ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 645 ของเหลวห้าแสง
“ก็ได้ ในเมื่อเรือนสมบัติสวรรค์อยู่ไม่ไกล เจ้าก็ไม่ต้องนำทางด้วยตนเองแล้ว ข้ามีโอสถเพิ่มพลังเวทอยู่ขวดหนึ่ง ให้เจ้าเป็นค่านำทางก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงมองชายหนุ่มคิ้วเข้มทีหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อนำขวดหยกสีเขียวเล็กๆ ออกมา และโยนให้ชายหนุ่ม
ชายหนุ่มคิ้วเข้มรับขวดหยกไว้ และรีบโค้งตัวกล่าวขอบคุณในทันที เมื่อเขาเปิดดูโอสถที่อยู่ด้านใน ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ขณะนั้นหลิ่วหมิงได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หลิ่วหมิงไม่ได้เข้าไปในเรือนสมบัติสวรรค์ทันที แต่กลับใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูกให้กลายร่างเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง จากนั้นถึงเดินออกไป
เรื่องการเคลื่อนไหวของเขาถูกหอเป๋ยโต่วเปิดเผยในครั้งก่อน ทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม
หากเรือนสมบัติสวรรค์มีสมบัติต่างๆ อย่างกับที่ชายหนุ่มคิ้วเข้มพูดจริงๆ จะต้องมีอิทธิพลไม่น้อยอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาจำต้องเปลี่ยนโฉมเป็นธรรมดา
ผ่านไปสักพัก ชายฉกรรจ์หน้าดำที่หลิ่วหมิงแปลงโฉมมา ก็มาปรากฏตัวนอกสิ่งก่อสร้างรูปเจดีย์หลังหนึ่งที่สูงสิบกว่าจั้ง แผ่นป้ายเหนือประตูมีอักขระสีทองเขียนติดอยู่ ‘เรือนสมบัติสวรรค์’ และอักขระเหล่านี้ก็เปล่งแสงทรงกลดสีเหลืองออกมา
หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“มีแขกมา!” ผู้ที่ส่งเสียงตะโกนเป็นพนักงานในร้านหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่ง ดูเหมือนเขาจะเห็นว่าหลิ่วหมิงมีระดับการฝึกฝนไม่ธรรมดา จึงเรียกขานอย่างสุภาพ
พอหลิ่วหมิงใช้จิตส่องดู ก็ค้นพบว่าพนักงานผู้นี้มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น เมื่อเทียบกับพนักงานร้านค้าทั่วไปที่มีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณแล้ว เรือนสมบัติสวรรค์แห่งนี้สูงกว่าขั้นหนึ่ง
“สหายผู้นี้ ข้าเป็นเถ้าแก่ของเรือนสมบัติสวรรค์แห่งนี้ ท่านเดินทางมาไกล เชิญไปดื่มชาพูดคุยกันบนหอก่อนดีกว่า” ไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีเทามาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงตั้งแต่เมื่อไหร่
พอหลิ่วหมิงมองเห็นคนผู้นี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน
เถ้าแก่วัยกลางคนผู้นี้แผ่กลิ่นไอระดับผลึกอยู่
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็ตามคนผู้นี้ขึ้นไปบนชั้นสี่ และเข้าไปในห้องรับรองที่มีพื้นที่เจ็ดแปดจั้ง
ห้องแห่งนี้แตกต่างจากห้องรับรองของเผ่ามนุษย์ค้างคาวที่เขาเคยเห็นในก่อนหน้า ผนังทั้งสี่ด้านเพียงแค่แขวนรูปภาพไว้ไม่กี่รูป นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอักขระใดๆ ที่เป็นชั้นจำกัดปิดกั้นเสียงอีก แต่บนประตูมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ที่ดูไม่เตะตาอยู่สองเส้น แต่กลับถูกหลิ่วหมิงมองเห็นจนได้
เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทายกชามาให้หลิ่วหมิงด้วยตัวเองหนึ่งแก้ว จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สหายผู้นี้มีนามเรียกขานว่าอย่างไร?” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาถามอย่างสุภาพ
“ข้าน้อยมีแซ่คู่ว่าโอวหยาง” หลิ่วหมิงจิบชาไปหนึ่งทีแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็คือสหายโอวหยาง แม้จะบอกว่าเมืองจันทราสายน้ำมีขนาดไม่เล็ก แต่กลับเป็นดินแดนที่ห่างไกล มักจะมีปีศาจอสูรปรากฏอยู่บริเวณใกล้ๆ ผู้ที่เข้าออกล้วนจำเป็นต้องผ่านค่ายกลส่งตัว สหายดูแปลกหน้าเช่นนี้ คิดว่าคงตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าข้าน้อยสามารถช่วยอะไรท่านได้บ้าง?” เถ้าแก่หัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“บอกเถ้าแก่อย่างไม่ปิดบัง ข้าน้อยอยากซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงจำนวนหนึ่ง น่าเสียดายที่ไปหาตั้งหลายตลาดแล้วก็ยังหาไม่ได้ จึงมาเรือนสมบัติสวรรค์เพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูง? สิ่งของนี้พบเจอไม่บ่อย แต่ในเมื่อสหายต้องการ ทางเรือนของเราจะต้องตอบสนองอย่างแน่นอน แต่ว่าของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงนี้ เป็นสิ่งที่มีมูลค่าแต่ไม่มีปรากฏในตลาด ทางด้านราคานั้น……” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาได้ยินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ราคาสามารถคุยกันได้ เพียงแค่เรือนของท่านมีของสิ่งนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี สหายรอสักครู่ ข้าจะให้พนักงานส่งของมาเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มกว้างออกมา
จากนั้นเขาก็ควักแผ่นกระดาษเปล่าสีขาวออกจากแขนเสื้อมาแผ่นหนึ่ง หลังจากใช้นิ้วขีดเขียนเบาๆ สองสามที เปลวไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา กระดาษขาวหลายเป็นควันสีดำ และหายไปจากห้องรับรอง
“สหายโอวหยางโปรดรอสักครู่” หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาก็กล่าวออกมาเช่นนี้
เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งมื้อข้าว พนักงานที่อยู่ด้านล่างในก่อนหน้านั้นก็เดินเข้ามา หลังจากคารวะผู้อาวุโสชุดเทาแล้วก็ยกแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้น ขวดเล็กๆ สีเงินห้าใบก็วางเรียงอยู่บนตั่งน้ำชา
“สหายตรวจสอบดูก่อนได้ จะได้รู้ว่าพอใจหรือไม่” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า พอเขาโบกมือข้างหนึ่ง ขวดเล็กๆ ใบหนึ่งก็ค่อยๆ ร่วงลงบนมือของเขา
หลิ่วหมิงเปิดฝาออกและกวาดสายตาเข้าไปด้านในทันที
จะเห็นว่าในขวดมีของเหลวสีเหลืองโปร่งแสงอยู่ ในของเหลวมีรูเล็กๆ ปรากฏอยู่จำนวนมาก และยังแผ่ปราณจิตวิญญาณที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกออกมาเป็นระยะๆ
น้ำผึ้งแฝงพลังจิตวิญญาณนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงถึงปิดฝาขวดที่บรรจุของเหลวห้าแสงใบสุดท้าย และวางมันลงบนโต๊ะเบาๆ ก่อนกล่าวกับฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้านอบน้อม
“ของเหลวจิตวิญญาณทั้งห้าขวดนี้มีคุณภาพไม่เลวจริงๆ สามารถจัดอยู่ในระดับสูงแล้ว ต้องการหินจิตวิญญาณจำนวนเท่าใดหรือ?”
“ขวดละหกแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ หากสหายเอาทั้งหมดล่ะก็ จะขายให้ในราคาสามล้านหินจิตวิญญาณ” เถ้าแก่หัวเราะและกล่าวอย่างมีแผนอยู่ในใจ
“สามล้านหินจิตวิญญาณ?”
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
เพราะของเหลวห้าแสงคุณภาพธรรมดาสองขวดที่ซื้อในก่อนหน้า ยังใช้แค่สามแสนกว่าหินจิตวิญญาณ แต่คุณภาพสูงกลับขวดละหกแสนกว่า ส่วนต่างนี้มากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก
“เอาเถอะ! ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต่อราคาแล้ว สามล้านหินจิตวิญญาณก็สามล้านหินจิตวิญญาณเถอะ!” ครู่เดียวหลิ่วหมิงก็กลับมามีท่าทีปกติ และกล่าวอย่างสงบ
จากนั้นก็ควักถุงหินจิตวิญญาณขนาดใหญ่ออกจากแหวนย่อส่วนแล้วโยนออกไป
“เฮ่อๆ สหายโอวหยางช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ หากมีของสิ่งใดที่ต้องการอีก ก็ให้มาที่เรือนของเราได้เลย” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทารับถุงหนังมา หลังจากใช้จิตกวาดดูแล้ว ก็หัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ครั้งนี้ต้องขอบคุณเรือนของท่านมาก มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าข้าต้องใช้เวลาหาของเหลวจิตวิญญาณนี้อีกนานแค่ไหน แต่ว่าเวลาก็สายมากแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่ขออยู่ที่นี่นานแล้ว”
หลิ่วหมิงเก็บขวดสีเงินทั้งห้าขวดเข้าไปในแหวนย่อส่วน หลังจากพูดจาอย่างนอบน้อมไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ลุกขึ้นกุมมือคารวะชายชุดคลุมสีเทา และกล่าวคำอำลาออกมา
ต่อมา เถ้าแก่ก็เดินออกจากเรือนสมบัติสวรรค์พร้อมกับเขา จากนั้นก็ตัวเขาก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า
พอหลิ่วหมิงเหาะออกจากเมืองจันทราสายน้ำแล้ว ก็ปล่อยเรือเหาะหยกจันทราออกมาหนึ่งลำ จากนั้นก็พุ่งไปยังค่ายกลส่งตัวทันที
ในระหว่างทาง เขายังเปลี่ยนโฉมเป็นคนอื่นๆ อย่างระมัดระวัง และพยายามหลบผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ
สองเดือนผ่านไป เขาถึงกลับถึงถ้ำที่พักในนิกายยอดบริสุทธิ์
ขณะนี้ อยู่ห่างจากเวลาที่ฟองอากาศลึกลับจะออกมาดูดกลืนพลังเวทแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ เท่านั้น และหลังจากเขาผ่านอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ในที่สุดก็เตรียมวัตถุดิบปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณได้หลายชุดแล้ว
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงแขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู และฝึกฝนอยู่ห้องลับเพียงลำพัง เขาสังเกตดูสถานการณ์ของนาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนในทะเลจิตวิญญาณอยู่ตลอดเวลา
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า เมื่อทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงมานั้น ทะเลจิตรับรู้ก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง ฟองอากาศแวววาวปรากฏออกมาในทะเลจิตวิญญาณของเขา
“จะเริ่มแล้ว!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ หนึ่งประโยค ทันใดนั้นก็ปล่อยพลังจิตไปสัมผัสมันเบาๆ
“เพล้ง!”
ฟองอากาศลึกลับระเบิดตัวทันที แรงดึงดูดมหาศาลบางอย่างพวยพุ่งออกมา
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าโลหิตในตัวเดือดพล่าน หมอกดำพวยพุ่งรอบตัว พลังเวทถูกปล่อยออกมาจากผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดภายในร่างอยู่ไม่หยุด และพวยพุ่งเข้าหาฟองอากาศลึกลับในทะเลจิตวิญญาณราวกับระลอกคลื่น
ขณะที่พลังเวทภายในร่างพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าแดงระเรื่อของเขาก็ซีดขาวลง และไอหมอกดำที่ผิวของเขาแผ่ออกมา ก็ค่อยๆ จมหายไปในห้องลับจนดูบางเบาขึ้นมา
ขณะนี้หลิ่วหมิง กลับแสดงสีหน้าดีใจออกมา เพราะได้เตรียมการมานานแล้ว
เขาใช้จิตกวาดดูภายในแหวนย่อส่วน หลังจากมั่นใจว่าเตรียมทุกอย่างไว้ครบครันแล้ว ก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทันที และไอดำสองสายก็ม้วนตัวออกมา หลังจากสลายไปแล้ว ก็เผยให้เห็นร่างของหัวบินกับแมงป่องกระดูก
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้สั่งการอะไร ก็ดูเหมือนว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว หัวบินสะบัดผมรัดแขนหลิ่วหมิงไว้แน่น ส่วนแมงป่องกระดูกก็พุ่งขึ้นมาบนไหล่ของหลิ่วหมิง และก้ามยักษ์ทั้งสองก็หนีบแขนเสื้อหลิ่วหมิงไว้
ดูเหมือนว่าเวลาที่ฟองอากาศลึกลับดูดกลืนพลังเวทในครั้งนี้ จะยาวนานกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อพลังเวทภายในร่างหลิ่วหมิงถูกดูดไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว แรงดึงดูดจากฟองอากาศถึงหยุดชะงักลง
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่เขายังไม่ทันได้ตรวจสอบดูสภาพของทะเลจิตวิญญาณ ก็พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหูเบาๆ และภาพตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นมา
เมื่อเขามองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง ร่างของเขาก็มาอยู่ภายในห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ แล้ว
ห้องว่างเปล่าลึกลับในขณะนี้ มีขนาดใหญ่กว่าที่เข้ามาในครั้งก่อนหลายเท่า ประจักษ์ชัดว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูดกลืนพลังเวทจำนวนมากในครั้งนี้
บนพื้นที่อยู่ห่างจากเขาไปร้อยกว่าจั้ง หลัวโหวกำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ ขณะที่หลิ่วหมิงมาปรากฏตัว เขาก็ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาเลย
“พวกเจ้าไปฝึกฝนก่อนเถอะ!” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองหัวบินกับแมงป่องกระดูกที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่ง และออกคำสั่งเบาๆ
“ทราบแล้วนายท่าน!”
หัวบินกับแมงป่องกระดูกตอบรับพร้อมกัน หลังจากนั้นร่างของพวกมันก็พร่ามัวไปปรากฏตัวด้านหน้าผนังอากาศที่อยู่ไกลๆ
หัวบินปล่อยเส้นผมสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงใส่กำแพงหมอกผนังอากาศ
ส่วนแมงป่องกระดูกก็ใช้ก้ามยักษ์ลูบไหล่หลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงกระโดดลงไป หลังจากลวดลายจิตวิญญาณบนตัวเปล่งประกาย มันก็ขยายใหญ่สิบกว่าจั้ง และพุ่งไปยังผนังอากาศอีกด้านทันที
หลังจากเห็นว่าทั้งสองไปแล้ว หลิ่วหมิงถึงค่อยๆ เดินไปตรงหน้าหลัวโหว และประสานมือกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม
“ผู้อาวุโสหลัวโหว”
หลัวโหวเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย ยังคงไม่ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และก็ไม่พูดอะไรออกมาด้วย
หลิ่วหมิงรู้ว่าที่หลัวโหวอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ก็เพื่อช่วยเขาฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์เท่านั้น เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็เดินไปนั่งสมาธิอีกที่หนึ่ง
หากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ครั้งนี้เขาจะอยู่ห้องว่างเปล่าลึกลับนานถึงสิบหกปี สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องฝึกปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณให้ชำนาญก่อน
หลังจากเขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ แล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เตาหลอมขนาดเล็กที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ มันคือเตาหลอมลิ่วเสินที่เขาได้มาจากวังมายานภาหยกในหลายปีก่อนนั่นเอง
………………………………