ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 680 ล้อมปราบราชินีผึ้ง
ปีศาจผึ้งที่ได้รับบาดเจ็บเบิกตาสีเลือดทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ไปในทะเลหมอกสีดำ ปีกที่ได้รับความเสียหายก็กระพืออยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดพายุบ้าระห่ำเป็นพักๆ และขับไล่ทะเลหมอกรอบด้านไม่ให้เข้าประชิดตัว
ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอย่างง่ายๆ ไม่กี่อึดใจ หลังจากปีศาจผึ้งตัวนี้ส่งเสียง “หึ่งๆ!” ออกมาแล้ว ก็ลงมือโจมตีก่อน หนามแหลมตรงก้นสั่นสะเทือน และพุ่งยิงออกมา ในระหว่างทางมันก็กลายเป็นหนามแหลมสีเหลืองจางๆ ที่มีขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ จำนวนร้อยกว่าอันก่อนพุ่งยิงใส่หลิ่วหมิง
และในขณะเดียวกัน หนามสีเหลืองก็เปล่งประกายตรงก้นของผึ้งตัวนี้ จากนั้นหนามพิษที่เหมือนกับก่อนหน้านั้นไม่มีผิดก็ปรากฏออกมา และพุ่งออกไปอีกครั้ง
มือทั้งสองของหลิ่วหมิงหยุดชักลง เงาโล่เก้ากะโหลกปรากฏขึ้นตรงหน้า และพ่นเปลวไฟสีเขียวออกเผาไหม้หนามแหลมที่พุ่งเข้ามาจนกลายเป็นขี้เถ้าไปกว่าครึ่งหนึ่ง
พอเขากระตุ้นพลังเวทภายในร่างอย่างรุนแรง ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว ร่างของเขาพร่ามัวกลายเป็นเงาสีดำสามเงาก่อนพุ่งออกไปด้านหน้า
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” เงาร่างสองเงาถูกหนามแหลมแทงจนระเบิดในระหว่างทาง และกลายเป็นไอดำอันพวยพุ่ง ส่วนเงาที่สามก็กระพริบไปปรากฏตัวด้านหลังปีศาจผึ้งราวกับปีศาจ และค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา
“ตู๊ม!” เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น!
สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา และระเบิดตัวกลางอากาศจนกลายเป็นไหมสายฟ้าสีเงินปกคลุมปีศาจผึ้งไว้
แม้ว่าปีศาจผึ้งจะได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่อย่างไรก็เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ พอกระพือปีกทั้งคู่อย่างรุนแรง แสงจิตวิญญาณห้าสีก็เปล่งประกายออกมาต้านทานไหมสายเหล่านี้ไว้ พอหมุนตัวอย่างรวดเร็ว มันก็ส่งเสียงร้องด้วยความโมโห หนามพิษที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาใหม่พร่ามัวอีกครั้ง และกลายเป็นเงาเหล็กหมาดพุ่งใส่หลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อุทาน “เอ๊ะ!” ออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ พอเอานิ้วชี้ระหว่างคิ้ว แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นกระบี่เล็กสีทองก็ม้วนตัวออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง และฟันใส่เงาเหล็กหมาดขนาดใหญ่
เกิดเสียงดังขึ้น!
เงาเหล็กหมาดถูกแสงกระบี่ปั่นจนแหลกละเอียดภายในพริบตา จากนั้นก็พร่ามัวมาปรากฏเหนือร่างปีศาจผึ้งอย่างน่าประหลาดใจ มันส่งเสียงดังกังวานก่อนกลายเป็นกระบี่ทองคำที่ยาวหลายจั้ง และฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม
ปีศาจผึ้งเผยแววตาหวาดกลัวออกมา หนวดสัมผัสคู่หนึ่งชี้ขึ้นฟ้า และกลายเป็นเงายักษ์สองเงาก่อนหวดออกไป ขาหน้าก็ขยายใหญ่มาต้านทานไว้ตรงหน้า ขณะเดียวกันพอมันขยับก้น หนามพิษสีแดงสดที่แตกต่างจากก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิงก็ยื่นออกมา และกลายเป็นแสงโลหิตจางๆ พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
ประจักษ์ชัดว่าปีศาจผึ้งตัวนี้รู้ถึงความร้ายกาจของหลิ่วหมิงแล้ว ดังนั้นจึงแสดงความสามารถแท้จริงออกมาทั้งหมด
ความเร็วของแสงสีโลหิตรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบมิได้ กระบี่ยักษ์สีทองกลางอากาศยังฟันลงมาไม่ถึง มันก็พุ่งมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว ราวกับว่าเคลื่อนย้ายเพียงแค่พริบตาเดียว
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง จะเห็นว่าเท้าทั้งคู่ของเขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่ร่างของเขากลับพุ่งออกไปจนเกิดเป็นเงาซ้อนทับกัน พอสะบัดไหล่ ก็กลายเป็นเงาสามเงาพุ่งยิงออกไป
แสงโลหิตกลับไม่สนใจเงาของเขาเลยแม้แต่น้อย มันเอาแต่ตามเงาที่สามไปติดๆ ราวกับว่าสามารถมองเห็นร่างจริงของหลิ่วหมิงโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
หลิ่วหมิงสะดุ้งตกใจเป็นอย่างมาก เขาแสดงวิชาท่าร่างแปลกประหลาดที่ฝึกฝนในแดนมายาด้วยพลังทั้งหมด จากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่บริเวณหมอกดำ และแสงโลหิตก็ไม่อาจตามร่างจริงของเขาได้ทัน
ขณะนั้นเอง แสงสีทองกลับเปล่งประกายทางด้านนั้น ปีศาจผึ้งส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา เงาที่กลายร่างมาจากหนวดสัมผัสทั้งสอง และขาหน้าทั้งสองถูกกระบี่ยักษ์ฟันจนขาด
จากนั้นกระบี่ยักษ์สีทองก็ฟันลงบนตัวปีศาจผึ้งโดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้อีก และฟันส่วนก้นกับลำตัวส่วนล่างจนขาด
แม้ว่าปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้จะมีกายเนื้อแข็งแกร่ง แต่ไหนเลยจะเทียบกับความแหลมคมของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวมันเองก็ได้รับบาดเจ็บมาแต่เดิมอยู่ก่อนแล้ว
หลิ่วหมิงที่ยังคงกระตุ้นวิชาเงาร่างสามส่วนหลบหลีกแสงโลหิตอยู่เห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา แต่ครู่ต่อมาสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
จะเห็นว่าปีศาจผึ้งที่สูญเสียร่างไปส่วนหนึ่ง ยังคงกระพืออย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นเงาร่างพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงร้องแหลมที่ดังอยู่ไม่หยุด เพื่อทำการหลบหนีไปให้ไกลๆ
แต่หลิ่วหมิงกลับเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา ร่างของเขายังคงเคลื่อนไหวราวกับปีศาจ แต่มือข้างหนึ่งกลับทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ส่วนอีกข้างก็ชี้ไปยังปีศาจผึ้งที่อยู่กลางอากาศ
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” หมอกดำพวยพุ่งบริเวณที่ปีศาจผึ้งอยู่อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเงาโล่เก้ากะโหลกก็พุ่งออกมา หลังจากพร่ามัวแล้ว มันก็อ้าปากกัดปีศาจผึ้งที่มีสภาพไม่สมบูรณ์อย่างรุนแรง
ปีศาจผึ้งพยายามดิ้นรนด้วยความตกใจ แต่ไหนเลยจะสามารถหลุดพ้นไปได้
ในขณะนั้นเอง แสงสีทองก็เปล่งประกายตรงด้านล่าง กระบี่เล็กสีทองพุ่งยิงเข้ามา มันโบกสะบัดแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นแสงกระบี่เย็นสะท้านแปลกประหลาด และม้วนตัวขึ้นไปปั่นปีศาจผึ้งจนกลายเป็นชิ้นๆ แม้แต่วิญญาณที่อยู่ด้านในก็หลบหนีไม่ทัน จึงถูกละลายไปท่ามกลางแสงสีทอง
ขณะนั้นเอง แสงโลหิตที่ไล่ล่าหลิ่วหมิงไม่ปล่อยก็ส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นก็กลายเป็นปราณโลหิตสลายไปกลางอากาศ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็โบกมือข้างหนึ่งออกไปทันที
กระบี่บินว่างเปล่าหมุนตัวหนึ่งรอบ และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงกลับมา
ขณะเดียวกัน ไอหมอกสีดำบริเวณนั้นก็ม้วนตัวพวยพุ่งรวมกันอยู่ครู่หนึ่ง และกลายเป็นโล่กระดูกอีกครั้ง
หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเก็บโล่เข้าไป
เวลาต่อมา เขานำยันต์เก็บของออกมาเก็บศพและชิ้นส่วนอื่นๆ ของปีศาจผึ้งเข้าไป จากนั้นถึงหันไปมองกลุ่มการต่อสู้ที่อยู่อีกด้าน
จะเห็นว่ามีเสียงระเบิดดังออกจากหมอกสีเขียวอยู่ไม่หยุด ประจักษ์ชัดว่ากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เห็นได้ชัดว่าปีศาจผึ้งตัวที่มีสภาพสมบูรณ์นั้น ไม่อาจจัดการได้โดยง่าย แม้ว่าฮวาชิงอิ่งจะร่วมมือกันสามคน ก็ไม่อาจจะสังหารมันภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้
และตั้งแต่หลิ่วหมิงปล่อยไอหมอกออกมาปิดล้อมปีศาจผึ้งตัวที่ได้รับบาดเจ็บ จนถึงตอนที่เขาสังหารมันได้นั้น ใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดแปดอึดใจเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย พอพลิกฝ่ามือ มุกพลังวารีสองเม็ดก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเงาพุ่งเข้าไปในทะเลหมอกสีเขียว…
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเสาแห่งภาพสัญลักษณ์ในค่ายกลที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
ชายฉกรรจ์ที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิพักผ่อนอยู่ พลันลืมตาขึ้นมา และมองไปทางขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
จะเห็นว่ามีแสงงดงามเปล่งประกายอยู่ทางด้านนั้น และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีแสงหลบหลีกสีม่วงตามติดอยู่ด้านหลังด้วย
ชายฉกรรจ์มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา สิ่งที่อยู่ด้านหน้าย่อมเป็นอู๋ขุยแล้ว ส่วนแสงหลบหลีกสีม่วงตรงด้านหลัง ย่อมเป็นราชินีผึ้งห้าแสงอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาโบกมือปล่อยพลังใส่ธูปสีน้ำตาลเทาที่ปักอยู่หน้าเสาแห่งภาพสัญลักษณ์ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พอแสงสีเพลิงเปล่งประกาย มันก็ลุกไหม้ขึ้นมา
ทันใดนั้น กลิ่นหอมจรุงใจก็โชยออกมา และแผ่ขยายไปทั่วพื้นที่ภายในค่ายกล
จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังใส่แผ่นค่ายกลสีฟ้าที่ถืออยู่ในมือ
ขณะเดียวกัน ธงค่ายกลตรงมุมบางแห่งของค่ายกลก็เปล่งแสงแวววาว ระลอกคลื่นกระเพื่อมบนม่านแสงสีทองจางๆ ที่ปกคลุมอยู่เหนือค่ายกล จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยแยกขนาดหลายจั้ง
อู๋ขุยที่เพิ่งเหาะมาถึงเห็นเช่นนี้ ก็กระตุ้นพลังเวททันที จากนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งลงมา และกระพริบหายไปในรอยแยก
พอแสงดับลง ร่างของอู๋ขุยก็มาปรากฏตัวข้างชายฉกรรจ์
แสงหลบหลีกสีม่วงที่ราชินีผึ้งกลายร่างมาได้เพิ่มความเร็ว และมุดเข้าไปในรอยแยกโดยไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อย
“รีบปิดค่ายกลเร็ว” เมื่อเห็นว่าล่อราชินีผึ้งห้าแสงเข้ามาในค่ายกลได้อย่างราบรื่น อู๋ขุยก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบส่งเสียงบอกชายฉกรรจ์ทันที
ชายฉกรรจ์เปลี่ยนท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แผ่นค่ายกลสีฟ้าในมือเปล่งประกาย จากนั้นรอยแยกก็สมานเข้าหากัน
พอราชินีผึ้งห้าแสงเข้ามาในค่ายกล ก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมผิดปกติที่ตลบอบอวลอยู่ภายใน กับพลังของชั้นจำกัดที่มากับเสาแห่งภาพสัญลักษณ์ ทันใดนั้นมันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา และหมุนตัวบินไปชนใส่ม่านแสงอย่างรุนแรง
“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
ภายใต้การปะทะอย่างรุนแรงของราชินีผึ้งห้าแสง ทำให้ม่านแสงสีทองจางๆ สั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด
“ยังจะอึ้งอยู่ทำไม?” อู๋จุยตะคอกออกมา จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งไปทางราชินีผึ้ง ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นพัดขนนกสีทองออกมา หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว ก็ถูกถืออยู่ในมือของเขา ภายใต้การโบกสะบัดเป็นระยะๆ พายุหมุนสีทองก็พุ่งเข้าหาราชินีผึ้งห้าแสง
ชายฉกรรจ์ก็ไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย พอตบลงบนเอว แสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาพร้อมเสียงอสูรคำราม จากนั้นก็ควบแน่นเป็นแรดเขาเดี่ยวสีเขียวตัวหนึ่ง และเท้าทั้งสี่ของมันก็กระโดดพุ่งเข้าหาราชินีผึ้ง
……
ขณะเดียวกัน การต่อสู้หลิ่วหมิงก็มาถึงช่วงท้าย
ขณะนี้ ภายใต้การร่วมมือโจมตีของทั้งสี่ แม้ว่าผึ้งงานตัวนั้นจะโหดร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่กลิ่นไอบนตัวก็ลดลงไปอย่างมาก ลำตัวสีดำเหลืองถูกปกคลุมด้วยบาดแผลขนาดต่างๆ
ขณะที่พวกเขาคิดจะรวมพลังสังหารปีศาจผึ้งตัวนี้นั้น มันกลับส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา
จากนั้นก็มีเสียงดังหึ่งๆ ดังขึ้นในปากถ้ำ กลิ่นไอปะปนกันวุ่นวายพุ่งออกมานอกถ้ำ พอมองออกไปจะเห็นว่ามีผึ้งปีศาจขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ จำนวนหลายสิบตัวกรูกันออกมา
“พวกเจ้ารีบสังหารผึ้งตัวนี้ให้เร็ว ข้าจะไปยับยั้งพวกมันไว้ชั่วคราว” ฮวาชิงอิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หลังจากกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว ก็พุ่งไปทางรังผึ้ง
ฮวาชิงอิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา แถบสีดำพุ่งออกจากมือ หลังจากสะบัดพลิ้วกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นบุปผายักษ์สีดำขนาดสิบจั้งกว่าๆ หนึ่งดอก
บุปผายักษ์นี้มีห้ากลีบ แต่ละกลีบล้วนเป็นสีดำราวกับหมึก แม้แต่ก้านก็เป็นสีดำแวววาว ภายใต้การสั่นสะท้านตามแรงลม ไอดำหลายกลุ่มก็พวยพุ่งออกมา
ทันใดนั้น หมอกดำก็แผ่ขยายไปทั่วบริเวณทางเข้ารัง พริบตาเดียวก็ปกคลุมฝูงปีศาจผึ้งระดับต่ำไว้ในนั้น
ปีศาจผึ้งเหล่านี้มีพลังมากสุดก็ไม่เกินระดับผลึกขั้นต้น แม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่ภายใต้การปกคลุมของหมอกดำอันหนาแน่น ดูเหมือนว่าพวกมันจะสูญเสียทิศทางไปในทันที และบินวนอยู่ในนั้นโดยหาทางออกไม่ได้
หลิ่วหมิงเหลือบมองทีหนึ่ง แม้จะรู้สึกประหลาดใจกับพลังแปลกประหลาดของหญิงผู้นี้เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา เขากระตุ้นมุกพลังวารีให้รวมกันเป็นหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นเงาภูเขาลูกเล็กๆ พุ่งไปทางปีศาจผึ้งอย่างโหดเหี้ยม
………………………………