ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 68 อายุขัย
“ไม่ทราบคุณชายจะให้พวกข้าไปทำเรื่องอันใด!” เจ้ากวนได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกดีใจ แต่ก็ถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“วางใจเถอะ ข้าไม่ให้พวกเจ้าทำเรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้หรอก เพียงแค่ไปสถานที่ไม่แห่งในโลกมนุษย์สร้างอิทธิพลเล็กๆ ที่สามารถขับเคลื่อนได้ ขณะเดียวกันให้ช่วยสืบและรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้ข้าเท่านั้น เรื่องเหล่านี้คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับผู้ฝึกปราณขั้นกลางอย่างพวกเจ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม
“คุณชายวางใจเถอะ เรื่องอื่นๆ พวกข้าอาจจะช่วยอะไรได้ไม่ค่อยมาก แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รับรองไม่มีปัญหา” เจ้ากวนรีบกล่าวด้วยความโล่งใจ
“ดี พวกเจ้าทั้งสองพักอยู่เขานอกนิกายอีกสักคืน รอข้าคิดเรื่องที่จะให้พวกเจ้าทำเสร็จแล้วจะมาหาพวกเจ้าอีกครั้ง พอถึงเวลาพวกเจ้าไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ” หลิ่วหมิงกล่าวกำชับอย่างราบเรียบ
ครั้งนี้เจ้ากวนเจ้ากู่ต่างก็ประสานเสียงกันตอบรับ
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวรวมตัวก้อนเมฆส่งทั้งสองกลับไปยังหอ จากนั้นตนเองก็ขี่เมฆกลับไปยังเขาเก้าทารก
ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาถึงที่พักของตนเอง เปิดประตูห้องหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็หยิบจดหมายของนายท่านตระกูลไป๋ออกมาเปิดอ่าน
“ให้ข้าสวมรอยใช้ชื่อไป๋ชงเทียนต่อไป ทั้งยังให้พยายามช่วยตระกูลไป๋ขยายอิทธิพลให้ได้ภายในสิบปี ตระกูลไป๋เองก็จะจัดหาทรัพยากรจำนวนหนึ่งให้ข้าฝึกฝน ดูเหมือนจะเป็นเงื่อนไขที่ไม่เลวไม่ต่างจากที่ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวไว้มากนัก แต่ในตอนท้ายที่กล่าวถึงเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลมู่คืออะไร คิดที่จะให้ข้าหมั้นหมายกับมู่หมิงจู คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกนะ! ตอนนี้เจ้าหนูนั่นกำลังสนิทสนมกับเกาชง จะสนใจศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างข้าได้อย่างไร ควรให้ตระกูลมู่คุยกับเจ้าหนูนี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” อ่านจดหมายของนายท่านตระกูลไป๋เสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็ยิ้มเยือกเย็นขึ้นมาทันที ฝ่ามือทั้งสองถูกันแล้วจดหมายนี้ก็โดนเผากลายเป็นขี้เถ้า
เขาย่อมไม่คิดที่จะตอบจดหมายกลับไปยังตระกูลไป๋
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงออกไปจากที่พักไปหาเจ้ากวนเจ้ากู่อีกครั้ง
เขาพาทั้งสองมายังที่ลับตาคนอีกครั้ง มอบหมายงานไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ถึงขี่เมฆส่งทั้งสองออกจากเทือกเขานิกายปีศาจด้วยตนเอง จากนั้นจึงกลับเข้าไปในนิกายใหม่
หลิ่วหมิงไม่ได้ตรงกลับไปที่พักทันที แต่กลับไปที่โรงหมอเทวดาที่อยู่บนยอดเขา
ครั้งนี้พอเขาเดินเข้าไปในบานประตูของหอที่สร้างขึ้นจากไม้นี้ ชั้นแรกยังคงมีคนอยู่หนึ่งคนเช่นเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่เจียหลาน แต่กลับเปลี่ยนเป็นหญิงหน้าตาธรรมคนหนึ่ง
หญิงนางนี้ถามอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็โบกมือให้เขาขึ้นไปชั้นสองได้
หลิ่วหมิงก็ก้าวขึ้นไปชั้นสองอย่างไม่เกรงใจ เขาเดินไปยังห้องที่มีกลิ่นโอสถโชยออกมาแต่ไม่ได้เข้าไปในครั้ง
พอเขาเดินถึงหน้าม่านไข่มุกสีขาวตรงทางเข้าห้อง ก็ชะงักฝีเท้าอย่างอดไม่ได้ มีเสียงอบอุ่นของผู้หญิงดังมาจากในนั้น
“ในเมื่อมาถึงแล้ว จะลังเลอะไรอีก! เข้ามาเถอะเจ้าหนุ่มน้อย”
“ขอบคุณอาจารย์อา ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยไม่เกรงใจล่ะนะ” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ แล้วถึงเลิกม่านไข่มุกเดินเข้าไป
แต่เมื่อเขาเข้าไปกวาดสายตาดูในนั้นแล้วกลับรู้สึกตกใจขึ้นมา
บนเก้าอี้ข้างเตาโอสถ คือหญิงใส่หมวกมีผ้าสีเขียวคลุมลงมาที่หลิ่วหมิงเคยเจอที่ชั้นสามในครั้งก่อน
“ผู้อาวุโสทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านไม่ใช่ว่าอยู่……” หลิ่วหมิงคิดถึงตอนที่ถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ไปในครั้งนั้น ก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
“เฮ่อๆ ดูจากท่าทีของเจ้าคงเคยเจอพี่สาวของข้าแล้ว วางใจเถอะพวกข้าไม่ใช่คนๆ เดียวกัน เป็นพี่น้องฝาแฝดกันเท่านั้น ดังนั้นโดยทั่วไปจะแต่งกายเหมือนกัน” พอหญิงใส่หมวกผ้าคลุมเห็นหลิ่วหมิงมีท่าทีเหี่ยวเฉาเช่นนี้ กลับหัวเราะออกมาเบาๆ และอธิบายอย่างอ่อนโยน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ผู้น้อยจำคนผิดแล้ว” พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียง ก็เห็นว่าต่างกันกับหญิงหมวกคลุมชั้นสามอย่างสิ้นเชิงถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“แต่เจ้าหนุ่มน้อย ข้าดูลักษณะของเจ้าแล้วไม่เหมือนกับได้รับบาดเจ็บหรือป่วยแต่อย่างใด!” หญิงหมวกคลุมกล่าวออกมาหลังจากที่ดูหลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง
“ผู้น้อยเพิ่งกลับมาจากแดนปีศาจปรโลก แต่พบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในนั้น เคยรู้สึกว่าไม่ค่อยสบาย แต่หลังจากที่ตนเองได้ตรวจสอบแล้ว กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้อาวุโสตรวจร่างกายข้าหน่อยว่ามีตรงไหนที่ไม่ปกติบ้างหรือหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสุภาพ
“อ้อ! ร่างกายไม่ปกติ? ขอบเขตในครั้งมันกว้างเกินไป แต่ถ้าอย่างอยากจะตรวจอย่างละเอียดสักครั้งละก็ ข้าจะต้องอาศัยค่ายกลตรวจสอบสักครั้ง แต่ค่าใช้จ่ายมันไม่ใช่น้อย” หญิงหมวกคลุมดูไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย นางกล่าวออกมาอย่างสงบ
“ใช้หินจิตวิญญาณเท่าไหร่?” หลิ่วหมิงถามโดยไม่ลังเล
“หนึ่งร้อย”
เสียงของหญิงใส่หมวกคลุมอบอุ่นเช่นนี้ แต่จำนวนตัวเลขที่กล่าวมานั้นให้เขาหลิ่วหมิงตกใจไม่น้อย
“ขอถามอาจารย์อาได้หรือไม่ ผลการตรวจสอบของค่ายกลนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จำนวนจำเลขมากขนาดนี้ทำให้เขาลังเลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เจ้าวางใจเถอะ ถ้าร่างกายของเจ้ามีอะไรผิดปกติขึ้นมาจริงๆ ค่ายกลนี้จะต้องตรวจสอบออกมาได้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะเก็บหินจิตวิญญาณจากผู้น้อยอย่างเจ้ามากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ที่จริงแล้วหินจิตวิญญาณร้อยก้อน มันแทบจะไม่เพียงพอที่จะใช้กับค่ายกลนี้” หญิงใส่หมวกคลุมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยก็จะใช้สักครั้ง” หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดชั่งใจแล้วก็กัดฟันตอบรับกลับไป
“ดีมาก เจ้ามานี่เถอะ” หญิงใส่หมวกคลุมได้ยินคำพูดนี้กลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มองดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นไปยังมุมหนึ่งของห้อง
ตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งค้นพบว่า บนพื้นไม้กระดานฝั่งนั้น มีค่ายกลสีทองขนาดใหญ่หลายฉื่อจารึกอยู่
หญิงใส่หมวกคลุมหยิบผลึกหินสีขาวหิมะหลายก้อนมาวางตรงขอบที่มีร่องเว้าหลายร่อง แล้วจึงเรียกให้หลิ่วหมิงเข้าไป
หลิ่วหมิงดูเหมือนจะปลดถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอววางไว้นอกค่ายกลอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงเดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น
หญิงใส่หมวกคลุมพลิกมือข้างหนึ่งขึ้น พลันปรากฏแผ่นคุมค่ายกลกลมๆ สีเดียวกับค่ายกลขึ้นมา มือข้างหนึ่งชี้ไปที่มัน
ค่ายกลส่งเสียงดังกระหึ่มขึ้นมาทันที แสงสีทองอร่ามม้วนตัวออกมาจากในนั้นแล้วคลุมร่างของหลิ่วหมิงไว้
หญิงใส่หมวกคลุมเริ่มร่ายคาถา นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปที่แผ่นคุมค่ายกลบนมืออยู่ไม่หยุด และมีจุดแสงหรืออักขระพรั่งพรูออกมาจากในนั้นอยู่ไม่ขาดทำให้ดูแล้วละลานตาไปหมด
“ร่างกายแข็งแรงมาก โลหิตเพียงพอ ชีพจรครบถ้วน กระดูกหนาแน่น จนเกือบจะหนาแน่นกว่าคนทั่วไปหนึ่งเท่า เอ๋!พลังเวทย์บริสุทธิ์ขนาดนี้ เจ้าผ่านการกลั่นพลังเวทย์มาแล้ว!” หญิงใส่หมวกคลุมควบคุมแผ่นคุมค่ายกลเพียงชั่วครู่ ก็พึมพำออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“พลังเวทย์ของผู้น้อยถูกทำให้บริสุทธิ์มาแล้วจริงๆ” เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามตรวจสอบเจอแล้ว หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าปิดบังอะไรอีก
“ดูไม่ออกจริงๆ เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเป็นผู้ที่มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก เท่าที่ข้าทราบมาผู้ที่อายุยังน้อยแต่กลั่นพลังเวทย์ที่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองพลังและเวลามากนี้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่เชื่อมั่นในการบรรลุระดับของตนเองอย่างเต็มที่ โดยไม่สนเวลาที่เสียไป ก็เป็นผู้ที่คิดจะเดินทางลัดโดยยอมรับกับความเสี่ยง” หญิงใส่หมวกคลุมมีท่าทีแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบว่าตนเองเป็นคนแบบใด ว่าแต่อาจารย์อาตรวจเสร็จหรือยัง?” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างคลุมเครือแล้วถามอย่างกังวลเล็กน้อย
“ยังไม่เสร็จ รออีกหน่อยเถอะ อืม! ทะเลจิตวิญญาณก็ไม่มีปัญหา จิตก็มั่นคงมาก คงจะไม่มีปัญหา……” หญิงใส่หมวกคลุมควบคุมแผ่นคุมค่ายกลไปด้วยพูดกับตัวเองไปด้วย
แต่พอหลิ่วหมิงได้ยินหญิงผู้นี้พูดว่า “ทะเลจิตวิญญาณไม่มีปัญหา” ดวงตาของเขาก็มีแววผิดหวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เอ๋! อายุขัยไม่ถูกต้อง ดูเหมือนจะลดน้อยลง!” พอเสียงหญิงใส่หมวกคลุมหยุดชะงักแล้วก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“อายุขัยลดน้อยลง? พูดจริงหรือ! อาจารย์อาช่วยตรวจสอบดูให้ละเอียดอีกที” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ได้ ข้าจะตรวจดูอีกรอบ…… อืม….. ไม่ผิดอายุขัยของเจ้ามีเค้าว่าจะลดลงเพราะว่าพลังภายนอก แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากไปนัก อายุขัยลดลงไปไม่ค่อยมาก เหมือนจะแค่ไม่กี่ปี แค่ทานโอสถจิตวิญญาณสักเล็กน้อยก็สามารถซ่อมแซมกลับมาได้ ดูเหมือนเจ้าจะเจอกับปีศาจที่เชี่ยวชาญในการดูดอายุขัยของผู้อื่น เมื่อตอนอยู่แดนปีศาจปรโลก ครั้งหน้าเวลาไปที่นั่น แค่เตรียมวิธีการรับมือก็ไม่มีปัญหาแล้ว เอาล่ะ! ด้านอื่นๆ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” หญิงใส่หมวกคลุมเพ่งมองแผ่นคุมค่ายกลบนมือครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“‘อายุขัยลดลง! ดูเหมือนว่าที่ผู้น้อยรู้สึกไม่วบาย คงเป็นสาเหตุมาจากสิ่งนี้ ขอบคุณอาจารย์อาที่ชี้แนะ ไปแดนปีศาจปรโลกครั้งหน้า ผู้น้อยจะต้องระมัดระวังมากขึ้นอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงถอยหายใจออกมาเบาๆ แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น
แต่พอเขานึกถึงตอนที่เจ้าฟองอากาศมันกลืนกินพลังเวทจนหมดเกลี้ยง และมีอะไรบางอย่างถูกลอกออกจากภายในร่างเขานั้น ใจเขาก็จมดิ่งลงไปอย่างช่วยไม่ได้
ตอนที่ไม่มีพลังเวทย์ให้เจ้าฟองอากาศกลืนกิน มันกลับดูดอายุขัยเขาแทน นี่เป็นเรื่องที่อาจทำให้เสียชีวิตจริงๆ ได้
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นกังวลอย่างมาก แต่ต่อหน้าหญิงใส่หมวกคลุมนี้ เขาไม่กล้าแสดงอะไรออกมามากนัด เขาเดินออกจากค่ายกลแล้วหยิบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณขึ้นมาเก็บเข้าที่เดิมทันที และคารวะกล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วก็ลาจากไป
ตอนที่ร่างของหลิ่วหมิงพ้นไปจากทางลงบันไดแล้ว หญิงใส่หมวกคลุมก็เก็บแผ่นคุมค่ายกล แต่ก็พูดกับตัวเองด้วยใบหน้าฉงน
“หรือว่าอสูรดูดวิญญาณมาปรากฏตัวที่แดนปีศาจปรโลกอีกแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ต้องบอกศิษย์ในนิกายที่จะไปแดนปีศาจปรโลก ให้ระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว”
จากนั้นนางก็ส่ายศีรษะ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีใครเข้ามาในนี้
……
เวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็กลับมาถึงที่พัก
เขามุ่งตรงไปยังห้องฝึกฝน นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะ จากนั้นหลับตาทั้งสองลง แล้วเริ่มคิดหาวิธีจัดการกับเจ้าฟองอากาศลึกลับนั้น
มิเช่นนั้นตามเหตุการณ์ในตอนนี้ ที่ทุกครั้งเจ้าฟองอากาศกลืนกินพลังเวทย์ของเขาจนหมด แล้วเริ่มดูดอายุขัยของเขาล่ะก็เกรงว่าเขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
กว่าที่เขาจะได้มาเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แน่นอนว่าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
พอเช้าวันที่สาม เขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้นมา สีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อยดูเหมือนจะมีแผนในใจแล้ว
……………………………………….