ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 684 สืบสานปีศาจสวรรค์
ในขณะที่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็มีหน้าตกตะลึงนั้น ร่างของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวก็แห้งเหี่ยวในทันที และเสียงร้องก็ค่อยๆ หมดแรงลง จนสุดท้ายปากของเขายังคงเปิดกว้าง แต่กลับมีเสียงครวญครางเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน
แต่ผ่านไปสักพัก แสงโลหิตที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นก็ถูกดึงออกจากหน้าอกของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียว หัวใจที่กำลังเต้นเบาๆ ถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้น
พอมองดูผู้ฝึกฝนปีศาจอีกที จะเห็นว่าร่างของเขาแห้งเหี่ยวราวกับโครงกระดูกไปตั้งนานแล้ว และติดอยู่ในมือใหญ่สีม่วงอย่างอ่อนแรง ดวงตาทั้งคู่ยังคงดูหวาดผวาและไม่พอใจ แต่กลับไม่มีร่องรอยของการมีชีวิตแล้ว
ไม่รู้ว่ามีขวดหยกสีเขียวปรากฏในมือชายฉกรรจ์ชุดม่วงตั้งแต่เมื่อไหร่ พอโบกมืออีกข้างไปกลางอากาศ แสงโลหิตก็ห่อหุ้มหัวใจของหมัวซีไว้ และถูกดูดเข้าไปในขวดหยก
เมื่อเห็นฉากเช่นนี้ ฮวาชิงอิ่ง อู๋ขุย และคนอื่นๆ ก็ทั้งตกใจและหวาดกลัว แม้ว่าอยากจะหลบหนีไปให้ไกลๆ แต่ต่อหน้าผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์กลับไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงเองก็แอบตะโกนว่า “ไม่ดี!” อยู่ในใจ
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงมองดูขวดหยกในมือด้วยสีหน้าพอใจ หลังจากเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อแล้ว ก็ดูเหมือนจะยกแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ พอมือสีม่วงขยับตัว ศพผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวก็ถูกขยี้จนระเบิด จากนั้นก็หันมากล่าวกับพวกหลิ่วหมิงอย่างราบเรียบ
“ผู้น้อยอย่างพวกเจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ในเมื่อไม่ได้หลบหนีไป ก็ตามข้ามาเถอะ!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่กลับมีเงาร่างมนุษย์ยักษ์สีม่วงที่มีลักษณะคล้ายชายฉกรรจ์ชุดม่วงปรากฏออกมาด้านหลังในทันที และมือยักษ์สีม่วงในก่อนหน้านี้ก็มาจากมนุษย์ยักษ์ผู้นี้
เงาร่างมนุษย์ยักษ์โบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นมือยักษ์สีม่วงข้างหนึ่งก็คว้ามาทางพวกเขา
พอเห็นฉากเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และแอบร้องว่าไม่ดีอยู่ในใจ ร่างของเขาทำท่าทีตอบสนองออกมา ไอดำพวยพุ่งออกจากตัวอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ ขณะเดียวกันโล่กระดูกสีดำก็เปล่งประกายออกมา และขยายใหญ่หลายจั้งก่อนต้านทานอยู่ตรงหน้า จากนั้นเท้าทั้งคู่ก็กระทืบพื้นอย่างรุนแรง เพื่อคิดจะพุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าต่อหน้ามือยักษ์สีม่วงแล้ว เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ล้วนเสียแรงเปล่า
ขณะที่มือยักษ์ค่อยๆ กุมมือทั้งห้า หลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่กดดันมาจากทั่วทิศ เส้นลมปราณทั่วร่างเกิดอาการชาไปครู่หนึ่ง และกลายเป็นท่อนไม้แข็งๆ โดยไม่อาจควบคุมร่างของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากอู๋ขุยที่ขยับได้สองสามครั้งในตอนแรกแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างต่างก็ไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ จึงถูกสั่นสะเทือนจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมา ภายใต้การกำมือของมือยักษ์สีม่วง หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ถูกจับอยู่ในนั้นทั้งหมด
“หืม! พลังจิตฝึกฝนได้ไม่เลว ต่อหน้าข้ายังสามารถลงมือได้” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงมองดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจทีหนึ่ง แต่แสงสีม่วงก็ม้วนออกจากตัวอย่างรวดเร็ว และพาเขาพุ่งไปยังขอบฟ้า
พริบตาที่มนุษย์ยักษ์สีม่วงหันตัวกลับมา มันก็ค่อยๆ หายไปในอากาศ มือยักษ์สีม่วงที่จับพวกหลิ่วหมิงไว้ก็กลายเป็นแสงสีม่วง และตามติดชายฉกรรจ์ชุดม่วงไป
หลิ่วหมิงอยู่ในแสงสีม่วงโดยไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ปากก็ไม่อาจขยับได้ รู้สึกแค่ว่าภาพรอบด้านพุ่งถอยออกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ภาพภูเขาแม่น้ำลำธาร ภาพเมฆหมอกและวิหคที่โบยบิน ทุกอย่างล้วนมีเวลาเพียงแค่เหลือบมอง และแล้วมันก็ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังไกลๆ
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด แสงสีม่วงที่ห้อหุ้มพวกเขาสลายไปทันที หลิ่วหมิงรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างขึ้นมา ร่างของเขาเซเล็กน้อย และกลับมาอยู่ในอำนาจควบคุมของตนเองอีกครั้ง
ขณะนี้ อู๋ขุย ฮวาชิงอิ่ง และคนอื่นๆ ต่างก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว และกำลังมองไปรอบด้าน
ภายใต้การกวาดสายตาดูรอบด้านของหลิ่วหมิง ก็ค้นพบว่าตนเองดูเหมือนจะอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสีแดงเข้มขนาดใหญ่ บนภูเขามีถ้ำขนาดต่างๆ จำนวนมาก ทั้งยังมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดที่ปกคลุมอยู่ในเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นเมืองแห่งหนึ่ง ในนั้นยังมีผู้ฝึกฝนปีศาจเข้าๆ ออกๆ อยู่จำนวนหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่รวมตัวของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจ
“ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นเขาเหลยฉือ……” หลังจากอู๋ขุยกวาดสายตามองดูรอบด้านแล้ว ก็กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกกลัดกลุ้มในทันที เขาเหลยฉือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ ซึ่งก็คือสถานที่อยู่ในอำนาจควบคุมของปีศาจสายฟ้า ขณะเดียวก็เป็นสถานที่รวมตัวของผู้ฝึกฝนปีศาจหลายคนในดินแดนทางใต้ด้วย
ปีศาจสายฟ้าพาพวกเขามาที่นี่ด้วยตนเองเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ชายฉกรรจ์ชุดม่วงกำลังยืนอยู่บนสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายแท่นบูชา และร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองก็ทำท่ามือแปลกประหลาดอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนเขากำลังทำพิธีแปลกประหลาดบางอย่างอยู่
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน แม้จะไม่รู้ว่าคนผู้นี้กำลังทำอะไร แต่แผนการของพวกเขาในตอนนี้ก็คงได้แต่ค่อยๆ ดูไปทีละก้าวแล้ว หากบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะก็ อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา จะเห็นว่าชายฉกรรจ์ชุดม่วงหยุดร่ายคาถา สิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นแท่นบูชาเปล่งประกายออกมา จากนั้นแขนทั้งสองของเขาก็ยื่นออกไปด้านหน้าทันที และค่อยๆ แยกออกไปด้านข้าง
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่พุ่งออกมากลางอากาศ และระเบิดตัวเป็นไหมสายฟ้าสีม่วงนับไม่ถ้วน ไหมสายฟ้าที่แน่นขนัดกลางอากาศถูกฉีกจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีอีกมิติหนึ่งอยู่ในนั้น
จากนั้นชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีม่วงก็คว้ามือไปด้านหลังโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา ทันใดนั้นกระแสอากาศไร้รูปก็ห่อหุ้มหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไว้ และม้วนตัวเข้าไปในรอยแยกมิติโดยที่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้เลย
พอพวกหลิ่วหมิงจมเข้าไป รอยแยกมิติก็ผสานตัวเข้าหากันท่ามกลางสายฟ้าสีม่วงที่ประสานกันไปมา
จากนั้นไหมสายฟ้าสีม่วงก็สลายไป อากาศกลับมาสงบอีกครั้งราวกับไม่เคยเกิดฉากเมื่อครู่ขึ้นมาก่อน และแสงแววาวบนแท่นบูชาใต้เท้าชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็ค่อยๆ ดับลง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็หมุนตัวไปจากแท่นบูชาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงพุ่งไปยังยอดเขาบางแห่งทันที
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ตรงหน้าหน้าผาบนยอดเขาที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง มีแสงสีม่วงกะพริบเข้ามาถึง จากนั้นร่างของชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็ปรากฏออกมา
ดูเหมือนเขาจะยกแขนข้างหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ หน้าผาที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษพร่ามัวในทันที
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงก้าวเข้าไปในหน้าผาราวกับไม่มีอะไรกั้นไว้ ทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นมา จากนั้นหน้าผาก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
ครู่ต่อมา ภายในห้องลับแห่งหนึ่งตรงไหล่เขา
หูทั้งสองของชายคนหนึ่งที่ยืนเก็บมือหันหน้าไปทางประตู ก็ค่อยๆ ขยับตัว และเอ่ยปากออกมาในฉับพลัน
“พี่เลี่ย การเดินทางในครั้งนี้ยังคงเรียบร้อยดีหรือไม่?”
น้ำเสียงแข็งแหบแห้งราวกับไม่ค่อยได้พูดดังออกมา
“ฮึ! ก็แค่ปีศาจระดับแก่นแท้เล็กๆ ผู้หนึ่ง จะสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรได้?” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงยิ้มบางๆ และโยนขวดหยกโปร่งใสออกไป
ชายผู้นี้คว้ามือไปกลางอากาศโดนโดยที่ยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมา เขาดูดขวดหยกมาไว้ในมือ และค่อยๆ หมุนตัวกลับมา
จะเห็นว่าคนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ไม่น้อยไปกว่าชายฉกรรจ์ชุดม่วงเลย ผิวหนังเป็นสีดำแวววาวราวกับเหล็ก แก้มทั้งสองข้างจมลึกลงไป ทำให้รู้สึกถึงความเคร่งขรึมราวกับคมดาบ
เขาคือหนึ่งในสามผู้ฝึกฝนที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนตอนใต้ ซึ่งก็คือจงเหยียนที่เรียกกันว่า ‘ปีศาจเหล็ก’ นั่นเอง
“ดีมาก! มีสายเลือดบริสุทธิ์ของปีศาจวายุแล้ว แผนของปีศาจสวรรค์ของเราก็มีความมั่นใจมากขึ้น” ชายฉกรรจ์หน้าดำมองดูขวดหยกในมือแล้วเผยสีหน้าดีใจออกมา
จะเห็นว่าขวดหยกสีเขียวกึ่งโปร่งใสในมือของเขา มีหัวใจสีแดงที่ยังคงเต้นเบาๆ อยู่หนึ่งดวง ไอหมอกสีเลือดปกคลุมอยู่ในขวด และมีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ตลอดเวลา
ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ชุดม่วงจะไม่ได้ดีใจขนาดนั้น ยังคงมีความกังวลบนใบหน้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“ตามความลับบรรพกาลที่ท่านได้ยินมาในก่อนหน้านั้น รวบรวมโลหิตเผ่าปีศาจชนิดต่างๆ จากทั่วทุกหนแห่งมา จากนั้นใช้เคล็ดวิชาหลอมรวมกับสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของแดนใต้เรา ก็สามารถสร้างร่างปีศาจสวรรค์ในตำนานได้ ท่านมีความมั่นใจในเรื่องนี้จริงๆ หรือ? เพื่อแผนการในครั้งนี้ พวกเราแอบจับคนร่วมเผ่ามามากมายเช่นนี้ ตอนนี้แม้แต่บุตรของหมัวเจี๋ยก็สังหารไปแล้ว หากว่าสุดท้ายยังได้แค่ความว่างเปล่าล่ะก็ ท่านกับข้าก็คงรู้ถึงผลลัพธ์ดี”
ขณะที่กล่าวถึงประโยคสุดท้ายนั้น น้ำเสียงของชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็เคร่งขรึมลง
“พี่เลี่ยไยต้องกังวลใจด้วย? เรื่องนี้เป็นเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้บนป้ายปีศาจสวรรค์ จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน อีกอย่างตอนนี้หมัวเจี๋ยผู้นั้นใกล้จะฝึกฝนถึงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แล้ว เขากับพวกเราไม่ถูกกันมาโดยตลอด หากให้เขาเข้าถึงระดับนี้ก่อนล่ะก็ ดินแดนทางตอนใต้นี้จะมีที่ยืนสำหรับพวกเราหรือ? พอเคล็ดวิชาปีศาจสวรรค์สำเร็จ ฝ่ายเราไม่เพียงแต่จะมีผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์เพิ่มขึ้นมาอีกคน ที่สำคัญคือท่านกับข้าก็มีโอกาสใช้เคล็ดวิชานี้ทำความเข้าใจความลี้ลับของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก่อนได้ สิ่งนี้จะทำลายพันธนาการของข้ากับ้ท่านในตอนนี้ได้ ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมาก” ชายฉกรรจ์ค่อยๆ กล่าวออกมา
“หวังว่าจะเป็นอย่างที่ท่านพูด” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงถอนหายใจและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่เลี่ยก็ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป ก็แค่รวบรวมสายเลือดเผ่าปีศาจอื่นๆ เท่านั้น เผ่าปีศาจเราดำรงชีวิตรอดตามกฎผู้อ่อนแอเป็นเนื้อสมัน ผู้แข็งแกร่งเป็นเสือสมิงมาโดยตลอด ต่อให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คนเหล่านั้นจะกล้ามาหาเรื่องข้ากับท่านหรือ? ส่วนเจ้าบ้าปีศาจวายุนั่น เพียงแค่ข้ากับท่านร่วมมือกัน ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย” ชายฉกรรจ์หน้าดำพูดเกลี้ยกล่อมต่อ
“พี่จงไม่ต้องพูดมากแล้ว ในเมื่อข้ามาถึงขั้นนี้ ก็ต้องตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงได้ยินเช่นนี้ ถึงกล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“ใช่สิ! ได้ยินมาว่าหลายเดือนมานี้พี่เลี่ยจับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ไปไว้ในแดนลึกลับไม่น้อย ตอนนี้เครื่องสังเวยที่มีชีวิตในนั้นน่าจะมีพอประมาณแล้ว?” ชายฉกรรจ์หน้าดำเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“เดิมทียังขาดอยู่อีกหน่อย แต่วันนี้ในขณะที่สังหารเจ้าเด็กหมัวซีนั่น บังเอิญได้มาอีกห้าคนพอดี มันคงเพียงพอสำหรับทดลองปีศาจสวรรค์แล้ว” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงเงียบไปเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงเวลาที่ยาวนานอุปสรรคก็ยิ่งมาก ไม่สู้ดำเนินตามแผนในตอนนี้เถอะ! หากจะสืบสานปีศาจสวรรค์ต่อ ย่อมต้องเป็นบรรดาศิษย์รุ่นหลังที่โดดเด่นของพวกเราถึงจะได้” ชายฉกรรจ์ได้ยินก็แนะนำด้วยความดีใจ
“ก็ดีเหมือนกัน” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
แม้ว่าแผนการปีศาจสวรรค์จะค่อนข้างเป็นความลับ แต่หากถูกคนอื่นรู้เข้าก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีปัญหาอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พูดถึง แต่สิ่งที่ในใจพวกเขารู้สึกหวาดกลัวที่สุดกลับไม่ใช่หมัวเจี๋ยที่มีชื่อเสียงระดับเดียวกับพวกเขา แต่กลับเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ที่พอทั้งสองได้ยินชื่อต้องมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หากกลุ่มอิทธิพลนี้รู้ว่าพวกเขาแอบถ่ายทอดและสืบสานทอดปีศาจสวรรค์ล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงต้องเผชิญกับการถูกทำลายล้างในไม่ช้า
………………………………