ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 640 การปรากฏตัวอีกครั้งของโอสถระดับพสุธา
“อาจารย์อาหลี่ ข้าแค่มาดูว่าศิษย์พี่เขาปรุงโอสถกันอย่างไร จะได้ถือโอกาสศึกษาไปด้วย” เถียนจิงกระพริบตา และแลบลิ้นกล่าว
ประจักษ์ชัดว่านางสนิทกับผู้อาวุโสหลี่ผู้นี้มาก
“เจ้าหนูน้อยอย่างเจ้านี่ เห็นๆ อยู่ว่าพรสวรรค์ด้านการปรุงโอสถธรรมดา แต่กลับชอบเส้นทางสายนี้ เจ้ายืนอยู่ข้างๆ อย่าได้รบกวนการทดสอบของคนอื่นๆ ล่ะ เอ๊ะ!? วันนี้ยังมีศิษย์ยอดเขาอื่นมาด้วยหรือ ข้าไม่เห็นบรรยากาศเช่นนี้มานานแล้ว เจ้าเป็นศิษย์ยอดเขาใดกัน?” หลังจากชายวัยกลางคนตำหนิหญิงสาวไปสองสามประโยคแล้ว ในที่สุดก็ค้นพบว่าหลิ่วหมิงไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ จึงถามออกไปด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์หลิ่วหมิง สังกัดยอดเขาลั่วโยว คารวะอาจารย์อา!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ก้าวออกไปคารวะอย่างนอบน้อม
“เจ้าก็เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวหรือ ช่างเถอะ! ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ยอดเขาใด ก็ต้องทำตามกฎของยอดเขาเรา” ตอนแรกผู้อาวุโสหลี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจ
หลิ่วหมิงย่อมตอบรับกลับไป “ทราบ!”
“ในเมื่อมีศิษย์ยอดเขาอื่นเข้าร่วมทดสอบสถานะผู้เชี่ยวชาญกานปรุงโอสถด้วย ข้าก็จะอธิบายรายละเอียดอีกรอบ ที่นี่มีห้องปรุงโอสถหลายห้อง พวกเจ้าสามารถเลือกได้ตามใจ มีเวลาจำกัดสามวัน แต่ว่าปรุงได้แค่หนึ่งเตา สุดท้ายข้าจะตัดสินจากอัตราการปรุงสำเร็จและคุณภาพของโอสถว่า พวกเจ้าจะได้รับการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกายหรือไม่ โอสถระดับกลางจะได้รับสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ แต่หากสามารถปรุงโอสถระดับสูงได้ จะได้รับสถานะปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ หากฟังเข้าใจแล้วก็เข้าไปเถอะ!” ผู้อาวุโสหลี่อธิบายให้ผู้คนในนั้นฟังหนึ่งรอบ จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้
ศิษย์ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับพร้อมกันทันที จากนั้นก็เลือกห้องปรุงโอสถอย่างคุ้นเคย และเริ่มทำการปรุงโอสถ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตามเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเลือกห้องปรุงโอสถที่อยู่ตรงปลายสุดของห้องโถง
พอเขาเดินเข้าไปในห้อง ก็ค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้พิเศษเป็นอย่างมาก
ผนังสี่ด้านที่มีพื้นที่สิบกว่าจั้ง มีลวดลายจิตวิญญาณแปลกประหลาดสีฟ้าจางๆ ประทับอยู่อย่างหนาแน่น มันส่องแสงจนห้องปรุงโอสถสว่างขึ้นมา
และใจกลางห้องก็มีเตาหลอมยักษ์สีดำที่สูงสองจั้ง ค่ายกลสีแดงขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ตรงด้านล่างแผ่ไอร้อนออกมา
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และชี้ไปยังค่ายกล เปลวไฟสีแดงพุ่งออกจากใจกลางค่ายกลทันที
เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย พอพลิกฝ่ามือด้านหนึ่ง ก็หยิบยันต์เก็บของออกมา และขยี้จนแตกกระจาย ทันใดนั้นขวดและตลับไม้จำนวนมากก็ร่วงลงพื้น
หลิ่วหมิงเลือกแก่นของอสูรจินหยวนระดับของเหลวขั้นกลางมาหนึ่งเม็ดรวมถึงวัตถุดิบเสริมอื่นๆ จากนั้นก็ลงมือปรุงโอสถทันที
สำหรับการปรุงโอสถจินหยวนนั้น เขาได้ปรุงจนชำนาญแล้ว แม้ว่าแก่นอสูรจินหยวนระดับของเหลวขั้นกลาง จะมีอัตราสำเร็จในการปรุงโอสถจินหยวนทั่วไปสูงมาก
แต่ที่หลิ่วหมิงต้องการในครั้งนี้ ก็แค่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถธรรมดาเท่านั้น ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้แก่นอสูรจินหยวนที่แพงกว่าแต่อย่างใด
ดังนั้นเขาจึงปล่อยพลังเวทใส่เตาหลอมสีดำทันที หลังจากแสงสีดำเปล่งประกายบนพื้นผิวเล็กน้อย ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ เปิดออกมา
พอหลิ่วหมิงตบมือข้างหนึ่งลงพื้น สายลมเบาๆ ก็พัดพาแก่นอสูรจินหยวนกับวัตถุดิบเสริมอื่น ๆ เข้าไปในเตาหลอม หลังจากปล่อยพลังเวทออกไปอีกครั้ง ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง และปล่อยพลังเวทอีกสามสายลงบนค่ายกลด้านล่างเตาหลอม ทันใดนั้นเปลวไฟก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที และคุโชนกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ และนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีเหลืองตรงมุมหนึ่งของห้องเพื่อรอคอยอย่างเงียบๆ
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป หลิ่วหมิงยังคงรอคอยอยู่ตรงหน้าเตาหลอมยักษ์สีดำอย่างเงียบๆ
โอสถจินหยวนนี้ใช้เวลาในการปรุงมากกว่าโอสถผลึกเย็นเล็กน้อย แต่จากความสามารถที่ช่ำชองของเขา ประกอบกับพลังของเปลวไฟที่ไม่ธรรมดา คงใกล้จะสำเร็จเป็นโอสถแล้ว
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังเบาๆ ออกมาจากเตาหลอมสีดำ
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมาทันที พอกวาดสายตาตามองออกไป ก็ค้นพบว่ามีแสงสีทองเปล่งประกายออกจากรอยแยกของเตาหลอม และฝาเตาหลอมก็สั่นสะท้านเบาๆ
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขาอุทาน “เอ๊ะ!” ออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบปล่อยพลังใส่ค่ายกลอีกครั้ง
หลังจากเปลวไฟด้านล่างอ่อนลงแล้ว ฝาเตาหลอมก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็สงบลง
หลิ่วหมิงมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
ปรากฏการณ์เช่นนี้ มันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ปรุงโอสถจินหยวนระดับสูงสำเร็จเท่านั้น หรือว่า…….
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว หลังจากปล่อยพลังเวทลงไปในเตาหลอมอีกครั้ง เขาก็กระโดดขึ้นมากลางอากาศ พอโบกแขนเสื้อเบาๆ เตาหลอมก็ค่อยๆ เปิดออกมา
ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายสว่างไสวภายในห้องปรุงโอสถ
ภายในเตาหลอมสีดำมีโอสถจินหยวนที่เปล่งแสงสีทองห้าเม็ดวางอยู่อย่างเงียบๆ และในนั้นมีเม็ดหนึ่งที่เปล่งแสงสีทองมากกว่าอีกสี่เม็ด
พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไป “ฟิ้ว!” โอสถจินหยวนที่มีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอย่างชัดเจน ก็มาปรากฏอยู่บนมือ มันคือโอสถจินหยวนระดับพสุธา ส่วนอีกสี่เม็ดที่เหลือก็มีสองเม็ดที่เป็นโอสถระดับสูง
ขณะเดียวกัน ด้านนอกห้องปรุงโอสถ แผ่นค่ายกลสี่เหลี่ยมบนมือชายชุดคลุมสีเทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เปล่งประกายแสงเจิดจ้าออกมา เขาจึงรีบสั่งศิษย์ดำเนินการที่อยู่บริเวณนั้นด้วยความตกใจ
“ไปดูสักหน่อย ศิษย์พี่ผู้ใดอยู่ที่ห้องปรุงโอสถสุดท้ายนั้น โอสถของเขาออกจากเตาแล้ว ปฏิกิริยาอันรุนแรงเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่โอสถทั่วไป”
“ศิษย์รับทราบ!” ศิษย์ดำเนินการยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณได้ยิน ก็รู้สึกอึ้งไปทันที แต่ก็รีบตอบรับอย่างนอบน้อมแล้วเดินไปที่ห้องปรุงโอสถอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังจ้องมองโอสถจินหยวนระดับพสุธาในมือด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรุงโอสถจินหยวนระดับพสุธาออกมาได้
พอประตูห้องหลอมโอสถเปิดออกมา ศิษย์ดำเนินการผู้นั้นก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ผู้อาวุโสหลี่ให้ข้า……”
ขณะที่ศิษย์ผู้นี้เข้าไปในห้อง กลับค้นพบว่าคนที่อยู่ในนั้นไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ แต่กลับเป็นหลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีดำ พริบตานั้นเขารู้สึกอึ้งเล็กน้อย และคำพูดของเขาก็หยุดชะงักลง
หลิ่วหมิงกลับถือโอสถอยู่ในมือ และคิ้วขมวดเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรดีนั้น ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวด้านหลังของศิษย์ดำเนินการ จากนั้นผู้อาวุโสหลี่ก็ปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
“เป็นเจ้า!” พอผู้อาวุโสหลี่เห็นหลิ่วหมิงอย่างชัดเจนก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมา
“ศิษย์คารวะอาจารย์อา” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“คลื่นพลังโอสถของที่นี่ไม่ธรรมดา เอาโอสถมาให้ข้าดูหน่อย” หลังจากชายชุดคลุมสีเทาเก็บสีหน้าประหลาดใจแล้ว ก็กวาดสายตามองโอสถในมือของเขา และถามออกมาตรงๆ
ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ หลิ่วหมิงไหนเลยจะกล้าเล่นลูกไม้อะไร ทำได้แค่พยักหน้า และยื่นโอสถทั้งห้าที่เปล่งแสงสีทองสลัวๆ ให้แต่โดยดี
“โอสถจินหยวน! เตาเดียวออกมาตั้งห้าเม็ด เดี๋ยวก่อน! เม็ดนี้…..” ชายชุดคลุมสีเทาเพ่งตามองแล้วหลุดปากออกมา
ทันใดนั้น เขาก็ดูดโอสถระดับพสุธาเม็ดนั้นเข้ามาในมือ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด จากนั้นก็เผยสีหน้าตกใจออกมา
“คิดไม่ถึงว่าจะมีระดับพสุธาอยู่หนึ่งเม็ดด้วย เดิมทีคิดว่าเป็นโอสถทั่วไปเม็ดหนึ่งเท่านั้น” ขณะที่ชายชุดคลุมสีเทากวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงอีกครั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย
“อาจารย์อาหลี่ ท่านบอกว่าศิษย์พี่หลิ่วปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้หรือ?” ไม่รู้เหมือนกันว่าเถียนจิงมาปรากฏตัวตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ พอได้ยินคำว่า “ระดับพสุธา” ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้ว ก็เบิกกว้างกว่าเดิม และรีบมาสมทบทันที
ศิษย์ดำเนินการที่อยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างยิ่งกว่าเดิม
หลิ่วหมิงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เหตุใดทั้งสองถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เพราะผู้ที่สามารถปรุงโอสถระดับของเหลวนั้นมีไม่มาก แต่ผู้ที่สามารถปรุงโอสถระดับพสุธาของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวได้ ทั้งยังเป็นโอสถจินหยวนที่ปรุงได้ยากเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณที่ฝึกฝนปรุงโอสถเป็นหลัก ก็มีไม่กี่คน
“อาจารย์อาหลี่ ไม่ทราบว่าศิษย์ผ่านการทดสอบหรือไม่?” หลิ่วหมิงกลับโค้งตัวถาม
“สามารถปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้ ย่อมผ่านอย่างแน่นอน เจ้าตามข้ามาเถอะ” ในที่สุดอาการตกใจของผู้อาวุโสหลี่ก็หายไปจนหมดสิ้น เขากวักมือให้หลิ่วหมิงตามเขาไป
ดังนั้นทั้งก็ออกไปจากห้องปรุงโอสถ และเดินขึ้นไปบนชั้นสี่ เหลือทิ้งไว้เพียงเถียนจิงกับศิษย์ดำเนินการผู้นั้น ที่ต่างก็มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรออกมา
แต่ในขณะที่หญิงสาวรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากนั้น ลูกตาของนางก็หมุนวนหนึ่งรอบ จากนั้นก็แสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาทันที
ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่ศิษย์ยอดเขาอื่นปรุงโอสถระดับพสุธาได้ ก็แพร่กระจายไปในยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องแห่งหนึ่งบนชั้นสี่
แสงสีเงินลำหนึ่งกระพริบลงบนป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิง
หลังจากป้ายสั่นสะท้าน แสงสีเงินจางๆ ก็ปรากฏบนพื้นผิวหนึ่งชั้น และมีภาพเตาหลอมสีเงินปรากฏอยู่บนมุมหนึ่งของป้าย
“เอาล่ะ! ข้าได้ยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถให้เจ้าแล้ว” ชายชุดคลุมสีดำเก็บพู่กันสีเงินแวววาวในมือ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์อา” หลิ่วหมิงรับป้ายคืนอย่างนอบน้อม และเอาไปห้อยไว้บนเอว
“หลิ่วหมิง เจ้าเคยคิดที่จะย้ายมายอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณของเราหรือไม่ ด้วยระดับความรู้ในการปรุงโอสถของเจ้าในตอนนี้ หากอยู่ในยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณต่อ เชื่อว่าจะต้องกลายเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในรุ่นอย่างแน่นอน อีกอย่างทรัพยากรของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเรา เมื่อเทียบกับยอดเขาลั่วโยวแล้วยังดีกว่ามาก หากย้ายมายอดเขาเราล่ะก็ จะต้องมีแต่สิ่งดีๆ อย่างแน่นอน” ชายชุดคลุมสีเทาจ้องมองหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“ขอบคุณความหวังดีของอาจารย์อา แต่เมื่อเร็วๆ นี้ศิษย์ถูกผู้อาวุโสอินจิ่วหลิงรับเป็นศิษย์สายตรงแล้ว เกรงว่าไม่อาจย้ายมาสังกัดยอดเขาของท่านได้” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยสีหน้านอบน้อม
พอชายชุดคลุมได้ยินชื่อของ ‘อินจิ่วหลิง’ สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว จากนั้นก็นำแผ่นหยกออกจากแขนเสื้อมามอบให้หลิ่วหมิง และกล่าวด้วยความเสียดาย
“ในเมื่อเจ้าถูกศิษย์พี่อินรับเป็นศิษย์สายตรงแล้ว ข้าก็ไม่บังคับเจ้าอีก แต่เจ้าอายุน้อยเช่นนี้ ก็สามารถปรุงโอสถระดับของเหลวได้แล้ว หากไม่สามารถก้าวหน้าในเส้นทางโอสถได้ ช่างน่าเสียดายเป็นยิ่งนัก เช่นนี้เถิด! นี่คือประสบการณ์ปรุงโอสถจำนวนหนึ่งของข้า เจ้านำกลับไปอ่านให้ละเอียด หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อวิชาโอสถของเจ้าเล็กน้อย จำไว้ให้ดี อย่าได้ให้คนอื่นดูเด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะไม่ละเว้นเจ้า”
“ขอบคุณอาจารย์อาที่ชี้แนะ ศิษย์กลับไปแล้วจะทำความเข้าใจอย่างละเอียด ไม่ให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็โค้งตัวคารวะด้วยความดีใจในทันที
………………………………