ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 641 เคล็ดวิชาเกราะอสูร
ชายชุดคลุมสีเทาไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่โบกแขนเสื้อข้างหนึ่งไปทางเขา หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
พอหลิ่วหมิงเก็บแผ่นหยกเข้าไปแล้ว ก็ออกไปจากยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ จากนั้นก็พุ่งไปทางหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง
แต่ว่าหลิ่วหมิงเพิ่งจะเหาะออกไปได้ไม่ไกล เมฆสีขาวก้อนหนึ่งก็ตามหลังเขามา
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และลดความเร็วลง พอหันหน้ากลับไป ก็ค้นพบว่าผู้ที่อยู่บนก้อนเมฆสีขาวก็คือเถียนจิง หญิงสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีผู้นั้น
ทันใดนั้น เมฆขาวก็เพิ่มความเร็ว และเหาะมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง
“ศิษย์พี่ ทำไมไปเร็วขนาดนั้นล่ะ ทำข้าตามมาเหนื่อยแทบแย่” ใบหน้าเถียนจิงแดงเล็กน้อย นางตบหน้าอกตัวเองแล้วหอบหายใจสองทีก่อนกล่าวออกมา
“ไม่ทราบศิษย์น้องตามมาถึงที่นี่มีธุระอันใดหรือ?” แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“อันนี้…ศิษย์พี่หลิ่วลองทายดู” เถียนจิงกระพริบตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“หากศิษย์น้องไม่มีธุระอะไร ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องรีบทำ ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงไม่มีเวลาให้หลานสาวของผู้อาวุโสเถียนผู้นี้มาตอแย พอประสานมือแล้วก็คิดจะจากไปทันที
“เดี๋ยวๆ ก่อน ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งรีบไปสิ ท่านปรุงโอสถเก่งขนาดนั้น ไม่สู้พวกเรามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ปรุงโอสถกันหน่อยเป็นไร…” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็รีบส่งเสียงเอะอะโวยวายออกมา
“ที่ครั้งนี้ข้าผ่านการยอมรับเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกาย ก็เป็นเพราะว่าข้าโชคดีก็เท่านั้น หากศิษย์น้องเถียนอยากยกระดับวิชาโอสถของตนเองล่ะก็ ไปหาศิษย์พี่ทั้งหลายในยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเถอะ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่ขออยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ปฏิเสธทันที เขาทำท่าเคล็ดกระบี่โดยไม่รอให้นางพูดอะไรมาก จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวพุ่งยิงออกไป พริบตาเดียว ก็หายไปท่ามกลางยอดเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน
เถียนจิงมีระดับการฝึกฝนไม่สูง เป็นแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ย่อมไม่อาจเทียบความเร็วกับวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งของหลิ่วหมิงได้ พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกโกรธจนกระทืบเท้าสองสามที จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดและหมุนตัวเหาะกลับไปยังยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณอีกครั้ง
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็กลับมาถึงหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง
“ยินดีด้วยศิษย์พี่หลิ่ว ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน ก็ได้รับการยอมรับสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว” หลังจากศิษย์ดำเนินการร่างอวบอ้วนกวาดสายตามองดูภาพเตาหลอมบนป้ายที่ห้อยอยู่บนเอวหลิ่วหมิง ก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็กล่าวแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว
“ศิษย์พี่หลี่ว์เกรงใจไปแล้ว ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อมไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินไปยังที่วางตำราโอสถอย่างรวดเร็ว
ครั้งนี้ ทันทีที่หลิ่วหมิงโบกป้ายประจำตัวใส่ชั้นจำกัดบนตำราโอสถ แสงสีทองลำหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา ทันใดนั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเทาก็เปล่งประกายบนป้ายและกระพริบหายไปทันที ส่วนแต้มคุณูปการบนป้ายก็โดยหักไปหนึ่งแสนแต้ม
จากนั้นหลิ่วหมิงก็รีบนั่งขัดสมาธิลง และนำตำราโอสถมาแปะไว้บนหน้าผาก จากนั้นก็อ่านดูอย่างละเอียด
ที่เขาไม่ได้เลือกโอสถระดับผลึกอื่นๆ แต่เลือกโอสถนี้แทน ไม่ใช่เป็นเพราะว่าตำราโอสถนี้ใช้แต้มคุณูปการน้อย แต่เป็นเพราะว่าสมุนไพรจิตวิญญาณที่เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถนี้ คือผลิตผลพิเศษของสถานที่บางแห่งในแผ่นดินจงเทียน เพียงแค่ไปหาด้วยตนเอง หรือซื้อมาในราคาที่สูง ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะหาส่วนผสมนี้ไม่ได้
แม้ว่าโอสถระดับผลึกอื่นๆ จะมีอัตราปรุงสำเร็จสูงกว่าเล็กน้อย ปรุงเป็นโอสถได้ง่ายยิ่งกว่า แต่วัตถุดิบก็ถูกแย่งชิงจนหมด ทำให้รวบรวมได้ยาก ย่อมไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรีบกล่าวลาศิษย์ดำเนินการ จากนั้นก็รีบออกไปจากหอเก็บคัมภีร์ และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก
“ท่านคือศิษย์น้องหลิ่วใช่หรือไม่? ข้าน้อยเสวียนอู๋” เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พัก ก็พบกับชายชุดดำผู้หนึ่งที่รออยู่หน้าถ้ำนานแล้ว พอได้ยินเสียง เขาก็หันหน้ามาทันที
คนผู้นี้ใบหน้าแคบยาว มีกระเต็มใบหน้า แลดูอัปลักษณ์เล็กน้อย
“ท่านคือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายชุดเขียวหน้าตาพื้นๆ ตรงหน้าผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านหนึ่ง ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้ว
แม้เขาจะไม่ค่อยสนิทกับศิษย์ในยอดเขาลั่วโยว แต่ว่าศิษย์ระดับผลึกยังเคยพบหน้ากันอยู่บ้าง แต่คนผู้นี้เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ฮ่าๆ! ข้าน้อยบอกแค่ชื่อศิษย์น้องคงยังรู้สึกฉงนเล็กน้อย ข้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสอวี๋ แต่ว่าหลายปีก่อนล้วนออกไปเดินทางนอกนิกายมาโดยตลอด แม้เจ้ากับข้าจะอยู่ยอดเขาเดียวกัน แค่ศิษย์น้องคงจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้า” ชายชุดดำหัวเราะออกมา
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เสวียน” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที จากนั้นก็โค้งตัวคารวะหนึ่งที
ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวยี่สิบถึงสามสิบคนที่อยู่ในยอดเขาขณะนี้ มีระดับผลึกเป็นส่วนน้อย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนมากเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสท่านอื่น ใต้สังกัดของอินจิ่วหลิงก็มีเสี่ยวอู่แค่คนเดียวเท่านั้น ช่วงนี้เพิ่งรับหลิ่วหมิงเข้ามา
“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องมากพิธี ชื่อเสียงของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมาแล้ว ต่อไปพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องยังต้องพบหน้ากันบ่อยๆ จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ฝึกฝนให้มาก ใช่สิ! ได้เจอกับศิษย์น้องเหมือนได้พบสหายเก่า ทำเอาข้าเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย เมื่อครู่อาจารย์ลุงอินได้สั่งการลงมาว่า ตอนนี้ศิษย์น้องเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ถ้ำที่พักแห่งนี้ไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว ด้วยเหตุนี้อาจารย์ลุงจึงช่วยเจ้าเลือกถ้ำให้เป็นพิเศษ ซึ่งได้แก่ถ้ำหมายเลขแปดที่อยู่ติดกับยอดเขา อีกประเดี๋ยวศิษย์น้องก็สามารถไปที่นั่นได้ด้วยตนเอง” เสวียนอู๋เอามือตบหน้าผากแล้วกล่าวออกมา
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่แจ้งให้ทราบ อีกประเดี๋ยวข้าจะไปกราบขอบคุณอาจารย์” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก ยิ่งใกล้ยอดเขา ก็ยิ่งแสดงว่าปราณหยินภายในถ้ำหนาแน่น มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของระดับการฝึกฝนในตอนนี้ไม่น้อย
“ศิษย์น้องหลิ่วเกรงใจเกินไปแล้ว แต่อาจารย์ลุงอินสั่งว่า สถานการณ์ของศิษย์น้องในตอนนี้ ยังต้องปรับสมดุลระดับการฝึกฝนให้มาก ไม่จำเป็นต้องไปกราบขอบคุณแล้ว” เสวียนอู๋ได้ยินก็หัวเราะออกมา
หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง
จากนั้นเสวียนอู๋ก็พูดคุยกับหลิ่วหมิงอีกสองประโยคก่อนลากลับไป
หลังจากหลิ่วหมิงลับไปแล้ว ก็รีบเข้าไปเก็บข้าวของภายในถ้ำ ไม่นานก็ขี่เมฆมาถึงหน้าประตูถ้ำแห่งใหม่
บนยอดเขาลั่วโยว ถ้ำของศิษย์ทั้งหมดส่วนใหญ่จะจัดตั้งคล้ายๆ กัน หลังจากประทับแผ่นป้ายบนประตูด้วยความคุ้นเคยแล้ว แผ่นป้ายก็สั่นไหวเบาๆ จากนั้นประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออกมา
หลิ่วหมิงรีบเข้าไปในถ้ำทันที หลังจากมองดูรอบด้านแล้ว ก็ค้นพบว่าขนาดของถ้ำมีพื้นที่แตกต่างจากก่อนหน้านั้นไม่มาก ในนั้นมีห้องใหญ่สามห้อง และก็มีลานหน้าบ้านขนาดเล็กด้วย ที่สำคัญก็คือปราณจิตวิญญาณฟ้าดินกับปราณหยินหนาแน่นไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั้น
เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็จัดถ้ำใหม่อย่างง่ายๆ และนำแมงป่องกระดูกกับหัวบินออกมาวางไว้ในห้องห้องหนึ่ง ให้พวกมันดูดซีบปราณหยินรอบๆ ตามสบายใจ และทำการฝึกฝนด้วยตนเอง
เพราะด้วยพลังระดับผลึกของเขาในตอนนี้ การเสริมแรงของแมงป่องกระดูกกับหัวบินเริ่มจะไม่เพียงพอแล้ว จำต้องยกระดับพลังโดยไวถึงจะได้
แต่ว่าในขณะนี้แมงป่องกระดูกกับหัวบินต่างก็อยู่ในระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว หากจะก้าวไปอีกขั้นล่ะก็ จำเป็นต้องเข้าสู่ระดับผลึกถึงจะได้
แต่ว่าการบรรลุระดับของอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณนี้ นอกเสียจากว่าเกิดมามีสายเลือดพิเศษหรือมีโชคอันยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นก็ยากเป็นอย่างมาก ซึ่งยากกว่าผู้ฝึกฝนที่เป็นมนุษย์ไม่น้อย และการยกระดับการฝึกฝนข้ามเขตแดนเช่นนี้ มักจะนำมาซึ่งด่านเคราะห์สวรรค์
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ภายใต้สถาณการณ์ที่ไม่รู้เส้นสนกลใน เขาได้แต่ละความคิดนี้ทิ้งไปชั่วคราว คอยดูว่าต่อไปโอกาสของอสูรเลี้ยงสองตัวนี้จะเป็นเช่นไร
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับบางแห่ง หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว แสงสีดำก็เปล่งประกายบนมือ จากนั้นคัมภีร์เก่าๆ ที่หน้าปกซีดเหลืองเล็กน้อยแล้ว ก็ปรากฏออกมา
เมื่อครู่ในตอนที่เขาจัดระเบียบภายในแหวนย่อส่วนนั้น ก็ค้นพบของสิ่งนี้โดยไม่ตั้งใจ มันคือคัมภีร์อักขระปีศาจที่เขาได้มาจากปีศาจหยินหยางในตอนนั้น
เห็นได้ชัดว่ามันมีที่มาอันยิ่งใหญ่ ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมองเห็นอักขระปีศาจจำนวนมากที่ปรากฏอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน แต่พอเวลานานเข้า ก็เกือบลืมคัมภีร์เล่มนี้ไปจนหมดสิ้น
แต่พื้นผิวบนคัมภีร์ มีอักขระโบราณสีดำม่วงสองตัวเปล่งประกายอยู่เป็นระยะๆ และซ่อนเร้นไปอย่างรวดเร็ว มันเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ อักขระที่ปรากฏในแต่ละครั้งก็แตกต่างกัน ประจักษ์ชัดว่าเป็นพลังของชั้นจำกัดระดับสูงชนิดหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา
ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าจะสามารถมองเห็นอักขระบนนั้นชัดเจนหรือไม่
หลิ่วหมิงรวบรวมสมาธิแล้วค่อยๆ เปิดไปที่หน้าแรก อักขระสีม่วงดำบนนั้นเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกัน แสงสีดำก็ม้วนตัวออกจากหน้าคัมภีร์
พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหูหลิ่วหมิง ทันใดนั้นสติก็ตกอยู่ในภวังค์
ชั้นจำกัดนี้ลี้ลับมหัศจรรย์มาก ตอนนั้นทำให้เขาเป็นทุกข์ไม่น้อย
แต่ว่าหลิ่วหมิงในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน หลังจากทำเสียงฮึดฮัดแล้ว ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่อยู่ในร่างก็สั่นสะเทือน แสงแวววาวหมุนวนอยู่บนพื้นผิวพักหนึ่ง พลังเวทอันแข็งแกร่งทะลักออกมาราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำ และพวยพุ่งไปบนศีรษะ หัวสมองพองขึ้นมาจนรู้สึกเบาไปครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งแสงออกมาสองลำ และเจาะเข้าไปบนแสงสีดำในคัมภีร์
อักขระปีศาจสีม่วงดำที่ปรากฏบนคัมภีร์ ดูชัดเจนขึ้นมา หลังจากหมุนติ้วๆ หนึ่งรอบแล้ว มันก็จัดเรียงแถวใหม่อย่างเป็นระเบียบ
หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดดูทีละหน้าด้วยความดีใจ
แม้เขาจะรู้จักอักขระปีศาจบนนั้น แต่เนื่องจากภาษาที่ใช้บรรยายยังคงขัดๆ อยู่ ซึ่งยากต่อการเข้าใจ เวลาทำความเข้าใจยังคงเป็นอุปสรรคไม่น้อย
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เขาถึงฝืนพลิกอ่านคัมภีร์ครึ่งหนึ่งจากต้นจนจบไปหนึ่งรอบ
หลังจากปิดคัมภีร์ลง หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก
บนคัมภีร์เล่มนี้บันทึกเคล็ดวิชาสมัยบรรพกาลที่มีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาเกราะอสูรไว้’
ตามบันทึกในนี้ เคล็ดวิชานี้มาจาก ‘นิกายอสูรสู้รบ’ ที่หลอมชุบร่าง เมื่อนานมาแล้วในแผ่นดินจงเทียน
หลิ่วหมิงไม่เคยเจอชื่อของนิกายนี้ในคัมภีร์มาก่อน แต่ดูจากบันทึกในคัมภีร์อักขระปีศาจเล่มนี้ มีความเป็นไปได้มากว่า นิกายอสูรสู้รบนี้ เป็นนิกายใหญ่ที่มีชื่อเสียงในสมัยบรรพกาล
และเคล็ดวิชาเกราะอสูรนี้ ก็เป็นหนึ่งในสามสุดยอดเคล็ดวิชาของนิกายอสูรสู้รบ ต่อมาไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือของเผ่าปีศาจได้อย่างไร และใช้อักขระปีศาจบันทึกขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงอ่านถึงเคล็ดวิชานี้ ในสมองของเขาก็นึกถึงตอนอยู่ในวังของแคว้นต้าเสวียนในตอนนั้น วิชาอสูรร้ายที่หมายเลขสองของพรรควิญญาณมืดแสดงในตอนนั้น มีส่วนคล้ายกับเคล็ดวิชาเกราะอสูรสองถึงสามส่วน แต่ว่าวิชานี้เหนือชั้นกว่ามาก
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ เคล็ดวิชาเกราะอสูรนี้ สามารถทำให้อสูรจิตวิญญาณที่ถูกกรอกพลังเวทเข้าไป กลายเป็นเกราะนักรบที่ช่วยเพิ่มพลังกายเนื้อได้ คล้ายกับผลลัพธ์ที่มีอสูรจิตวิญญาณแฝงอยู่ในร่าง
และพอฝึกฝนวิชาเกราะอสูรสำเร็จ เกราะอสูรที่สร้างขึ้นมาไม่เพียงแต่จะทำให้กายเนื้อของผู้ฝึกฝนมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น พลังป้องกันก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่หากฝึกฝนจนสำเร็จขั้นสูงสุด ยังสามารถได้รับพลังของอสูรจิตวิญญาณด้วย พอที่จะพูดว่าได้ว่าอานุภาพของมันไร้รอบเขตเลยทีเดียว
………………………………