยู่ในค่ายกลนี้ และมีเวลาไม่ถึงสองชั่วยามล่ะก็ ไม่อาจทำลายค่ากลเพื่อออกมาได้” หลัวโหวอธิบายอย่างราบเรียบ ประจักษ์ชัดว่าเมื่อเผชิญกับแรงกดดันในการทำลายผนึกของกรงขัง เขาก็ไม่ลังเลที่จะชี้แนะ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วตอบกลับไป ขณะเดียวกันก็กระตุ้นเคล็ดวิชา และเดินอ้อมค่ายกลไป เพื่อเดินทางไปข้างหน้าต่อ
การเดินทางหลังจากนี้ มีหลัวโหวคอยเตือนจนสามารถหลบหลีกกับดักชั้นจำกัดหลายแห่งที่เผ่าปีศาจในสมัยบรรพกาลได้ทิ้งไว้ ไม่นานก็มาถึงหน้าทางเข้าพระราชวังที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเร้นลับ หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายครั้ง ก็เข้าไปในห้องลับแคบยาวหลังหนึ่งที่มีขนาดแค่สิบกว่าจั้ง
เพดานสีเทาด้านบนมีผลึกหินสีเทาฝังอยู่ และมันก็เปล่งแสงทรงกลดสีขาวจางๆ ออกมา ทำให้ห้องลับสว่างไสว
ผนังทั้งสี่ด้านก่อตัวขึ้นจากก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีแค่ทางเข้า แต่ไม่ทีทางออกอื่นอีก
ตรงส่วนท้ายของห้องลับ กลับมีเสาหินที่ดูโบราณและเรียบง่ายอยู่ต้นหนึ่ง บนเสาหินมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงประทับอยู่อย่างหนาแน่น
“ผู้อาวุโสหลัว ท่านแน่ใจว่าที่นี่มีไอปีศาจแท้หรือ?” หลิ่วหมิงมองดูห้องลับ และถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“วางใจเถอะ! ในเมื่อข้าให้เจ้ามาที่นี่ ข้าย่อมรับรู้ถึงการมีอยู่ของไอปีศาจแท้แล้ว จะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน” หลัวโหวตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
หลิ่วหมิงพยักหน้าและสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่กำลังจะเดินไปสำรวจดูตรงหน้านั้น พลันมีเสียงดังมาจากเสาหินตรงด้านหลัง เงาสีเทาเงาหนึ่งหายวับออกมา ที่แท้มันก็เป็นอสรพิษยักษ์สีเทาตัวหนึ่งนั่นเอง
อสรพิษยักษ์ยาวสามสิบสี่จั้ง ร่างของมันแห้งเหี่ยวเป็นพิเศษ มีลวดลายจิตวิญญาณสีดำปกคลุมเต็มตัว มันหมุนตัวหนึ่งรอบและจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างไม่ละสายตา มีเพียงแค่เปลวไฟสีเขียวสองจุดเปล่งประกายอยู่ในดวงตา
“ศพอสรพิษ”
พอหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อสรพิษตัวนี้คงเป็นผู้พิทักษ์ที่กลายร่างมาจากกระดูกของปีศาจอสูรที่เผ่าปีศาจในสมัยบรรพกาลได้ทิ้งไว้ ตอนนี้ผ่านการบ่มเพาะของไอปีศาจมานับร้อยนับพันปี จึงกลายเป็นอสูรศพปีศาจตัวหนึ่ง ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ แม้ว่าจะรับมือได้ไม่ยาก แต่สิ้นเปลืองเวลาเกินไป เจ้าเจาะทะลวงผนังหินทางด้านขวาของห้องลับ ก็เข้าถึงสถานที่ที่มีไอปีศาจแท้อยู่แล้ว” น้ำเสียงเยือกเย็นของหลัวโหวดังเข้ามาอีกครั้ง
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ศพอสรพิษตรงหน้ากลับหมุนวนบนพื้นหนึ่งรอบ และอ้าปากพ่นเปลวไฟสีดำใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาเงาสามส่วนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากไอดำบนตัวพวยพุ่ง ก็มีเงาร่างเงาหนึ่งพุ่งออกไปรับมือกับอสรพิษยักษ์ และเขาก็แตะปลายเท้าลงพื้นด้านข้างก่อนพุ่งไปยังผนังหินทางด้านขวา ขณะเดียวกัน นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ชี้ไปยังผนังหินทางด้านขวา ปราณกระบี่รูปเกลียวพุ่งออกไปในพริบตา
“ตู๊ม!” มีเสียงดังเข้ามา ผนังหินทางด้านขวาเกิดเป็นโพรงขนาดจั้งกว่าๆ หลังจากหลิ่วหมิงบิดตัว ก็กลายเป็นเงาดำกระพริบผ่านโพรงนี้ไป จากนั้นก็มาถึงห้องโถงอีกแห่งที่ค่อนข้างกว้างขวาง
พอเขาร่อนลงพื้น ก็หมุนตัวปล่อยปราณกระบี่ออกไปสองสามสายในทันที “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
ก้อนหินขนาดใหญ่บนผนังถูกปราณกระบี่โจมตีจนค่อยๆ ร่วงลงมา และปิดตายโพรงเมื่อครู่ไว้
ครู่ต่อมา มีเสียงโจมตีดัง “ตู๊มๆ!” อยู่ด้านนอกกองหิน ประจักษ์ชัดว่ามันเป็นการกระทำของปีศาจอสรพิษตัวนั้น
หลิ่วหมิงมองดูกองหินทีหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปยังส่วนลึกของห้องโถงอย่างรวดเร็ว
……
บนพื้นว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านนอกซากโบราณ มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้งกำลังยืนอยู่ที่นั่น บนไหล่ของมนุษย์ทองแดงยักษ์มีชายหนุ่มรูปร่างเหมือนชาวนายืนอยู่บนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ซึ่งเขาก็คือเผิงเยวี่ยนั่นเอง
เป็นเพราะว่าเผชิญกับเรื่องราวบางอย่างในระหว่างทาง เขาจึงล่าช้าไปชั่วขณะ ทำให้มาไม่ทันตอนที่ซากโบราณปรากฏออกมา
เมื่อเขามาถึงบริเวณนี้ พื้นดินนอกซากโบราณก็กลายเป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว และยังมีซากศพที่มีสภาพไม่สมบูรณ์นอนอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก
ยันต์เก็บของบนตัวคนเหล่านี้ต่างก็ถูกปล้นไปจนหมดสิ้น และโลหิตบนตัวก็ถูกดูดไปจนเกลี้ยง
ตรงใต้เท้ามนุษย์ทองแดงยักษ์ คนชุดดำสองคนที่คิดจะลอบโจมตีเผิงเยวี่ยในก่อนหน้า ได้ถูกมนุษย์ทองแดงยักษ์สังหารอย่างง่ายดาย และถูกเหยียบจนกลายเป็นเนื้อเหลวๆ ไปแล้ว
เผิงเยวี่ยคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระตุ้นพลังอย่างไม่ลังเล มนุษย์ทองแดงยักษ์ตรงใต้เท้า ก้าวไปด้านหน้าด้วยเสียงที่ดังโครมคราม พอสะบัดแขนข้างหนึ่ง เงากำปั้นจำนวนมากก็โจมตีม่านแสงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากเกิดเสียงดังติดต่อกัน ม่านแสงแวววาวก็ถูกเงากำปั้นโจมตีจนแตกกระจาย ก่อให้เกิดช่องโหว่ขนาดสิบกว่าจั้ง
เผิงเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็ขี่มนุษย์ทองแดงยักษ์เข้าไปด้านในทันที และพุ่งไปยังส่วนลึกของซากโบราณ
……
ภายใต้การชี้นำของหลัวโหว ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงห้องโถงที่เต็มไปด้วยกระดูกของวิหคไม่ทราบชื่อ
ห้องโถงแห่งนี้มีขนาดใหญ่หลายหมู่ ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินจางๆ ประทับอยู่บนผนังสีดำทั้งสี่ด้าน และใจกลางของห้องโถงก็เป็นแท่นบูชาสีดำที่สูงสามจั้งกว่า มีแสงทรงกลดลึกลับสีดำเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว
ทั้งสี่ด้านของแท่นบูชาต่างก็มีเสาหินสีดำที่สูงกว่าแท่นบูชาตั้งอยู่ มีภาพอสูรแปลกประหลาดหลายตัวที่มีรูปร่างคล้ายค้างคาวยักษ์สลักอยู่บนเสาหิน ส่วนบนของเสาแต่ละต้นยังมีผลึกหินสีดำขนาดเท่ากำปั้นฝังอยู่หนึ่งก้อน
พื้นบริเวณรอบๆ แท่นบูชาก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงกลมๆ สลักอยู่ และจัดเรียงคล้ายกับภาพค่ายกลลางๆ คงจะเป็นผนึกบางอย่าง
“ไม่ผิด! ไอปีศาจแท้อยู่ในแท่นบูชานี้แหละ แม้ว่ากลิ่นไอของมันจะไม่เล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่สามารถบดบังการรับรู้ของข้าได้” มีน้ำเสียงราบเรียบของหลัวโหวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หลิ่วหมิงได้ยินก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และสังเกตดูแท่นบูชาสีดำตรงหน้าอย่างละเอียด
………………………………