ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 661 ร่างตัวอ่อนกระบี่
หนึ่งเดือนต่อมา ภายในแดนมายาที่ดวงตามายาปีศาจสร้างขึ้น
หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางค่ายกลแสงดาราเหมือนดังที่ผ่านมา มีแสงดาราเข้มข้นลอยวนอยู่รอบๆ
พอเปลวไฟสีขาวตรงหน้าสลายไป ก็เผยให้เห็นร่างกระบี่สีทองอร่ามขนาดเล็กที่ยาวสองฉื่อเล่มหนึ่ง
“สำเร็จแล้ว!”
หลิ่วหมิงมองดูร่างตัวอ่อนกระบี่ที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่สำเร็จ
จะว่าไปแล้ว ร่างตัวอ่อนกระบี่หลอมยากเช่นนี้ มันช่างเหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงยิ่งนัก
โชคดีที่เขาสามารถทดลองซ้ำๆ ในแดนมายาได้ หากเป็นคนทั่วไปที่อยากจะสำเร็จในครั้งเดียว ก็ดูเหมือนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
แม้ว่าก่อนหน้านั้นทุกอย่างจะราบรื่น แต่หากเกิดความผิดพลาดในเรื่องของกำลังไฟที่เผาได้ที่ ก็จะหลอมได้แค่ของที่มีสภาพไม่ดี หากนำมาใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ล่ะก็ อาจทำให้อานุภาพของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณลดลงไปไม่น้อย
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง และออกไปจากแดนมายาอีกครั้ง
พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
หลิ่วหมิงผ่านการหลอมมาร้อยกว่าครั้ง ในการหลอมร่างกระบี่สิบครั้งในตอนนี้ สามารถหลอมได้สำเร็จห้าถึงหกครั้งแล้ว และความล้มเหลวไม่กี่ครั้งก็เป็นเพราะความประมาท
ครึ่งปีต่อมา ทักษะการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ของหลิ่วหมิงก็ค่อนข้างชำนาญแล้ว แม้ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสำเร็จเต็มสิบส่วน แต่ก็มีอัตราความเร็จแปดถึงเก้าในสิบส่วน
วันนี้ ขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ แผ่นค่ายกลส่งเสียงบนเอวก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่และหยิบแผ่นค่ายกลออกมา หลังจากปล่อยพลังเวทเข้าไปในนั้นแล้ว ก็มีเสียงจินเทียนชื่อดังมาจากแผ่นค่ายกล
“คืนในอีกสามวันให้หลัง จะเป็นคืนที่พลังของดาราแข็งแกร่งที่สุด หวังว่าพี่หลิ่วจะเตรียมการไว้ล่วงหน้า”
“ดูท่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวคงขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค หลังจากเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลงอีกครั้ง
เวลาที่เหลือเขาไม่ได้เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีก แต่กลับนั่งเข้าฌานอย่างเงียบๆ เพื่อฟื้นฟูพลังจิตและพลังเวทให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ตอนบ่ายในอีกสามวันต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงตรวจสอบทุกอย่างที่อยู่ในแหวนย่อส่วน และมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็ขี่เมฆไปยังสถานที่ที่ทั้งสองนัดกันไว้ในก่อนหน้า
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาถึงบนยอดเขาเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คนอีกครั้ง จินเทียนชื่อกำลังนั่งอยู่บนหินข้างค่ายกล พอเห็นหลิ่วหมิงมาถึงก็ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ลำบากพี่จินเฝ้าอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว” พอหลิ่วหมิงลงจากเมฆดำ ก็กุมมือกล่าวกับจินเทียนชื่อ
“ไม่เป็นไร ที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ อีกอย่างการสังเกตปรากฏการณ์ในครึ่งปีมานี้ ก็ได้อะไรมาอยู่” จินเทียนชื่อโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากทั้งสองสนทนากันอย่างง่ายๆ แล้ว หลิ่วหมิงก็ไปตรวจสอบค่ายกลที่วางไว้ในก่อนหน้าอีกครั้ง และไม่ค้นพบว่ามีอะไรผิดปกติถึงรู้สึกวางใจขึ้นมาจริงๆ
“ตอนนี้เป็นเวลาสายัณห์ ยังเหลือเวลาราวๆ สองชั่วยามกว่าก่อนที่ดวงดาวบนท้องฟ้าจะลงมา พวกเรารออีกสักครู่ก็น่าจะได้แล้ว” จินเทียนชื่อมองดูท้องฟ้าที่มืดมนในระยะไกลๆ แล้วกล่าวอย่างมีแผนในใจ
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ จากนั้นก็ไปหาสถานที่สะอาดๆ นั่งรอคอยอย่างเงียบๆ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เวลาสองชั่วยามผ่านไปภายในพริบตา
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า และหรี่ทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้
มองจากมุมนี้ ดูเหมือนว่าดวงดาวที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ครึ่งปีก่อนจะสามารถเปรียบเทียบได้ แม้กระทั่งยังเปล่งประกายกว่าดวงดาวที่ดวงตามายาปีศาจสร้างขึ้นมามาก
เห็นได้ชัดว่าวิชาโหราศาสตร์ของจินเทียนชื่อผู้นี้ ไม่ใช่ว่า ‘รู้เพียงเล็กน้อย’ อย่างที่เขาพูดแล้ว
ขณะนั้นเอง คำพูดของจินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้าง ก็ขัดความคิดของหลิ่วหมิงทันที
“พี่หลิ่ว ได้เวลาพอประมาณแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มกันเถอะ” หลิ่วหมิงดึงสติกลับมาก่อนตอบกลับไป
จินเทียนชื่อเดินไปด้านหนึ่งของค่ายกลโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และโบกแขนเสื้อบ่งบอกให้หลิ่วหมิงเข้าไปในด้านใน
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิกลางค่ายกล และนำวัสดุออกมาวางไว้ด้านหน้า
จินเทียนชื่อก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และปล่อยแสงสีทองออกมา ธงเล็กรอบๆ ค่ายกลส่งเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” และเปล่งแสงสีทองจางๆ
หลังจากกระตุ้นธงค่ายกลที่วางไว้นานครึ่งเดือนแล้ว สีหน้าของจินเทียนชื่อก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในฉับพลัน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง พอนับนิ้วดูแล้วก็โบกมือไปยังทิศทางบางแห่ง ธงค่ายกลอันหนึ่งสั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็พุ่งขึ้นจากพื้น และปักลงบนพื้นที่ห่างออกไปราวๆ ครึ่งชุ่น
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าแสงแวววาวที่ค่ายกลเปล่งออกมาจะสว่างขึ้นอีกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็กลับมามีสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว
จินเทียนชื่อปล่อยพลังใส่ค่ายกลอยู่หลายสาย และธงค่ายกลทั้งสามสิบหกก็เปล่งประกายแสงสีทองจางๆ
จากนั้นเขาก็ชี้ไปบนท้องฟ้า ไหมแสงเป็นเส้นๆ ที่ไม่อาจมองเห็นได้รวมตัวเข้าหาค่ายกลอย่างต่อเนื่อง
อากาศเหนือค่ายกลมีแสงแวววาวปรากฏออกมาจำนวนมาก
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ระดับความเข้มข้นของแสงดารานี้ เหนือกว่าแดนมายาในก่อนหน้านั้นมาก ตอนที่เขาควบคุมเปลวไฟแห่งดารา จะต้องระมัดระวังให้มากถึงจะได้
ดังนั้น หลังจากเขาสูดหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือกแล้ว ก็นำแก่นทองคำอุกกาบาตออกจากกล่องหยกอย่างคุ้นเคย และโยนออกไปกลางอากาศตรงหน้า พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง แสงดาราเป็นจุดๆ ก็รวมตัวกันเป็นเปลวไฟแห่งดาราสีขาว และเผาไหม้สิ่งแปลกปลอมที่อยู่บนนั้น
เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม สิ่งแปลกปลอมก็ถูกชุบไฟพอประมาณแล้ว หลิ่วหมิงจึงรีบนำวัสดุเสริมออกมาหลอมอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหลอมตัวอ่อนกระบี่หรือการควบคุมเปลวไฟแห่งดวงดาว หลิ่วหมิงก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังคงมีท่าทีไม่หวั่นเกรงใดๆ
เพราะเขาทดลองทำในแดนมายาไปร้อยกว่าครั้งแล้ว
พอจินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้กลับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เปลวไฟในค่ายกลก็รวมตัวกันมากขึ้น จนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่า
ท่ามกลางเปลวไฟสีขาว มีเงาสีทองจางๆ หดขยายอยู่ไม่หยุด ซึ่งอาจระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา
ขณะนี้ หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมมาก บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ผุดออกมาสองสามเม็ด มือทั้งสองยังคงเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ พลังเวทแต่ละสายพุ่งใส่เปลวไฟสีขาวราวกับสายฝนกระหน่ำ ทำให้เงาสีทองในนั้นอยู่ในขอบเขตจำกัดที่กำหนด
ทันใดนั้น เขาก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา ภายในอึดใจเดียวก็ดีดพลังหลากสีออกไปสิบกว่าสาย แสงสีทองเจิดจ้าลำหนึ่งพุ่งออกจากเปลวไฟสีขาว
“ตู๊ม!”
เปลวไฟสีขาวสลายตัวออกมา ตัวอ่อนกระบี่สีทองอร่ามเล่มหนึ่งลอยอยู่ในนั้น และยังคงดูดซับพลังแสงดารารอบด้านอยู่ไม่หยุด
เทียบกับร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอมในแดนมายาแล้ว ครั้งนี้หลอมออกมายาวสองฉื่อแปดชุ่น ดูเหมือนจะยาวขึ้นเกือบจะครึ่งหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ร่างตัวอ่อนกระบี่ยิ่งมีขนาดใหญ่ พลังของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่สำเร็จออกมา ก็จะน่าตกใจมากขึ้นด้วย
“ดูท่าคงต้องแสดงความยินดีกับศิษย์พี่หลิ่วด้วยแล้ว!” จินเทียนชื่อสังเกตดูร่างตัวอ่อนกระบี่สองสามที และเผยแววตาครุ่นคิดออกมา
“ที่ครั้งนี้สามารถหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ได้สำเร็จ ต้องขอบคุณพี่จินที่ช่วยเหลือ ข้าใช้งานเสร็จแล้ว หวังว่าคงจะไม่ทำให้พี่จินใช้ค่ายกลนี้ล่าช้าเกินไป”
หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ พอโบกมือข้างหนึ่ง ตัวอ่อนกระบี่สีทองสลัวๆ ก็หมุนวนหนึ่งรอบก่อนร่วงลงในกล่องไม้ที่เขาเตรียมไว้ และถูกเก็บเข้าไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหลิ่วหมิงถึงก้าวออกมาจากค่ายกล
“พี่หลิ่วสามารถใช้ระยะเวลาสั้นๆ แค่สองชั่วยามหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ออกมาได้ ช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว” จินเทียนชื่อหัวเราะก่อนตอบกลับไป
พอพูดจบ เขาก็หายวับเข้าไปอยู่ในใจกลางค่ายกล มือทั้งสองก็ทำท่ามือแปลกประหลาด ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ปิดลง และเริ่มร่ายคาถาออกมา
ครู่ต่อมา ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
อักขระสีทองนับไม่ถ้วนปรากฏออกมารอบตัวจินเทียนชื่อ และสว่างไปทั่วทั้งตัว ร่างของเขาราวกับเป็นลูกไฟสีทองกลุ่มหนึ่ง และส่องแสงจนรอบๆ ดูสว่างขึ้นมา
และแสงสีขาวแวววาวรอบด้านค่ายกล ก็หมุนวนรอบตัวจินเทียนชื่อเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ความเร็วในการหมุนวนของแสงดาราสีขาวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงระดับที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกลานตาเล็กน้อย พอมองจากที่ไกลๆ ทำให้รู้สึกราวกับว่าดวงดาวเต็มท้องฟ้ากำลังหมุนวนรอบดวงอาทิตย์อยู่
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้น แสงดาราทั้งหมดก็หมุนติ้วๆ กลายเป็นแสงวับแวมก่อนพุ่งยิงไปที่จินเทียนชื่อทั้งหมด และค่อยๆ จมหายไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย
พอเห็นฉากเช่นนี้หลิ่วหมิงก็เบิกตากว้างขึ้นมา และเผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดอย่างปิดไม่มิด
ไม่รู้ว่าจินเทียนชื่อผู้นี้ฝึกฝนพลังอะไร ถึงได้อาศัยกายเนื้อดูดซับพลังแสงดาราโดยตรง
สำหรับพลังแฝงในแสงดารานี้หลิ่วหมิงย่อมรู้ดี แก่นทองคำอุกกาบาตที่เป็นวัสดุแข็งแกร่งนี้ ยังถูกมันหลอมจนเปลี่ยนรูปร่างได้ กายเนื้อของผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปยิ่งไม่อาจรับพลังมหาศาลเช่นนี้ได้ถึงจะถูก
ขณะนั้นเอง แสงสีทองในค่ายกลก็ดับลง และเผยให้เห็นร่างของจินเทียนชื่ออย่างชัดเจน
ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองในตอนนี้หลับตาทั้งคู่สนิท เริ่มมีลวดลายจิตวิญญาณสีทองแปลกประหลาดปรากฏบนผิวเป็นเส้นๆ กลิ่นไอก็แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ ขณะที่หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูจินเทียนชื่อนั้น ก็ค้นพบว่าเขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ทั้งยังพุ่งสูงขึ้นด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ครู่ต่อมา จินเทียนชื่อที่มีลายจิตวิญญาณสีทองเต็มตัว ก็มีกลิ่นไอของระดับผลึกขั้นกลางแล้ว แรงกดดันแข็งแกร่งบางอย่างเริ่มแผ่ออกมาตามอำเภอใจ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป คลื่นพลังเวทบนตัวจินเทียนชื่อถึงสงบลง
แต่หลิ่วหมิงกลับพบว่าคอของเขาแห้งผาก แรงกดดันของชายหนุ่มชุดทองบรรลุถึงระดับแก่นเสมือน ซึ่งห่างจากระดับแก่นแท้แค่ครึ่งก้าว
ก่อนหน้านั้นฝ่ายตรงข้ามเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น
………………………………