ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 627 สู้กับราชาโลหิตอีกครั้ง
“เพล้ง!”
พอสายรุ้งสีเขียวพุ่งผ่านไป ก็ถูกแสงสีดำสองลำโจมตีจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่เล็กสีเขียวอยู่ในมือ สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเล็กน้อย
เซียนหงส์ดำที่ถูกขังอยู่ในตาข่ายสีทอง กลับทำให้ปีกทั้งสองกลายเป็นแขนในช่วงเวลาสำคัญได้ พริบตาเดียวก็นำดาบสั้นสีดำทั้งสองออกมาอีกครั้ง และใช้มันรับการโจมตีของหลิ่วหมิงโดยตรง
แต่ภายใต้การโจมตีของวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ทำให้ร่างอรชรและตาข่ายสีทองบนตัวพุ่งถอยออกไปทันที และกระแทกใส่เสาหินขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังอย่างรุนแรงจนกระอักเลือดออกมา
สีหน้าหลิ่วหมิงดูเด็ดขาดขึ้นมา ขณะที่สะบัดกระบี่เล็กสีเขียวในมือ เพื่อแสดงวิชาขี่กระบี่อีกครั้งนั้น พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ตาข่ายสีทองที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วงแตกกระจายเป็นจุดๆ ขณะเดียวกัน เปลวเพลิงสีดำก็พวยพุ่งออกมา
“ฟัน!”
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที กระบี่เล็กสีเขียวหลุดจากมือ จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวที่ยาวเจ็ดแปดจั้งท่ามกลางเสียงดังกังวาน และม้วนตัวออกไปราวกับสายฟ้าแลบ!
ขณะที่การโจมตีนี้ของหลิ่วหมิงสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น เซียนหงส์ดำที่กำลังร่วงลงมาก็เบิกตาโพลงและส่งเสียงดังกังวานออกมา
“ฟู่!”
เปลวเพลิงสีดำพวยพุ่งออกจากร่างของนางอย่างบ้าคลั่ง หลังจากหมุนติ้วๆ แล้วก็ก่อตัวเป็นเงาร่างวิหคเพลิงสีดำในตำนาน และห่อหุ้มร่างของนางไว้ จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีทองขนาดเท่าปากชามออกมา
“เพล้ง!”
แสงกระบี่สีเขียวถูกเปลวเพลิงโจมตีจนกลายเป็นกระบี่เล็กอีกครั้ง และแสงบนตัวก็ดับมืดลงก่อนร่วงลงพื้น
ขณะเดียวกัน เงาร่างของวิหคเพลิงสีดำก็กระพือปีกทั้งสองอย่างรุนแรง และพร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ตู๊ม!”
ผนังด้านหนึ่งภายในห้องโถงถูกอะไรบางอย่างเจาะทะลุ ทิ้งไว้เพียงรูขนาดใหญ่หลายจั้ง ตรงขอบของมันยังมีเปลวไฟสีดำลุกไหม้อยู่
ขณะนี้ มีเสียงราวกับกัดฟันพูดของเซียนหงส์ดำดังมาจากที่ไกลแสนไกล
“สหายมีพลังมหัศจรรย์มาก ครั้งนี้ข้ายอมพ่ายแพ้แต่โดยดี แต่หากได้พบกันอีกครั้ง จะต้องขอคำชี้แนะจากท่านอย่างแน่นอน”
จากนั้นเสียงของเซียนหงส์ดำก็หายไปทันที
และนางผู้นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมลง เขาเก็บกระบี่เล็กสีเขียวกลางอากาศกลับมา หลังจากตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
กระบี่เล่มนี้แค่สูญเสียพลังจิตวิญญาณเพียงเล็กน้อย และไม่ได้เสียหายมากนัก
ขณะที่เขาเก็บกระบี่เล็กเข้าไป และกำลังจะกลับไปดูดซับไอปีศาจแท้บนแท่นบูชาต่อนั้น พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูทางเข้าที่อยู่ไม่ไกล มีคนสองคนเดินเข้ามา แต่พอเห็นร่องรอยการต่อสู้อย่างรุนแรง ก็รู้สึกตกใจมาก
หนึ่งในนั้นเป็นชายชุดคลุมสีเทา อีกคนสวมชุดสีดำทั้งตัว ทั้งสองกวาดสายตามองดูภายในห้อง และหยุดลงบนตัวหลิ่วหมิงพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็มีสีหน้าลังเลขึ้นมา
หลังจากหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าทั้งสองมีระดับการฝึกฝนกับกลิ่นไอด้อยกว่าหลายคนในก่อนหน้ามาก ดังนั้นเขาจึงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอหมอกสีดำม้วนตัวออกมาสองสาย
“นายท่าน” หลังจากไอดำม้วนตัวออกมาแล้ว แมงป่องกระดูกสีเงินขนาดเล็ก ก็ร่วงลงบนไหล่ของเขา มันโบกสะบัดก้ามยักษ์ทั้งคู่ และส่งเสียงอ่อนนุ่มราวกับเสียงของเด็กสาว
หลังจากไอดำอีกสายม้วนตัวออกมา มันก็ควบแน่นเป็นหัวบิน ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออก แลดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ อสูรเลี้ยงสองตัวไม่ได้ถูกเรียกมาต่อสู้กับศัตรูเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ตอนนี้มีโอกาสได้ออกมา ย่อมรู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้
“พวกเจ้าทั้งสองรีบจัดการสองคนนั้นให้เร็วที่สุดเถอะ!” หลิ่วหมิงสั่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปยังผนึกโดยไม่หันหน้ากลับมาอีกเลย
แมงป่องกระดูกกับหัวบินรับปากทันที จากนั้นตัวหนึ่งก็กระโจนออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะแปลกประหลาด อีกตัวก็กลายเป็นเงาร่างพุ่งยิงออกไป
พริบตาเดียว อสูรทั้งสองก็ต่อสู้กับคนทั้งสองที่เพิ่งมาใหม่
พอหลิ่วหมิงเดินไปถึงขอบค่ายกล ก็หยิบโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมารับประทาน ฟองอากาศลึกลับที่หายตัวไปในตอนต่อสู้อย่างดุเดือด ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ไอปีศาจแท้ที่พุ่งออกจากผนึกค่อยๆ จมเข้าไปในร่างของเขา
บริเวณทางเข้า แมงป่องกระดูกขยายร่างใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่งรอบตัว พอสะบัดหางตะขอ เงาตะขอจำนวนมากก็ปรากฏออกมา และอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีม่วงออกไปจำนวนมาก
ไม่รู้ว่าชายชุดดำตรงหน้าถือพัดขนวิหคตั้งแต่เมื่อใด และมันก็พัดพายุบ้าระห่ำสีดำออกไปหลายลูก
เกิดเสียงระเบิดดังรอบด้านในทันที ภายใต้การม้วนตัวของพายุบ้าระห่ำสีดำ มันก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา
แมงป่องกระดูกบิดตัวจมหายไปใต้พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง และยังใช้ก้ามยักษ์ทั้งคู่ลอบโจมตีคู่ต่อสู้ไม่หยุด
ชั่วขณะนั้น ชายชุดดำก็รู้สึกหมดแรงที่จะรับมือเล็กน้อยแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าหัวบินจะไม่สงวนท่าทีเลยแม้แต่น้อย หลังจากไอดำบนตัวพวยพุ่ง มันก็กลายเป็นแบ่งร่างออกมาเป็นเก้าร่าง พอสะบัดผมยาวสีเขียว มันก็กลายเป็นเข็มแหลมสีเขียวจำนวนมาก และพุ่งไปทางชายชุดเทา
แต่ชายในชุดคลุมสีเทามีท่าทีค่อนข้างสงบมาก เขาหยิบโล่เล็กสีเหลืองออกมาด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน มันขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง และต้านทานไว้ตรงหน้า
“ฟิ้วๆ!” เส้นผมสีเขียวถูกโล่ยักษ์ต้านทานไว้ได้ แต่พอเผชิญหน้ากับการโจมตีถี่ยิบเช่นนี้ ดูเหมือนว่าชายชุดคลุมสีเทาจะมีแค่พลังป้องกัน และไม่มีเวลาว่างโจมตีเลย ตอนนี้เขาก็ถูกขังอยู่ในขนาดจั้งกว่าๆ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นมาสองเสียง ชายสองคนถูกแมงป่องกระดูกกับหัวบินสังหารติดต่อกัน แต่ว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองก็มีรอยบาดแผลเต็มตัวเช่นกัน
พวกมันทั้งสองเอาอาวุธจิตวิญญาณกับถุงย่อส่วนของชายทั้งสองมา จากนั้นก็กลายเป็นไอดำสองสายพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง และหายเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวเพื่อทำการพักผ่อน
หลังจากหลิ่วหมิงพูดปลอบขวัญไปสองสามประโยคแล้ว ก็รีบสกัดเอาพลังของโอสถที่ทานไปเมื่อครู่ และพอเห็นว่าไอปีศาจแท้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เผยสีหน้าดีใจอย่างอดไม่ได้
ที่นี่มีไอปีศาจแท้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
ปกติซากโบราณขนาดเล็กเช่นนี้ สามารถดูดซับได้หนึ่งในสามส่วน ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น ก็มีผนึกที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้น้อยมาก หลิ่วหมิงมีหลัวโหวคอยบอกทางจึงมาที่นี่ได้ทัน มิเช่นนั้นพอซากโบราณปรากฏออกมา ไอปีศาจแท้ก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคำนวณว่าในผนึกยังมีไอปีศาจแท้เหลืออยู่เท่าใดนั้น เสียงหอนยาวกระหายเลือดก็ดังขึ้นมา และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบหันมองไปยังปากทางเข้าด้วยแววตาอันเยือกเย็นทันที
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงสีเลือดก็เปล่งประกายตรงทางเข้าห้องโถง เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือราชาโลหิตนั่นเอง
แต่ขณะนี้ เขามีสีหน้าโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก บนตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร ดูเหมือนว่าจะแลกมือกับคนอื่นมาก่อน
“ที่แท้ก็อยู่ที่นี่ ดีมาก! ดีมาก! ครั้งนี้หัวของเจ้าก็จะเป็นของข้าแล้ว” พอราชาโลหิตเห็นหลิ่วหมิงก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ราชาโลหิต! วันนี้ข้ากับเจ้าจะมีแค่คนเดียวที่สามารถออกไปจากที่นี่ได้”
แม้หลิ่วหมิงจะเห็นเขาเป็นครั้งแรก แต่พอเขาเอ่ยปากออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่าฝ่ายตรงข้ามคือราชาโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย
การต่อสู้กันเมื่อสองเดือนก่อน ทะเลโลหิตของราชาโลหิตได้ทิ้งความทรงจำอันลึกซึ้งไว้ให้กับเขา
และในครั้งนั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายแต่อย่างใด จึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
แต่ราชาโลหิตตามติดเขามาถึงที่นี่ราวกับหนอนแมลงวันในกระดูกข้อเท้า จึงทำให้หลิ่วหมิงเกิดแรงสังหารขึ้นมา
“ก่อนหน้านั้นข้ากับเจ้าถูกคนอื่นก่อกวน ตอนนี้คงได้ต่อสู้กันจริงแล้วใช่หรือไม่?” ราชาโลหิตกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
ครั้งนี้หลิ่วหมิงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร พอเท้าทั้งคู่กระแทกลงพื้น ร่างของเขาก็พุ่งไปหาราชาโลหิตราวกับลูกธนู
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย พอร่างของเขาสั่นสะท้าน หมอกโลหิตก็พวยพุ่งออกจากร่าง และกลายเป็นทะเลโลหิตอีกครั้ง มันปิดล้อมหลิ่วหมิงและพื้นที่ภายในระยะสิบกว่าจั้งไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว มุกพลังโลหิตสองเม็ดปรากฏขึ้นในมือ หลังจากเอามาถูกันจนรวมเป็นหนึ่งแล้ว มันก็กลายเป็นม่านวารีสีดำปกคลุมร่างเขาไว้
ทะเลโลหิตอันพวยพุ่งถูกต้านไว้ด้านนอกในทันที และไม่อาจแทรกซึมเข้าไปในม่านวารีได้ชั่วขณะ
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงที่มีม่านวารีของมุกพลังวารีปกคลุมอยู่ ก็เดินไปท่ามกลางทะเลโลหิตอย่างรวดเร็ว และแหวกคลื่นโลหิตต่างๆ ที่ม้วนตัวเข้ามา
ราชาโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ อย่างที่รู้ว่าทะเลโลหิตที่เขาสร้างขึ้นมา นอกจากตัวเขาเองที่สามารถเคลื่อนไหวได้ดังใจแล้ว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ดังใจได้ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเขาโจมตีสำเร็จมาโดยตลอด
การที่หลิ่วหมิงสามารถกีดขวางชั้นจำกัดของทะเลโลหิตได้ ล้วนเหนือความคาดหมายของเขาเป็นอย่างมาก
หลังจากหลิ่วหมิงเดินอยู่ครู่หนึ่ง จิตรับรู้ของเขาก็จับตำแหน่งของราชาโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลโลหิตได้ พอชี้นิ้วข้างหนึ่งผ่านอากาศไป ปราณกระบี่รูปเกลียวโปร่งแสงก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และพุ่งไปยังตำแหน่งที่ราชาโลหิตอยู่
ราชาโลหิตส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขากระตุ้นให้ปราณโลหิตตรงหน้าควบแน่นอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นมันก็กลายเป็นโล่โลหิตสีแดงต้านอยู่ตรงหน้า
“เต๊ง!”
ภายใต้การโจมตีของปราณกระบี่รูปเกลียว ทำให้โล่โลหิตสั่นสะเทือนจนเกิดคลื่นจิตวิญญาณอยู่ครู่หนึ่ง
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” หลังจากมีเสียงดังติดต่อกัน ปราณกระบี่จำนวนมากก็พุ่งเข้ามาถึง!
หลังจากโล่ที่ควบแน่นมาจากหมอกโลหิต ถูกปราณกระบี่รูปเกลียวโจมตีอยู่หลายครั้ง มันก็แตกกระจายในที่สุด และกลายเป็นไหมโลหิตปกคลุมเต็มอากาศ
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว พอขยับนิ้ว ปราณกระบี่โปร่งแสงที่มีขนาดเท่ากำปั้นก็ก่อตัวขึ้นบนปลายนิ้ว ขณะเดียวกัน เขาก็ร่ายคาถาออกมา ม่านวารีที่กลายร่างมาจากมุกพลังวารีก็มีแสงสีดำเปล่งประกาย จากนั้นก็ระเบิดตัวท่ามกลางทะเลโลหิต
นี่เป็นการกระตุ้นหมอกวารีสีดำในม่านวารีจนถึงขีดสุด พริบตาเดียวทะเลโลหิตตรงหน้าก็ถูกแหวกไปจนหมดสิ้น
ครู่ต่อมา ไอดำบนตัวหลิ่วหมิงก็พวยพุ่ง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นสองเงาร่าง และพุ่งเข้าหาราชาโลหิตตามรอยแหวกของทะเลโลหิต
………………………………