ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 642 เซ่นสังเวย
แน่นอนว่าเคล็ดวิชาเกราะอสูรนี้ก็มีข้อเสียเป็นอย่างมาก
ประการแรก พออสูรจิตวิญญาณถูกหลอมเป็นเกราะอสูรแล้ว ก็ไม่สามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณภายนอกได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นการมีชีวิตรอดกับการเพิ่มขึ้นของพลังที่แท้จริง ล้วนอาศัยการดูดซับพลังเวทของเจ้าของร่างมาช่วยเสริม
ผู้ฝึกฝนทั่วไปล้วนให้ความสำคัญกับการฝึกฝนของตนเองเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกว่าพลังเวทไม่เพียงพอสำหรับการฝึกฝน ไหนเลยจะยอมแบ่งพลังเวทของตนเองให้อสูรจิตวิญญาณตัวนหนึ่งเพียงเพราะเคล็ดวิชานี้
ประการที่สอง วิชานี้ยังมีความโหดเหี้ยมเป็นอย่างมากในการคัดเลือกอสูรจิตวิญญาณ จำต้องเริ่มเซ่นสังเวยตั้งแต่ยังเป็นอสูรน้อย และในขณะที่ทำการเซ่นสังเวย อสูรน้อยต้องไม่มีการต่อต้านใดๆ เลย ถึงจะทำการเซ่นสังเวยสำเร็จ
สุดท้าย อสูรจิตวิญญาณที่เลือกมาตัวนี้จะต้องมีศักยภาพที่สามารถแตะต้องได้ หลังจากเติบโตแล้วมีพลังที่น่าตกใจ เช่นนี้แล้ว เกราะอสูรที่สร้างขึ้นมาถึงจะเพิ่มพลังให้กับผู้ฝึกฝนเป็นทวี และได้รับสิ่งที่ควรจะได้ในการฝึกฝนวิชานี้ มิเช่นนั้นหากเลือกอสูรจิตวิญญาณอย่างไม่ใส่ใจ จะทำให้เสียเวลาในตอนท้ายเปล่าๆ
ภายในเงื่อนไขสามข้อนี้ สิ่งที่ทำยากที่สุดก็คือข้อสองแล้ว
เพราะตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ในระหว่างการเซ่นสังเวยนั้น อสูรจิตวิญญาณจะเกิดความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ต่อให้จะเป็นอสูรที่มีเลือดเป็นอสูรเลี้ยง ก็จะเกิดความเจ็บปวดจนทำให้เกิดการต่อต้านได้ ด้วยเหตุนี้จะทำให้พลังสะท้อนกลับจนร่างของอสูรน้อยระเบิดเสียชีวิต
คาดว่าหากโชคไม่เลวล่ะก็ เซ่นสังเวยสักเจ็ดแปดครั้ง ก็อาจจะสำเร็จหนึ่งครั้งก็เป็นไปได้ แต่ทุกครั้งที่ทำการเซ่นสังเวยล้มเหลว จะสร้างความเสียหายต่อพลังชีวิตผู้ฝึกฝนเป็นอย่างมาก หากเจ็ดแปดครั้งแล้วยังไม่สำเร็จล่ะก็ ระดับการฝึกฝนของผู้ทำการเซ่นสังเวยอาจจะลดลงไปสามขั้นก็ได้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงสามารถบ่มเพาะกลับมาได้ดังเดิม
สามารถกล่าวได้ว่า การฝึกฝนวิชานี้เป็นตัวเลือกที่มีทั้งความเสี่ยงและโอกาสนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้ ในส่วนท้ายของคัมภีร์จึงระบุไว้อย่างชัดแจ้ง หากไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่าได้ฝืนฝึกเป็นอันขาด
หลิ่วหมิงอ่านจบก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้
อย่างที่รู้ว่า เดิมทีเขาก็เป็นผู้ฝึกร่างครึ่งหนึ่ง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชากระดูกดำและมังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้กายเนื้อในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกร่างระดับเดียวกันมาก หากมีวิชาฝึกร่างที่ใช้ในการต่อสู้จริงมาประกอบล่ะก็ ย่อมมีอานุภาพเท่าตัวเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู
อีกอย่าง เคล็ดวิชานี้ยังสามารถมีพลังของอสูรจิตวิญญาณได้ เกรงว่าไม่ว่าผู้ฝึกฝนท่านใด ก็ไม่อาจต้านทานความยั่วยวนนี้ได้
สำหรับปัญหาเรื่องการดูดซับพลังงานเวท เพียงแค่เขามีโอสถอยู่ในมือจำนวนมาก ย่อมไม่ต้องสนใจพลังเวทอันน้อยนิดนี้อย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่เป็นกังวลในตอนนี้ก็คือ เรื่องการเซ่นสังเวยอสูรน้อยอย่างยากลำบากนั่นเอง
ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่สามารถแบกรับผลของการสูญเสียพลังเจ็ดแปดครั้งติดต่อกันได้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อรากฐานของเขาแล้ว
“อสูรน้อย…”
หลิ่วหมิงพูดคำนี้ออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายในฉับพลัน แสงสว่างปรากฏบนมือ และถุงอสูรจิตวิญญาณใบหนึ่ง ก็ออกมาจากแหวนย่อส่วน
แสงสีชมพูเปล่งประกายตรงปากถุง อสูรสมุทรน้อยแปดขาปรากฏขึ้นตรงหน้า
สุราคุณภาพเยี่ยมที่เขาซื้อมาจากเมืองจินหยวนในตอนนั้น ได้บำรุงปีศาจสมุทรแปดขาไปหนึ่งรอบ ตอนนี้หัวของมันใหญ่ขึ้นมาหนึ่งเท่ากว่าๆ ลวดลายจิตวิญญาณสีชมพูบนตัวก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา
หลิ่วหมิงใช้นิ้วกดระหว่างคิ้วของอสูรน้อย และร่ายคาถาออกมา ครู่เดียวใบเขาก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
อสูรตนนี้ยังไม่มีสติปัญญา เหลือไว้แค่ความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น
ก่อนหน้านั้น เขารู้สึกผิดหวังเพราะสิ่งนี้ แต่ว่าตอนนี้ราวกับว่าจุดอ่อนนี้จะเตรียมไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ
หากไม่รู้สึกตัวล่ะก็ แสดงว่ามันจะไม่ต่อต้านในระหว่างทำการเซ่นสังเวยอย่างแน่นอน บวกกับการที่อสูรสมุทรแปดขานี้ ฟักออกมาจากไข่เทพอสูร หากพูดถึงพลังแฝง ย่อมล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นคงไม่ถูกคนเผ่าเจ้าสมุทรยกให้เป็นเทพอสูร
ด้วยเหตุนี้ การใช้อสูรน้อยตัวนี้มาฝึกฝนเคล็ดวิชาเกราะอสูรย่อมเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากตัดสินใจแล้ว หลิ่วหมิงก็เก็บปีศาจสมุทรเข้าไป และยืนนิ่งๆ อยู่กลางห้อง
วัสดุหลายสิบรายการที่ระบุไว้ในคัมภีร์อักขระปีศาจ ล้วนเป็นวัสดุเซ่นสังเวยอสูร ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นวัสดุจิตวิญญาญธาตุหยินที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก
ลำพังแค่วัสดุในรายการนี้ ก็มีมูลค่าราวๆ หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณแล้ว
หลิ่วหมิงออกไปจากถ้ำที่พักในทันที จากนั้นก็ไปซื้อวัสดุที่จำเป็นในตลาดของนิกายมาครึ่งหนึ่งก่อน แต่ว่าวัสดุหายากสองสามอย่างยังคงหาซื้อไม่ได้ จากนั้นถึงไปสถานที่ที่มีชื่อว่าหอไท่เจิน และใช้แต้มคุณูปการไปหลายหมื่นถึงซื้อวัสดุทั้งหมดมาได้ครบ
หลังจากกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็รีบปิดประตูใหญ่ทันที และเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดไว้ เช่นนี้แล้วในระหว่างทำการเซ่นสังเวยก็จะไม่ถูกใครรบกวนอีก
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงนำอสูรสมุทรออกจากถุงอสูรจิตวิญญาณ ร่างสีชมพูของมันม้วนตัวตามแสงไปลอยอยู่กลางอากาศ หนวดสัมผัสสีชมพูแปดเส้นโบกสะบัดตามสัญชาตญาณ
พอหลิ่วหมิงทำท่ามือ โลหิตหยดหนึ่งก็ถูกบีบออกจากนิ้ว และหยดลงบนหน้าผากของอสูรน้อย ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
นี่เป็นเคล็ดวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ เนื่องจากอสูรสมุทรแปดขาไม่มีสติปัญญาอะไร จึงถูกเขารับเป็นอสูรเลี้ยงอย่างง่ายดาย
ขณะที่อักขระสีดำตัวสุดท้ายจมหายไปในหัวของปีศาจสมุทรแปดขาอย่างไร้ร่องรอย ปีศาจสมุทรแปดขาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกก็ขยับตัวอยู่ครู่หนึ่ง หนวดสัมผัสจำนวนมากม้วนตัวรัดพันแขนของหลิ่วหมิงไว้
พอหลิ่วหมิงขยับแขน ไอดำก็ม้วนตัวออกไป จากนั้นก็วางอสูรน้อยลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง
ขณะที่แขนทั้งสองของเขาโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ธงค่ายกลแต่ละชิ้นกับแผ่นค่ายกลก็พุ่งออกมา และกระพริบหายไปบนพื้นห้องลับ ไม่นานก็ก่อตัวเป็นค่ายกลหลายชั้น
หลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ จากนั้นพู่กันสีเงินด้ามหนึ่งก็ปรากฏออกมา และวาดลงบนตัวอสูรน้อยผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว
ฉากที่น่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
บนตัวอสูรสมุทรน้อยแปดขามีแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และลวดลายจิตวิญญาณสีเงินจางๆ ก็ปรากฏออกมาเป็นเส้นๆ
หลิ่วหมิงรู้เกี่ยวกับลวดลายจิตวิญญาณเหล่านี้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ทุกอย่างเขาล้วนทำตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เขาถึงทำเสร็จสิ้น
ลวดลายจิตวิญญาณปกคลุมเต็มพื้นผิวของมันในแต่ละชุ่น แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
พอหลิ่วหมิงส่งเสียงตะคอกเบาๆ แสงแปลกประหลาดสองลำที่พุ่งออกจากดวงตาก็ตกลงบนตัวอสูรสมุทรแปดขา
อสูรตัวน้อยหยุกชะงักในทันที ร่างของมันแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย หนวดที่เคยโบกสะบัดก็ค่อยๆ หยุดลง
หลิ่วหมิงอาศัยพลังเวทอันบริสุทธิ์กระตุ้นพลังจิต และระงับความสามารถของปีศาจสมุทรแปดขาไว้ จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาสำคัญก็คือการเซ่นสังเวย
พอเขายกแขนเสื้อข้างหนึ่งปล่อยพลังลงบนพื้น ค่ายกลก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ
“ฟู่!”
แสงสีเหลืองขนาดเท่าถังน้ำสั่นสะเทือนออกจากค่ายกลที่อยู่บนพื้น พอมันสัมผัสกับชั้นจำกัดภายในถ้ำ ก็ถูกต้านทานไว้ทันที
ครู่ต่อมา แสงสีเหลืองจำนวนมากก็รวมตัวกันกลางอากาศ และกลายเป็นเมฆสีเหลืองก้อนหนึ่ง พริบตาเดียวก็แผ่กระจายไปทั่วห้องลับ
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เขาปล่อยพังเวทใส่ก้อนเมฆสีเหลืองอยู่ไม่หยุด
ขณะที่ท่ามือของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น เมฆสีเหลืองก็เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนรูปกรวย
และจุดสิ้นสุดของกระแสน้ำวนก็เป็นอสูรสมุทรน้อยแปดขาตัวนั้น มันกำลังหมอบอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ ด้วยสภาพซื่อๆ และไร้ซึ่งความรู้สึก
พอเห็นฉากเช่นนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง พอโบกแขนเสื้อไปด้านหน้า วัสดุจิตวิญญาณสีต่างๆ ก็ปรากฏออกมา
ทุกครั้งที่หลิ่วหมิงชี้นิ้วสีขาวออกไปติดต่อกัน ก็จะมีวัสดุจิตวิญญาณหนึ่งชิ้นพุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวน “ฟิ้ว!”
ขณะเดียวกัน เขาก็อ้าปากพ่นพลังเวทบริสุทธิ์ใส่เข้าไปด้วย ทำให้กระแสน้ำวนสีเหลืองหมุนวนเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่นานก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาหนึ่งเท่ากว่าๆ ราวกับว่าเป็นหลุมลึกไร้ก้น และดูดวัสดุจิตวิญญาณทั้งหมดเข้าไป
เมื่อวัสดุจิตวิญญาณชิ้นสุดท้ายพุ่งเข้าไปแล้ว กระแสน้ำวนก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง
นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ แสงแวววาวพุ่งออกจากปลายนิ้วหลายสิบจุด และกระพริบหายเข้าไปในกระแสน้ำวน
“ตู๊ม!”
กระแสน้ำวนกลายเป็นเปลวเพลิงจิตวิญญาณสีขาว และลุกไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นก็จมหายเข้าไปในร่างของอสูรสมุทรแปดขาท่ามกลางพายุหมุน
หลิ่วหมิงเพ่งตามองปีศาจสมุทรแปดขาด้วยแววตาตื่นเต้น โชคดีที่อสูรน้อยดูเหมือนตายไปแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
หลังจากอสูรน้อยดูดเปลวเพลิงจิตวิญญาณทั้งหมดไปแล้ว ร่างของมันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ลวดลายจิตวิญญาณบนตัวเริ่มเปล่งแสงสีเงินเป็นประกายแวววาว ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาทันใด และค่อยๆ เคลื่อนไหวเบาๆ
“ฟู่!”
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงถอนหายใจออกมายาวๆ ตอนนี้การเซ่นสังเวยประสบความสำเร็จโดยพื้นฐานแล้ว
ความคิดของเขาเปลี่ยนไปทันที นิ้วมือข้างหนึ่งชี้ออกไปเบาๆ จากนั้นแสงสีดำก็กระพริบออกจากปลายนิ้ว และร่วงลงบนตัวปีศาจสมุทรแปดขา
หลังจากอสูรตัวนี้สะดุ้งโหยงตื่นขึ้นมานั้น ดวงตาของมันดูมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากที่ดูทื่อๆ ในตอนแรก พอสะบัดหนวดสัมผัสทั้งแปด มันก็กระโดดขึ้นมาบนไหล่หลิ่วหมิง และส่งเสียงร้องออกมา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พลังเวทภายในร่างเริ่มเคลื่อนไหวตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดวิชาเกราะอสูรอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน พลังเวทก็พุ่งเข้าไปในร่างอสูรสมุทรแปดขาบนไหล่อย่างต่อเนื่อง
จุดแสงสีเงินหนึ่งจุดเปล่งประกายบนตัวอสูรสมุทร และขยายใหญ่เป็นลำแสงสีเงินอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีแสงสีดำพุ่งออกจากแสงสีเงินเป็นจำนวนมาก และแสงสีดำกับสีเงินปกคลุมร่างของเขาไว้ในฉับพลัน
เมื่อลำแสงมืดลงอย่างรวดเร็ว บนตัวหลิ่วหมิงก็มีเกราะหนังสีเงินจางๆ ที่ดูเรียบง่ายปรากฏออกมา มันแนบติดกับผิวหนังราวกับมีมาตั้งแต่เกิด
เสื้อเกราะนี้ปกคลุมแค่จุดสำคัญอย่างหน้าอก ท้องน้อย ลำคอ เป็นต้นเท่านั้น บนพื้นผิวมีลวดลายจิตวิญญาณสีเดียวกันประทับอยู่
หลิ่วหมิงส่ายคอ บิดเอว และขยับแขนขยับขาอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค้นพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ และไม่มีความรู้สึกตึง ราวกับว่าเป็นผิวหนังที่มีมาโดยกำเนิด
เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พอเอานิ้วกดลงบนเสื้อเกราะสีเงิน พลังอ่อนนุ่มบางอย่างก็ดีดออกมา
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกายในทันที พอดีดนิ้วออกไป ปราณกระบี่สีเขียวก็กระพริบออกมา
“เพล้ง!” มีแสงสีเงินปรากฏออกมาหนึ่งชั้น ปราณกระบี่กระเด็น และสลายไป
………………………………