ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 651 วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา
ยอดเขากระบี่สวรรค์ฝึกฝนกระบี่เป็นหลัก คัมภีร์ในนี้ย่อมเป็นเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับสายกระบี่เป็นธรรมดา
หลิ่วหมิงเข้าใกล้ชั้นไม้ในนั้นอย่างสบายใจ และหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเจอจำนวนไม่น้อย
สองขั้นตอนใหญ่ของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ คือวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่กับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ ซึ่งมีอยู่ในนี้ทั้งหมด
ภายใต้การกวาดสายตามองของหลิ่วหมิง เขาตั้งใจมองข้ามคัมภีร์เกี่ยวกับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไป หลังจากใช้ป้ายเปิดม่านแสงออกมาแล้ว ก็ใจจดใจจ่ออยู่กับคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับร่างตัวอ่อนกระบี่
“วิธีหลอมทองคำทมิฬ วิธีหลอมดวงใจแผดเผา…”
ป้ายหยกที่ห้อยอยู่ตรงหน้าแผ่นหยก ระบุข้อดีและข้อเสียของวิธีการหลอมตัวอ่อนกระบี่ต่างๆ อย่างชัดเจน ทั้งยังระบุจำนวนแต้มคุณูปการที่ใช้แลกด้วย
ตั้งแต่ดูมา หลิ่วหมิงยังหาวิธีลับที่เขาถูกใจเป็นอย่างมากไม่ได้เลย
จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุของเขา มีพลังจิตวิญญาณของไผ่ว่างเปล่าแฝงอยู่ด้านใน ด้วยเหตุนี้ร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอม ย่อมต้องพิจารณาถึงปัญหาของคุณสมบัติที่เสริมซึ่งกันและกันด้วย
ขณะนั้นเอง แผ่นหยกบนชั้นหนังสือตรงมุมห้องที่เปล่งแสงสีฟ้าอยู่ ก็ดึงดูดสายตาของเขาในทันที
หลิ่วหมิงเดินมาตรงหน้าชั้นหนังสือ พอกวาดสายตามองไป ก็ค้นพบว่าบนป้ายหยกมีคำว่า ‘วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา’ ระบุอยู่ แต้มคุณูปการที่ใช้แลกมากถึงสามแสนแต้ม
เขาสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน และมองดูคำแนะนำบนนั้นอย่างละเอียด ไม่นานดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา
วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา เป็นวิธีการที่อาศัยพลังของดวงดาวบนท้องฟ้ามาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ คุณสมบัติของมันเหมาะสมกับตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุเป็นอย่างมาก และพอสำเร็จออกมา ร่างตัวอ่อนกระบี่ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทั้งยังแหลมคมเป็นพิเศษ
แต่ตามวัสดุที่ใช้ มันมีโอกาสที่จะมีคุณสมบัติบางอย่างของพลังแม่เหล็ก เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูจะแสดงความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่ข้อเสียเพียงประการเดียวของการหลอมด้วยวิธีนี้ก็คือ พลังของแสงดาวที่ดึงมาจากท้องฟ้านั้นควบคุมได้ยากมาก และพอการหลอมล้มเหลว วัสดุที่ใช้ในก่อนหน้าก็จะใช้งานไม่ได้อีก
หลังจากหลิ่วหมิงอ่านคำอธิบายเหล่านี้จบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงนำแผ่นหยกนี้เดินลงไปด้านล่าง
บนแผ่นหยกยังมีชั้นจำกัดจางๆ อีกหนึ่งชั้น จำเป็นต้องคลายชั้นจำกัดออกก่อนถึงมองเห็นเนื้อหาด้านในได้
“วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเลือกวิธีลับนี้?” เหลียงกงที่อยู่ในห้องคัมภีร์ชั้นหนึ่งของหอเก็บคัมภีร์จ้องมองแผ่นหยกสีฟ้าในมือ และสังเกตดูหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย
“ถูกต้อง วิธีหลอมนี้เหมาะสมกับศิษย์พอดี หวังว่อาจารย์อาเหลียงจะส่งเสริม” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“สิ่งที่ระบุอยู่บนนี้เจ้าคงอ่านดูแล้ว พอหลอมตัวอ่อนกระบี่ชนิดนี้ออกมา ย่อมมีอานุภาพไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ความยากในการหลอม ก็เป็นหนึ่งในวิธีหลอมทั้งหมดที่สามารถงอนิ้วนับได้ ตั้งแต่ก่อตั้งยอดเขากระบี่สวรรค์มา ก็มีแค่ผู้อาวุโสเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ใช้เคล็ดวิชานี้หลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ได้สำเร็จ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนล้มเหลวไปทั้งหมด ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนใจก็ยังไม่สาย จะได้ไปเลือกวิชาในการหลอมใหม่อีกครั้ง” เหลียงกงค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
“ขอบคุณอาจารย์อาที่ชี้แนะ แต่ศิษย์ได้ตัดสินใจแล้ว และรู้สึกว่าวิธีนี้เหมาะกับตนเองมาก หากไม่สำเร็จจริงๆ ค่อยใช้วิธีการอื่นก็ยังไม่สาย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ในเมื่อเจ้าจะลองให้ได้ ข้าก็จะไม่ห้ามปรามแล้ว เอาป้ายประจำตัวของเจ้ามาเถอะ! แต่ว่าหากครั้งหน้าเจ้ามาหาวิชาในยอดเขาเราอีก คงไม่ได้เสียแต้มคุณูปการแค่สามส่วนแล้ว” เหลียงกงฟังจบก็หัวเราะก่อนกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงย่อมตอบกลับไปว่า “ทราบ!” จากนั้นก็ยื่นป้ายประจำตัวออกไป
ชายชุดคลุมสีดำเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขารับป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิงมา และหักแต้มคุณูปการออกไปสามแสนเก้าหมื่นแต้ม
จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบลงบนแผ่นหยกสีฟ้า ทำให้ชั้นจำกัดบนนั้นหายไปก่อนโยนคืนให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงยื่นมือรับแผ่นหยกกลับมา และแอบแบะปากอยู่ในใจ
พักนี้เขาใช้แต้มคุณูปการอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มันใกล้จะหมดลงแล้ว
หลิ่วหมิงรีบคัดลอกเนื้อหาในแผ่นหยกใส่แผ่นหยกอีกชุด และทำการสาบานว่าจะไม่เผยแพร่ออกไป จากนั้นถึงคืนแผ่นหยกสีฟ้าให้กับเหลียงกงก่อนกล่าวคำอำลาจากไป
ไม่นาน เมฆดำก้อนหนึ่งก็ทะยานขึ้นจากยอดเขากระบี่สวรรค์ จากนั้นก็พุ่งไปทางยอดเขาลั่วโยวอย่างรวดเร็ว
พอกลับถึงถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และนำ ‘วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา’ ที่คัดลอกในเมื่อครู่ออกมา เขานำจิตจมดิ่งเข้าไปในนั้น และทำความเข้าใจวิธีหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่อย่างละเอียด
หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงถึงเข้าใจวิธีการหลอมในคัมภีร์อย่างทะลุปรุโปร่ง และขณะนี้ศีรษะของเขาก็มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก
ที่แท้วิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ จำเป็นต้องวางค่ายกลพิเศษที่มีชื่อเรียกว่าค่ายกลแสงดารา ทั้งยังต้องอยู่ในเวลาและสถานที่พิเศษ ถึงจะดึงพลังดารามาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ได้
ตอนนี้หลิ่วหมิงมีแดนมายาในห้องว่างเปล่าลึกลับที่สามารถจำลองสถานที่ดึงพลังของดาราได้ไม่จำกัด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความยากในการหลอม
แต่ว่าวัสดุร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอมขึ้นด้วยวิธีลับนี้ กลับมีเพียงไม่กี่ตัวเลือก ยกตัวอย่างเช่น วิญญาณทองคำอุกาบาตธาตุทอง วิญญาณสีน้ำเงินธาตุน้ำ เป็นต้น
วัสดุเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง คิดจะหาหนึ่งในนั้นให้เจอ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คาดว่าคงมีแต่ในงานประมูลบางอย่างเท่านั้น
แต่ยังไม่รู้ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่างเขา ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องรีบหาวัสดุในตอนนี้
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไปค้นหาและสอบถามเคล็ดวิชาการฟื้นฟูอานุภาพของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อีกรอบ แม้ว่าจะหาได้มาหลากหลายรูปแบบ แต่หากไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องใช้สมบัติฟ้าดินในตำนานบางอย่างมาหล่อเลี้ยง ก็จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปยื่นมือเข้าช่วยถึงจะได้
ภายใต้สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หลิ่วหมิงจึงได้แต่วางเฉยกับเรื่องนี้ชั่วคราว จากนั้นก็เข้าห้องลับทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังวิเศษของการขี่กระบี่เหินเวหาในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งอีกครั้ง
การขี่กระบี่เหินเวหาที่กล่าวถึง ต้องมีการฝึกฝนระดับผลึกถึงจะฝึกฝนได้
ก่อนหน้านั้น เขาใช้กระบี่ร่างเป็นหนึ่งขับเคลื่อนแสงกระบี่ให้กลายเป็นแสงหลบหลีกในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผลลัพธ์คล้ายคลึงกับขี่กระบี่เหินเวหา แต่ว่าต้องใช้พลังเวทมากเป็นพิเศษ หากเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจที่ไม่อาจสลัดตัวให้หลุดพ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ย่อมมีอันตรายถึงชีวิตแล้ว
แต่ว่ารากฐานของขี่กระบี่เหินเวหาก็คือวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งโดยแท้ ทั้งยังต้องฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ให้ถึงขั้นลึกซึ้ง ถึงจะสามารถควบคุมได้อย่างแท้จริง
หลิ่วหมิงท่องจำเคล็ดขี่กระบี่เหินเวหาทั้งหมดไว้ในใจ จากนั้นก็หลับตาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อีกครั้ง
เช้าตรู่วันที่สอง ท่ามกลางหุบเขาเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ รอบด้านเต็มไปด้วยหินสีเทาขาวระเกะระกะที่เหลื่อมซ้อนกัน สายลมภูเขาที่พัดผ่าน ก่อให้เกิดเสียงดังแปลกประหลาดราวกับปีศาจร่ำร้องไห้
หลิ่วหมิงยืนหลับตาอยู่บนหินยักษ์ใต้หน้าผาก้อนหนึ่ง กระบี่จิตวิญญาณสีเขียวชี้ไปที่พื้น เสื้อผ้าโบกสะบัดตามแรงลมอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!”
หลังจากครุ่นคิดมาหนึ่งคืน ตอนนี้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของวิชาขี่กระบี่บินเหินเวลาแล้ว ขณะนี้จึงรีบร้อนมาฝึกฝนภายในสถานที่แห่งนี้ เพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาเข้าใจ
เขานำกระบี่บินสีเขียวมาตั้งขวางไว้บริเวณหน้าอกทันที พอทำท่ามือ นิ้วชี้นิ้วหนึ่งก็ค่อยๆ ลูบจากด้ามกระบี่ไปยังปลายกระบี่อย่างช้าๆ เพื่อใส่พลังเวทเข้าไปในตัวกระบี่อย่างเท่าเทียมกัน
ขณะที่นิ้วของเขาลูบไปถึงปลายกระบี่นั้น กระบี่เล็กสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สะบัดแขนในทันที กระบี่เล็กสีเขียวหลุดจากมือไปลอยอยู่ตรงหน้า พอชี้มือข้างหนึ่งออกไป พลังเวทภายในร่างก็พุ่งเข้าไปในกระบี่อย่างต่อเนื่อง
“ฟู่!”
กระบี่เล็กขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ภายในพริบตา พอหลิ่วหมิงเอาปลายเท้าแตะพื้น ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปอยู่บนตัวกระบี่
เขาร่ายคาถาออกมา ระหว่างที่มือทั้งสองเปลี่ยนไปมานั้น แสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากเงากระบี่ใต้เท้า และหมุนวนรอบๆ ตัวเขา
หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา แสงสีแดงบนตัวเปล่งประกาย เงากระบี่ยักษ์ใต้เท้าสั่นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่กองหินระเกะระกะอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
พอมองจากที่ไกลๆ หลิ่วหมิงที่เหยียบกระบี่บินสีเขียวอยู่ ได้กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวไปแล้ว
“ตู๊ม!”
กองหินระเกะระกะที่สูงสี่ห้าจั้ง ถูกเจาะเป็นโพรงขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ จากนั้นสายรุ้งยาวสีเขียว ก็พุ่งไปยังหน้าผาอีกด้าน
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงหยุดทำท่ามือในทันที ทำให้แสงหลบหลีกหยุดตัวลง แต่เนื่องจากความเร็วที่เร็วเกินไป เงากระบี่สีเขียวใต้เท้ายังคงพาเขาไปชนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง
“ตู๊ม!” หลิ่วหมิงอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ทำให้หินยักษ์ถูกทุบจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
การลองขี่กระบี่เหินเวหาของหลิ่วหมิงในครั้งแรก ไม่ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด
ด้านหนึ่งเขาไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับความเร็วในการขี่กระบี่เหินเวหาได้ อีกด้านหนึ่ง แสงกระบี่บนพื้นผิวก็ไม่อาจควบคุมได้ดังใจ
ดูท่าคงจะเป็นตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ วิชาขี่กระบี่ยังไม่ถึงขั้นลึกซึ้งอย่างแท้จริง การขี่กระบี่เหินเวหา ก็ไม่อาจใช้ในการเหินเวหาระยะไกลได้
แต่ว่าเมื่อการล้มเหลวในครั้งแรกทำให้ทราบสาเหตุแล้ว การฝึกฝนของหลิ่วหมิงในลำดับต่อมา ก็มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นเวลาต่อมา ด้านหนึ่งเขาก็ฝึกฝนวิชาขี่กระบี่อยู่ในห้องลับไม่หยุด ด้านหนึ่งก็ศึกษาเทคนิคต่างๆ ของการขี่กระบี่บินเหินเวหา
หนึ่งปีต่อมา ภายในส่วนลึกของยอดเขาบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่เป็นหินระเกะระกะ และไม่ค่อยมีคนมาถึง มีเสียงดังออกมาอยู่ไม่หยุด
สายรุ้งกระบี่สีเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ กำลังพุ่งไปมาท่ามกลางโขดหินระเกะระกะ
พอก้อนหินยักษ์สีขาวเทาขนาดหลายจั้งสัมผัสกับสายรุ้งกระบี่สีเขียว มันก็ถูกเจาะทะลุจนพังพินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย
ไม่นาน ก้อนหินยักษ์บริเวณรอบๆ ก็ถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดี และมีโพรงปรากฏอยู่ทุกที่
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากแสงกระบี่
หลังจากมีเสียงอุทานเบาๆ “เอ๊ะ!” แสงกระบี่สีเขียวก็ดับลง เผยให้เห็นชายหนุ่มชุดดำที่มือถือกระบี่จิตวิญญาณสีเขียวอยู่
เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
พอสะบัดแขนเสื้อ แผ่นค่ายกลส่งเสียงที่มีขนาดฉื่อกว่าๆ ก็พุ่งออกมา และลอยอยู่ตรงหน้าเขา
“รีบมาพบข้าที่วิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของอินจิ่วหลิงดังออกมา
หลิ่วหมิงมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปทางอากาศ แผ่นค่ายกลสีเหลืองสลัวๆ หมุนวนหนึ่งรอบก่อนพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของเขา
จากนั้นหลิ่วหมิงก็เก็บกระบี่บินสีเขียวเข้าไป และเหยียบเมฆดำทะยานขึ้นฟ้าก่อนพุ่งไปทางยอดเขาลั่วโยว
………………………………