ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 675 พันธมิตรหมาป่ากับภาพสัญลักษณ์
ว่ากันว่าพลังของสมาชิกกลุ่มพันธมิตรหมาป่ามีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน มีตั้งแต่ระดับของเหลวไปจนถึงระดับแก่นแท้ แม้กระทั่งยังมีข่าวลือว่าในพันธมิตรยังมีระดับดาราพยากรณ์อยู่ด้วย เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จเท่านั้น
หลิ่วหมิงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางเหรียญทองแดงลงไป และหยิบแผ่นหยกส่งสารมาแปะไว้บนหน้าผาก หลังจากปล่อยจิตเข้าไปอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที
แผ่นหยกนี้เป็นข่าวที่ผู้อาวุโสร่างอ้วนได้รับมาจากกลุ่มพันธมิตรหมาป่า ในนั้นบอกว่ามีสมาชิกพันธมิตรหมาป่าค้นพบร่องรอยรังผึ้งห้าแสงในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลง และคนผู้นี้กำลังเรียกสมาชิกพันธมิตรหมาป่าในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเตรียมโจมตีผึ้งห้าแสงที่อยู่ในนั้น และเก็บน้ำผึ้งของราชินีผึ้งมา
ในแผ่นหยกยังบันทึกแผนที่ไว้แห่งหนึ่ง และทำเครื่องหมายไว้บนจุดนัดพบ เพียงแค่ในมือถือสิ่งของยืนยันของพันธมิตรหมาป่า ก็สามารถเข้าร่วมขบวนการนี้ได้แล้ว
หลิ่วหมิงค่อยๆ นำจิตออกจากแผ่นหยกด้วยใจที่เต้นแรง
พูดถึงเขตเทือกเขาจูหลงแล้ว มักจะมีคนจับกลุ่มเข้าไปเก็บน้ำผึ้งห้าแสงอยู่บ่อยๆ แต่เนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ โดยทั่วไปสามารถเก็บน้ำผึ้งคุณภาพสูงมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่ในแผ่นหยกกลับพูดถึงรังผึ้งห้าแสงในครั้งนี้เป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ในสถานที่ห่างไกลมาก ไม่มีผู้ใดหาพบเห็นมาก่อน และปีศาจผึ้งในนั้นก็มีพลังแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้น้ำผึ้งของราชินีที่ผลิตโดยราชินีจะต้องมีคุณภาพสูงมาก ซึ่งสามารถปรับแต่งของเหลวห้าแสงได้ไม่น้อย
ในเมื่อเขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน ก็จะได้ถือโอกาสตักตวงให้มากๆ อย่างไรซะพันธมิตรหมาป่าก็ยอมรับแต่สิ่งของไม่ยอมรับคน ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหา!
หลังจากคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้ว หลิ่วหมิงก็นำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ออกมา ขณะที่จิตรับรู้กำลังจะแผ่ออกไปนั้น สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พอจิตรับรู้ของเขาสัมผัสโดนคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ แสงสีขาวจางๆ ก็เปล่งประกายบนพื้นผิว จากนั้นจิตรับรู้ก็ถูกดีดกระเด็นกลับมาโดยที่ไม่อาจเข้าไปในนั้นได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอ่านเนื้อหาด้านในเลย
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจออกมา ในเมื่อคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์นี้ได้เพิ่มชั้นจำกัดไว้ มันจะต้องไม่ใช่สิ่งของธรรมดาอย่างแน่นอน
เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองคีบคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ไว้ พอกระตุ้นพลังเวท ไอดำก็ห่อหุ้มมันไว้ตรงกลาง แสงจางๆ เปล่งประกายบนคัมภีร์ ดูเหมือนว่ากำลังต้านทานการบุกรุกของไอดำอยู่
“เอ๊ะ! ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง…”
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หยุดทำท่ามือ และอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็นำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์มาตรวจสอบดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าบนพื้นผิวของมันมีลวดลายจิตวิญญาณเล็กๆ สลักอยู่จางๆ จนแทบจะทองไม่เห็น
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็บีบเลือดออกจากปลายนิ้วหยดลงบนนั้น ขณะเดียวกัน นิ้วมือทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด พลังแต่ละสายพุ่งลงออกมา และกะพริบหายเข้าไปในคัมภีร์ จากนั้นก็เริ่มร่ายคาถา
ผ่านไปสักพัก มีแสงสีขาวชั้นหนึ่งเปล่งประกายบนคัมภีร์อย่างบ้าคลั่ง และดับลงด้วยเสียงดัง “ฟู่!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบปล่อยจิตรับรู้เข้าไปในคัมภีร์ด้วยความดีใจ
ครั้งนี้จิตรับรู้ของเขาไม่ถูกต้านทานเลยแม้แต่น้อย สามารถเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงถอนใจเบาๆ จากนั้นก็อ่านเนื้อหาในนั้นอย่างละเอียด
อักขระที่ใช้ในคัมภีร์เป็นอักขระบรรพกาลชนิดหนึ่ง โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเขาอ่านบันทึกเกี่ยวกับอักขระโบราณมาไม่น้อย ดังนั้นจึงพอที่จะเข้าใจความหมายในนั้นอยู่บ้าง
หลังจากใช้เวลาไปหนึ่งมื้อข้าว หลิ่วหมิงถึงอ่านเนื้อหาในนั้นไปเกือบหมด และเขาต้องเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
สิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์คือเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์พิเศษของดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ แต่กลับไม่ได้ระบุชื่อใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชานี้ แต่ดูจากอักขระที่บันทึกเกี่ยวกับวิชานี้แล้ว ดูเหมือนว่ามันจะค่อนข้างโบราณมาก
และในคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ยังวาดภาพอสูรดุร้ายในสมัยบรรพกาลที่มีชื่อว่า ‘เชอฮ่วน’ ไว้ด้วย มันเป็นอสูรประหลาดที่ดูเหมือนโคแต่ก็ไม่ใช่โค มีเกล็ดมังกรปกคลุมบนตัวหนาแน่น ใบหน้าอัปลักษณ์อย่างหาที่เปรียบมิได้ พอดูก็รู้ว่ามันดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ตามบันทึกในคัมภีร์ เพียงแค่วาดเชอฮ่วนไว้บนตัว และทำการปรับแต่งด้วยวิชาพิเศษบางอย่าง ก็สามารถดูดซับวิญญาณอสูรชนิดต่างๆ ในใต้หล้าได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถแสดงความสามารถที่เหลือเชื่อบางอย่างออกมาได้
แม้กระทั่งเมื่อทำการปรับแต่งภาพสัญลักษณ์นี้จนถึงขั้นสุดท้าย ยังอาจจะเรียกร่างอวตารที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าร่างจริงออกมาได้ด้วย
นอกจากนี้แล้ว เคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ไร้นามนี้ยังบันทึกว่าไม่จำเป็นต้องดูดซับวิญญาณอสูรมาสังเวย เพียงแค่วาดภาพสัญลักษณ์ ก็สามารถปกปิดกลิ่นไอของวิชาตนเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ตามที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ การปิดบังกลิ่นไอเช่นนี้ เป็นวิธีการที่ล้ำลึกมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ก็ใช่ว่าจะสามารถมองเห็นการปกปิดนี้ได้
จะว่าไปแล้ว หลิ่วหมิงอยู่ในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้มานานสิบกว่าปีแล้ว ย่อมมีความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ในสถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อลอกเลียนแบบความสามารถของเผ่าปีศาจ
อานุภาพของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์มีมากน้อยแค่ไหนนั้น สำคัญคือต้องดูระดับความลี้ลับมหัศจรรย์ของตัวภาพสัญลักษณ์ รองลงมาคือต้องดูโลหิตจิตวิญญาณของปีศาจอสูรที่ใช้ในขณะวาดด้วย
เคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ระดับต่ำทั่วไป ใช้โลหิตอสูรธรรมดาก็พอแล้ว แต่ภาพสัญลักษณ์ที่วาดออกมา อย่างมากก็แค่ทำให้พลังของคนแข็งแกร่งขึ้นมาหลายร้อยชั่ง ร่างกายเบาขึ้นมาหน่อย หรือระดับการป้องกันทางกายเนื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็เท่านั้น
ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ไร้นามนี้ อย่างน้อยต้องใช้โลหิตของปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ขึ้นไปถึงจะได้ ทั้งยังใช้ได้แต่โลหิตของปีศาจอสูรประเภทโคในการวาด เงื่อนไขโหดร้ายเช่นนี้ ดูท่าระดับของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่พันธมิตรหมาป่าล้อมปราบปรามราชินีผึ้ง
ตามที่กล่าวไว้ในแผ่นหยกส่งสาร ราชินีของผึ้งห้าแสงฝูงนี้มีพลังอย่างน้อยระดับแก่นแท้ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เข้าร่วมขบวนการนี้จะต้องมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไปด้วยเช่นกัน
แม้จะบอกว่าหลิ่วหมิงมีพลังพอที่จะเทียบเท่ากับระดับแก่นแท้ได้ แต่การฝึกฝนยังคงอยู่ที่ระดับผลึกขั้นกลางเท่านั้น ในดินแดนทางตอนใต้ที่ให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของพลังเป็นหลักเช่นนี้ หากเสี่ยงอันตรายเข้าไป เกรงว่าคงไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับการยอมรับ แต่กลับมีโอกาสสูงที่จะถูกสมาชิกพันธมิตรหมาป่าคนอื่นๆ ฆ่าปิดปากด้วย
หลังจากคิดได้เช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ตัดสินใจได้ จะต้องวาดเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ให้ตัวเองก่อน เพื่อปิดบังระดับการฝึกฝนของตนเอง
แต่ไหนเลยจะหาโลหิตปีศาจโคระดับแก่นแท้ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ได้ง่ายเช่นนี้
แต่ดีที่ในตอนท้ายของคัมภีร์ยังมีบันทึกไว้ว่า หากต้องการแค่ความสามารถในการปิดบังกลิ่นไอล่ะก็ สามารถใช้โลหิตปีศาจโคระดับธรรมดาวาดภาพสัญลักษณ์ชั่วคราวก่อนได้
แต่หากทำเช่นนี้ล่ะก็ ผลลัพธ์ของเคล็ดวิชานี้จะใช้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น พอผ่านช่วงเวลาที่จำกัดไป ภาพสัญลักษณ์ก็จะค่อยๆ จางลง และอานุภาพของเคล็ดวิชาปิดบังกลิ่นไอที่แสดงออกมา ก็จะลดลงไปเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าไม่สามารถปิดบังจิตรับรู้ของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปได้ แม้กระทั้งระดับแก่นแท้ก็ไม่แน่นอนด้วยเช่นกัน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในที่พักอย่างเงียบๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาก็รีบออกจากบ้านไปในเช้าวันที่สอง และพุ่งไปยังร้านค้าขนาดใหญ่ทันที
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เขาเดินวนอยู่ในตลาดตั้งนาน แต่กลับหาโลหิตของปีศาจโคระดับแก่นแท้ไม่ได้เลย
ดังนั้นเขาจึงใช้หนึ่งแสนหินจิตวิญญาณซื้อโลหิตปีศาจโคตาแดงระดับของเหลวขั้นปลายจากร้านค้าวัสดุที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาหนึ่งขวด
จากนั้นก็ไปร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่ง และใช้หินจิตวิญญาณราวๆ หนึ่งแสน สั่งทำอาวุธจิตวิญญาณหน้ากากวานรที่มีผลในการปิดกั้นจิตรับรู้เล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่ห้องลับในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
แม้ว่าโลหิตของปีศาจโคระดับต่ำนี้จะสามารถปิดบังกลิ่นไอได้แค่หนึ่งเดือน แต่ตอนนี้ก็ได้แต่นำมันมาวาดภาพสัญลักษณ์แล้ว อีกอย่างกระบวนการในครั้งนี้ใช้เวลาราวๆ สิบวัน คิดว่าการปิดบังกลิ่นไอในระยะเวลาหนึ่งเดือนก็เหลือเฟือแล้ว
ส่วนจะถูกระดับดาราพยากรณ์ค้นพบในตอนรวมตัวหรือไม่นั้น จากการคาดเดาของหลิ่วหมิง คิดว่าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หากคนที่เรียกรวมตัวไม่ใช่คนที่โง่สุดๆ จะไปแจ้งผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ที่ต้องการพักผ่อนให้มาร่วมขบวนการได้อย่างไร
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะสีเหลืองกลมๆ ในห้องลับ หลังจากนั่งเข้าฌานปรับสภาพจิตใจของตนเองเล็กน้อยแล้ว ก็เตรียมวาดภาพสัญลักษณ์นี้
หลิ่วหมิงนำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์มาแปะไว้บนหน้าผากอีกครั้ง และปล่อยจิตเข้าไปสังเกตดูภาพสัญลักษณ์อสูรร้ายในนั้นอย่างละเอียด
จะว่าไปแล้วเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์นี้ไม่ค่อยยากมากนัก เพียงใช้วัสดุที่เกี่ยวข้องวาดภาพสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องลงบนตัว และปล่อยพลังเวทเข้าไปกระตุ้นตามวิธีที่บันทึกไว้ ก็สามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้แล้ว
แน่นอน หากภาพสัญลักษณ์บนตัวมีการคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย มันย่อมไม่มีผลใดๆ เช่นกัน
หลังจากผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ หลิ่วหมิงก็จดจำแต่ละขีดของภาพอสูรเชอฮ่วนไว้ในสมองแล้ว จากนั้นถึงนำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ออกจากหน้าผากมาวางไว้ด้านข้าง พอใช้มือข้างหนึ่งลูบแหวนย่อส่วนบนนิ้ว พู่กันหยกกับขวดเล็กสีขาวก็ถูกนำออกมา
สิ่งที่อยู่ในขวดย่อมเป็นโลหิตของปีศาจโคตาแดงระดับของเหลวขั้นปลายนั่นเอง
เขาเปิดจุกออก และใช้พู่กันหยกแตะโลหิตปีศาจในขวดก่อนเอามาวาดบนไหล่ซ้าย ทุกขีดทุกเส้นล้วนหนักแน่นเป็นอย่างมาก
เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาด ทุกครั้งที่ไม่มั่นใจหลิ่วหมิงจะหยุดวาด และหลับตานึกอีกรอบ จากนั้นถึงค่อยวาดต่อ
เนื่องจากก่อนหน้านั้นเตรียมการไว้ค่อนข้างพร้อม ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ วาดเค้าโครงอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม เค้าโครงของภาพอสูรจิตวิญญาณก็ค่อยๆ ปรากฏตั้งแต่บริเวณไหล่จนถึงหน้าอก
หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน ภาพโคเขียวสี่ขาที่มีเกล็ดมังกรเต็มตัว ก็ถูกวาดอยู่บนตัวของมันราวกับมีชีวิต
ขณะที่หลิ่วหมิงมองดูภาพอยู่นั้น ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขานำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ไปแปะบนหน้าผากอีกครั้ง และเปรียบเทียบกับภาพเชอฮ่วนที่ตนเองวาดออกมา หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
ต่อมาจะเห็นว่าเขาใช้มือข้างหนึ่งตบไหล่เบาๆ พลังเวทจำนวนหนึ่งค่อยๆ ทะลักออกจากฝ่ามือ และพุ่งเข้าไปในภาพสัญลักษณ์ จากนั้นไอร้อนสายหนึ่งก็โจมตีเข้ามาจากไหล่ ภายใต้การนำทางของพลังเวท มันก็หมุนวนบนภาพสัญลักษณ์สามรอบ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
เกิดเสียงดัง “ฟู่”
ราวกับว่าภาพสัญลักษณ์จะสั่นไหวเบาๆ สองสามที จากนั้นก็หลุดออกจากร่าง และกลายเป็นเงาโคเขียวกึ่งโปร่งแสงตัวหนึ่ง มันแหงนหน้าส่งเสียงคำรามสองสามทีโดยไม่มีจากนั้นก็กลับไปเป็นภาพสัญลักษณ์บนผิวหนังเช่นเดิม
“ดูท่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว!”
หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ก็พูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บพู่กันหยกกับโลหิตปีศาจโคที่เหลือเข้าไป
เวลาต่อมา เขานำวิญญาณอสูรธรรมดาจำนวนหนึ่งที่ซื้อมาจากตลาด มาลองสังเวยภาพสัญลักษณ์ดูหนึ่งรอบ
แต่ก็เป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่มีผลใด ๆ เลย
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าพลังของโลหิตปีศาจโคไม่เพียงพอ จึงยังไม่อาจควบคุมภาพสัญลักษณ์นี้ได้ หลิ่วหมิงเองก็ได้แต่ทิ้งเรื่องนี้ไปชั่วคราว
……………………………