ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 676 อู๋ขุย
หลิ่วหมิงใส่พลังเวทเข้าไปในภาพสัญลักษณ์ และค้นพบว่ามันมีผลในการปกปิดกลิ่นไออย่างคาดไม่ถึง จึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
เวลาต่อมา เขาก็นั่งสมาธิอยู่ในที่พักเพื่อสะสมพลัง
ครึ่งเดือนต่อมา เขาปลอมตัวเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง และออกจากที่พักไปอีกครั้ง
เขาไปรับหน้ากากวานรยักษ์ที่ร้านหลอมอาวุธก่อน แม้ว่ามันจะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรกับหลิ่วหมิงในตอนนี้ แต่เพื่อร่วมมือกับการปกปิดกลิ่นไอของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์และรูปโฉม เขาจึงจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงนำแผนที่เทือกเขาจูหลงมากวาดสายตาดู จากนั้นก็ตรงออกไปจากตลาด และสวมหน้ากากวานรยักษ์ขี่เมฆดำเหาะไปยังจุดรวมตัวบนเขาบางแห่งที่อยู่ริมเทือกเขาจูหลง
ครึ่งวันต่อมา มีแสงสีทองพุ่งเข้ามาบนยอดเขาหัวโล้นบางแห่งที่อยู่บริเวณเทือกเขาจูหลง พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของบัณฑิตชุดคลุมสีเทาที่สวมหน้ากากวานรยักษ์อยู่ ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
บนยอดเขาในขณะนี้ มีเงาร่างสี่เงายืนคุมเชิงกันอยู่ห่างๆ และไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หญิงกระโปรงดำรูปร่างสูงยาวผู้หนึ่ง ถูกผ้าคลุมหน้าสีดำปิดไว้ครึ่งหน้า
ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลสวมผ้าคลุมเสือดาว แต่กลับใส่หน้ากากหัวโคอัปลักษณ์
ส่วนอีกสองคนก็ใช้วิธีการบางอย่างปิดบังใบหน้าไว้ คนที่มีรูปร่างผอมบางคงเป็นหญิงผู้หนึ่ง นางสวมหมวกคลุมใบหน้า ดูเหมือนว่าจะสกัดกั้นจิตรับรู้ได้ ส่วนอีกคนสวมชุดคลุมสีเขียว บริเวณใบหน้าของเขามีไอหมอกสีเทาจางๆ ลอยวนเวียนอยู่ ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเขาได้
ดูจากกลิ่นไอที่คนเหล่านี้แผ่ออกมา หญิงที่ใช้ผ้าคลุมใบหน้าผู้นั้น มีระดับการฝึกฝนสูงสุด ดูเหมือนว่าใกล้จะเข้าถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว และอีกสามคนก็ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้ขั้นต้น
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรหมาป่าในครั้งนี้เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้ และมันก็ไม่ง่ายเลย อย่างที่รู้ว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้นั้น แม้แต่ในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เป็นผู้อาวุโสยอดเขาหรือศิษย์ลับแล้ว
แต่สถานที่แห่งนี้กลับมีปรากฏออกมาถึงสี่คน คิดว่าคนเหล่านี้คงมีสถานะสูงส่งในแต่ละกลุ่มอิทธิพลอย่างแน่นอน
หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วก็กระโดดลงจากเมฆดำ
คนทั้งสี่บนยอดเขาย่อมค้นพบหลิ่วหมิงตั้งแต่แรกแล้ว ในขณะที่หลิ่วหมิงปรากฎตัว จิตรับรู้ของคนทั้งสี่ก็กวาดลงบนตัวของเขา และต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ดวงตาของหญิงที่ใช้ผ้าปิดคลุมใบหน้าเป็นประกายสองสามที จากนั้นก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่ดูแหบแห้งเล็กน้อย
“ท่านก็เป็นคนของพันธมิตรหมาป่า ได้นำสิ่งของยืนยันมาหรือไม่?”
หลิ่วหมิงได้ยินก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็พุ่งออกมา
แขนของหญิงที่ปิดคลุมใบหน้าพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง พอคว้าไปกลางอากาศ เหรียญทองแดงก็พุ่งเข้ามาในมือของนาง “ฟิ้ว!” นางใช้นิ้วสีขาวคีบเหรียญไว้ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด จากนั้นก็สังเกตดูหลิ่วหมิงอีกที ทันใดนั้นนางก็ยกแขนอีกข้างชี้ไปบนอากาศ
“ฟิ้ว!”
ลำแสงสีดำพุ่งออกจากปลายนิ้ว และทะลุผ่านหน้าอกของหลิ่วหมิง
หลังจากแสงสีดำทะลุผ่านไป ร่างหลิ่วหมิงก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม ที่แท้ก็เป็นแค่เงาร่างเท่านั้น
“ท่านเห็นสิ่งของยืนยันแล้วยังลอบโจมตีเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน?” น้ำเสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลังหญิงที่ปิดคลุมใบหน้า ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงที่ปรากฏตัวราวกับปีศาจ และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
“ข้าน้อยฮวาชิงอิ่ง เป็นคนที่เรียกรวมตัวในครั้งนี้ เนื่องจากไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนของท่านได้ จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงลงมือทดสอบดู คิดไม่ถึงว่าวิชาซ่อนเร้นของสหายจะโดดเด่นเช่นนี้ ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอท่านโปรดให้อภัย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอื่นแอบปะปนเข้ามา สหายคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาถึงก็ถูกข้าน้อยทดสอบด้วยเช่นกัน” หญิงใส่ผ้าปิดคลุมใบหน้าหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะละเว้นให้ครั้งนี้เป็นครั้งเดียว ขอถามหน่อยข้าน้อยมีสิทธิ์เข้าร่วมกระบวนการในครั้งนี้แล้วหรือยัง?” พอหลิ่วหมิงได้ยิน ประกายแวววาวในดวงตาก็ดับลง และเอ่ยปากถามออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น! สหายสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าตอนนี้ยังห่างจากเวลาที่นัดหมายราวๆ หนึ่งชั่วยาม สหายพักผ่อนสักครู่ หากถึงเวลาแล้วยังไม่มีคนมา พวกเราทั้งห้าก็เริ่มกระบวนการพร้อมกัน” หญิงใส่ผ้าคลุมหน้าตอบอย่างไม่ลังเล
พูดจบนางก็โยนเหรียญทองแดงสีม่วงคืนให้หลิ่วหมิง ส่วนตนเองก็หันไปมองขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บเหรียญเข้าไปแล้ว ก็ไปหาที่ว่างนั่งสมาธิโดยไม่สนใจคนอื่นๆ อีก
หลังจากหญิงใส่ผ้าคลุมหน้ายืนยันสถานะของหลิ่วหมิงแล้ว คนที่เหลือก็ละสายตากลับไป และยังคงรอคอยอย่างเงียบๆ โดยไม่ปริปากบ่นอะไรอีก
ครึ่งชั่วยามต่อมา
มีเสียงดังก้องมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ!
จากนั้นแสงงดงามลำหนึ่งก็กระพริบ และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็มาปรากฏตัวบนพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งบนยอดเขา
หลังจากแสงดับลงก็เผยให้เห็นชายฉกรรจ์รูปร่างขนาดใหญ่ อายุสามสิบกว่าปี สวมเสื้อขนสัตว์ บนศีรษะมีขนนกติดอยู่ เขาไม่ปิดบังใบหน้าเลยแม้แต่น้อย พอปรากฏตัว กลิ่นไอที่แข็งแกร่งกว่าหญิงใส่ผ้าคลุมหน้าก็ทะลักออกมา ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้
คนผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นกลางที่แท้จริง
พอชายฉกรรจ์ปรากฏตัว สายตาราวกับสายฟ้าของเขาก็กวาดผ่านไป หลังจากยิ้มให้หญิงปิดคลุมใบหน้าเล็กน้อยแล้ว ก็ดีดเหรียญทองแดงสีม่วงออกมาพร้อมเสียงดังแหลม
หญิงใส่ผ้าคลุมใบหน้าเขม้นตามอง พอสะบัดแขนเสื้อ เหรียญทองแดงก็ถูกม้วนเข้าไป แต่ว่าร่างอรชรของนางก็สั่นสะท้านจนต้องร่นถอยออกไป
“อู๋ขุย ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” ชายฉกรรจ์ที่สวมผ้าคลุมหนังเสือดาวเห็นเช่นนี้ ก็หลุดปากส่งเสียงออกมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
“ฮ่าๆ! ดูท่าพี่ชายท่านนี้จะรู้จักข้า? ไม่ลองเอาหน้ากากออกให้ข้าดูหน่อยว่ารู้จักท่านหรือไม่!” อู๋ขุยกล่าวตรงไปตรงมา
“ข้าว่าไม่ต้องหรอก!” ชายฉกรรจ์ที่สวมหน้ากากหัวโคทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
ประจักษ์ชัดว่าฮวาชิงอิ่งก็รู้จักอู๋ขุยเช่นกัน หลังจากโยนเหรียญทองแดงคืนไปแล้ว แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่ดวงตาก็เป็นประกายอยู่ไม่หยุด
“ฮวาชิงอิ่ง จะว่าไปแล้วข้ากับเจ้าก็นับว่ารู้จักกันมานาน ในเมื่อขบวนการในครั้งนี้เจ้าเป็นคนส่งข่าวมา ทำไมถึงไม่เรียกข้าด้วย? โชคดีที่หลายวันก่อนข้าได้ยินเจ้าเด็กคูสิงเจ่อนั่นพูดถึงเรื่องนี้โดยไม่ตั้งใจ จึงได้แต่จำใจสังหารเขาเพื่อชิงสิ่งของยืนยันมา จากนั้นก็มาอย่างรีบร้อน เพราะข้าเป็นคนชอบรักษากฎที่สุดแล้ว!” อู๋ขุยยิ้มด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นแรงกดดันอันแข็งแกร่งก็แผ่ออกมา
คนที่อยู่ที่นั่นล้วนไม่ใช่คนอ่อนแอ แม้ว่าแรงกดดันที่อู๋ขุยปล่อยออกมาจะแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถแบกรับไว้ได้ แต่พอได้ยินว่าเขาสังหารสมาชิกพันธมิตรหมาป่าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะมีระดับการฝึกฝนต่ำสุด แต่อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง จึงทำให้เป็นผู้ที่รู้สึกผ่อนคลายที่สุดภายใต้พลังกดดันของอู๋ขุย แต่ขณะนี้เขาก็แอบรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
‘คูสิงเจ่อ’ ที่พูดถึง เขาก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเขตพื้นที่เทือกเขาจูหลง
“อู๋ขุย ในเมื่อเจ้ามีสิ่งของยืนยันของพันธมิตรเรา ย่อมสามารถเข้าร่วมขบวนการนี้ได้” ฮวาชิงอิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ดีมาก! ข้าชอบคนที่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ นอกจากนี้ข้าต้องการน้ำผึ้งของราชินีผึ้งแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น” อู๋ขุยหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“น้ำผึ้งราชินีครึ่งหนึ่ง…อันนี้ไม่ได้เด็ดขาด! พี่อู๋ไม่คิดหรือว่าการเจริญอาหารมากเกินไป จะทำให้พุงกางจนตัวแตกตายได้” ฮวาชิงอิ่งได้ยินก็รีบปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ลังเล
“เฮ่อๆ! ในเมื่อข้ากล้าต้องการมากเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม พอถึงเวลานั้น ราชินีผึ้งก็มอบให้ข้าตรึงเอาไว้ก็พอ เช่นนี้แล้วอันตรายของพวกเจ้าก็จะลดลงไปมาก” อู๋ขุยหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“เจ้ายินยอมตรึงราชินีผึ้งเอาไว้…หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ใช่ว่าจะไม่สามารถพูดคุยกันได้” ครั้งนี้ฮวาชิงอิ่งมองไปด้วยความสนใจ จากนั้นก็หันไปมองพวกหลิ่วหมิง และขยับปากส่งเสียงเบาๆ
ครู่ต่อมา ฮวาชิงอิ่งกับพวกหลิ่วหมิงก็ได้ผลสรุปออกมา จากนั้นนางก็กล่าวกับอู๋ขุยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อพี่อู๋กล่าวเช่นนี้ ก็สามารถแบ่งน้ำผึ้งราชินีให้ท่านครึ่งหนึ่งได้ แต่ภาระหนักในการก่อกวนราชินีผึ้งต้องมอบให้ท่านแล้ว พวกเราจะจัดการผึ้งห้าแสงตัวอื่นๆ เอง จากนั้นค่อยรวมพลังกันจัดการราชินีผึ้ง อีกอย่างราชินีผึ้งตัวนี้อาจจะมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลาย ทางที่ดีพี่อู๋ควรจัดการด้วยพลังทั้งหมด”
“ไม่มีปัญหา ด้วยฝีมือของข้า สามารถก่อกวนราชาชินีผึ้งได้ช่วงเวลาหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา” อู๋ขุยได้ยินก็โบกมือโดยไม่ยี่หระอะไรทั้งนั้น
“ดี! คำไหนคำนั้น! ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว คงไม่มีคนอื่นๆ มาร่วมขบวนการแล้วล่ะ ในเมื่อครั้งนี้มีพี่อู๋มาเข้าร่วมโดยไม่คาดคิด พวกข้าก็สบายใจไปไม่น้อย เพื่อแผนการในครั้งนี้ ข้าตั้งใจใช้เจ็ดล้านหินจิตวิญญาณซื้อ ‘ธูปวิญญาณไม้จันทน์’ มาเป็นโดยเฉพาะ คงจะป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาดได้” ฮวาชิงอิ่งกล่าวอย่างมีแผนในใจ
“ที่แท้สหายฮวาก็ยังมี ‘ธูปวิญญาณไม้จันทน์’ อยู่ด้วย ธูปจิตวิญญาณนี้ควบคุมปีศาจผึ้งโดยเฉพาะนี้ ถ้าอย่างนั้นการรับมือกับผึ้งห้าแสงคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ชายชุดเขียวหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“แต่ในเมื่อข้าซื้อธูปวิญญาณไม้จันทน์มาด้วยราคาที่สูงเช่นนี้ พอถึงเวลานั้น ศพของผึ้งห้าแสงทั้งหมดจะต้องเป็นของข้า เพราะร่องรอยของปีศาจผึ้งนี้ ข้าก็เป็นคนค้นพบก่อน พี่อู๋ต้องการน้ำผึ้งราชินีครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งกับผึ้งจิตวิญญาณธรรมดาในถ้ำ ก็เป็นของพวกเจ้าทั้งหมด ไม่ทราบว่าทุกท่านมีข้อคัดค้านอย่างไรบ้าง?” ฮวาชิงอิ่งกล่าวออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน
อู๋ขุยย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
แม้ว่าหลิวหมิงจะต้องการน้ำผึ้งราชินีทั้งหมดในครั้งนี้ แต่ขณะที่ยังไม่ได้เห็นรูปร่างของราชินีผึ้ง ย่อมไม่กล้าทำเรื่องใดๆ ที่สะดุดตามากนัก
………………………………