ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 692 ร่วมมือ
หลิ่วหมิงมองดูยันต์สีทองในมือขุยมู่ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมาในทันที
หวงอิ๋งที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ กลับเผยสีหน้าดีใจออกมา
“ยันต์เคลื่อนย้ายระยะไกล ข้าเคยได้ยินยันต์ในตำนานชนิดนี้มาก่อน คิดไม่ถึงว่ายันต์ลึกลับที่ล้ำค่าเช่นนี้ พี่ขุยยังสามารถหามาได้ เช่นนี้ล่ะก็พวกเราก็มีความมั่นใจในการหนีไปจากที่นี่มากขึ้นแล้ว”
“ยันต์ลึกลับนี้ แม้แต่หุบเขาเราก็มีแค่ไม่กี่ผืน ดังนั้นมีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องพูดกับทั้งสองให้ชัดเจน สหายทั้งสองต่างก็ไม่ใช่คนเผ่าปีศาจเรา ต่อให้จะได้โลหิตปีศาจสวรรค์มา ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก หากว่ารวบรวมป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งหมดมาได้จริงๆ และเปิดชั้นจำกัดแล้ว ไม่สู้มอบมันให้ข้าดีหรือไม่ พอถึงเวลานั้นข้าไม่เพียงแต่จะใช้ยันต์ลึกลับส่งพวกเราไปจากที่นี่ รอออกไปแล้วจะมอบหินจิตวิญญาณให้คนละหลายสิบล้าน และยังมีสมบัติล้ำค่าให้แลกเปลี่ยนหลายชิ้น” ผู้อาวุโสขุยมู่หยุดไปพักหนึ่งแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
หวงอิ๋งได้ยินเช่นนี้ก็เผยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่หลังจากมองดูหลิ่วหมิงแล้วกลับไม่พูดอะไรออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ตกปากรับคำไป
เพราะโลหิตปีศาจสวรรค์เป็นสิ่งที่หุบเขาปีศาจสวรรค์จะต้องได้มาให้ได้ อาจจะมีประโยชน์เฉพาะเผ่าปีศาจก็เป็นไปได้
เผ่ามนุษย์อย่างเขาไม่ได้รู้สึกสนใจมากนัก
อีกอย่างสำหรับเขาแล้ว การหาวิธีการไปจากพื้นที่ที่ไม่มีทางรอดแห่งนี้ ถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
หวงอิ๋งเห็นหลิ่วหมิงตอบรับแล้ว นางก็อ้าปากค้างอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่พยักหน้าอย่างไม่มีทางเลี่ยง
“ในเมื่อทั้งสองต่างก็เห็นด้วยแล้ว เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้ พวกเราออกเดินทางไปหาสถานที่อำพรางอีกแห่งก่อน ให้ข้าได้รักษาอาการบาดเจ็บจนหายดี แล้วค่อยไปตามหาศิษย์ทดสอบปีศาจสวรรค์เหล่านั้น เพราะการต่อสู้ในก่อนหน้า ก่อให้เกิดคลื่นพลังจิตวิญญาณในบริเวณนี้ไม่น้อย เกรงว่าอีกไม่นานคงมีคนอื่นๆ มาอีก” ขุยมู่เห็นเช่นนี้ก็เสนอแนะด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงตอบตกลงในทันที พอกระตุ้นเคล็ดวิชา เมฆดำก็ก่อตัวตรงใต้เท้าและพาเขาทะยานขึ้นฟ้า
หวงอิ๋งมองดูขุยมู่ทีหนึ่ง จากนั้นก็กระทืบเท้า และกลายเป็นแสงสีเหลืองแวววาวพุ่งตามหลิ่วหมิงไป
ขุยมู่ถอนหายใจยาวๆ ออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า
……
บนพื้นราบโล่งกว้างขวางแห่งหนึ่งในแดนลึกลับ แสงหลบหลีกสีดำลำหนึ่งกำลังพุ่งหลบหนีไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ห่างจากด้านหลังไปร้อยกว่าจั้ง ผู้ฝึกฝนปีศาจหัวอสรพิษร่างมนุษย์ที่อยู่ท่ามกลางไอหมอกสีม่วง กำลังไล่ตามมาอย่างไม่รีบร้อน
“คิดไม่ถึงว่าในแดนลึกลับจะยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยู่ด้วย ยังดีที่พบเจอแค่คนเดียว ไม่อย่างนั้นอาศัยเพียงพลังวิญญาณของผู้ฝึกฝนระดับผลึกในการเพิ่มระดับการฝึกฝน มันคงช้าเกินไป” ผู้ฝึกฝนปีศาจหัวอสรพิษพูดพึมพำออกมา ทันใดนั้น เขาก็เพิ่มความเร็วขึ้น พริบตาเดียวกลุ่มหมอกสีม่วงก็กลายเป็นแสงสีม่วงม้วนตัวไปปรากฏอยู่ตรงหน้าแสงหลบหลีกสีดำ
“เจ้า…”
แสงหลบหลีกสีดำหยุดชะงักในทันที เผยให้เห็นมนุษย์ผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนที่ทั้งเตี้ยและผอม แต่ขณะนี้จะเห็นว่ามีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเขา และมองดูเผ่าปีศาจผู้นี้ด้วยสีหน้าซีดขาว
“อาหารเรียกน้ำย่อยควรจะสิ้นสุดได้แล้ว” ผู้ฝึกฝนปีศาจหัวงูแลบลิ้นเลียริมฝีปาก
ผู้ฝึกฝนได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก พอกัดฟัน ยันต์สีเงินแวววาวก็ถูกนำออกมาขยี้จนแตกกระจาย แรงกดดันระดับแก่นแท้พุ่งออกมาทันที ลูกธนูสีเงินลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นมา และพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มหัวอสรพิษ
นี่คือยันต์ป้องกันตัวที่ผู้อาวุโสในนิกายมอบให้เขา อานุภาพของมันเทียบเท่ากับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของระดับแก่นแท้ขั้นต้น
“ตู๊ม!”
หมอกควันของผู้ฝึกฝนปีศาจหัวอสรพิษพวยพุ่งออกมารอบๆ อย่างหนาแน่น
ผู้ฝึกฝนร่างผอมเตี้ยรีบควักยันต์สีดำออกมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้าม
ผ่านไปแค่ชั่วครู่ หมอกควันอันพวยพุ่งก็สลายไป หัวอสรพิษกลับปรากฏออกมาโดยที่ไม่เป็นอะไรเลย
หลังจากเขาทำเสียงฮึดฮัดแล้ว ก็ทำท่ามือทันที จากนั้นก็กลายเป็นไอหมอกสีม่วงพวยพุ่งไปทางผู้ฝึกฝนร่างผอมเตี้ยอีกครั้ง
ผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา เกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ มันดังอยู่พักหนึ่ง ก็หยุดชะงักลงและไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ดังเข้ามาอีก
……
อีกด้านหนึ่งของแดนลึกลับ ภายในถ้ำที่ค่อนข้างกว้างขวางแห่งหนึ่ง
ภายในถ้ำมืดไปทั้งแถบ ชายสวมชุดเผ่าหมานผู้หนึ่งกำลังก้าวเดินอย่างระมัดระวัง
“เมื่อครู่โชคดีที่ไหวตัวเร็ว ถึงหลบการไล่ล่าจากปีศาจพยัคฆ์ตัวนั้นได้ ไม่สู้พักอยู่ที่นี่สักระยะแล้วค่อยหาวิธีไปต่อ”
ในที่สุดชายผู้นี้ก็หยุดฝีเท้าลง และพูดพึมพำออกมา
พอเขาสะบัดแขนเสื้อ ก็หยิบแผ่นค่ายกลส่งเสียงออกมา และเอามือวาดบนนั้นหนึ่งรอบ
“ที่แท้สถานที่แห่งนี้ไม่สามารถส่งสารออกไปได้ หากไม่สามารถติดต่อคนอื่นได้ เกรงว่าการรับมือกับผู้ฝึกฝนปีศาจเหล่านั้น คงจะมีโอกาสชนะอย่างริบหรี่แล้ว” ชายผู้นี้ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนก้อนหินใหญ่
แต่ทว่าผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม พลันมีเสียงคำรามทุ้มต่ำดังสะท้อนภายในถ้ำ
“รีบออกมารับความตายซะ ไอ้ตุ่นเผ่าหมาน”
ชายเผ่าหมานได้ยินเช่นนี้ ก็ยังฟื้นฟูพลังเวทต่อโดยที่ไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ว่าไม่นาน ภายในถ้ำก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
จากนั้นเกิดเสียง “ตู๊ม!” ดังเข้ามา ผนังหินภายในถ้ำเริ่มพังทลายลง ก้อนหินขนาดใหญ่พากันร่วงลงมา
ชายเผ่าหมานมีสีหน้าอึมครึมทันที หลังจากกระตุ้นพลังแล้ว ก็พุ่งหลบหนีไปทางปากถ้ำทันที ขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่ามียันต์สีม่วงจางๆ ปรากฏอยู่ในเมือตั้งแต่เมื่อไหร่
หากเขาไม่ออกไป เกรงว่าคงจะถูกขังตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้
พอเขาออกจากปากถ้ำ กลับค้นพบว่ารอบด้านยังคงมืดไปทั้งแถบ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้ขยี้ยันต์ในมือ แรงกดดันจิตวิญญาณอันมหาศาลก็อัดเข้ามาจากทั่วทิศ ทำให้ร่างของเขาหยุดชะงักลง
หัวขนาดใหญ่ราวกับหอปรากฏออกมาท่ามกลางไอดำ และอ้าปากงับไปทางชายผู้นี้
……
ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ร่อนลงจากอากาศมาอยู่ใต้หน้าผารูปน้ำเต้า
หน้าผาทั้งแถบถูกต้นไม้สูงใหญ่ปิดบังไว้จนมิด
“สถานที่แห่งนี้นับว่าไม่เลว สหายขุยมู่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ที่นี่เถิด พวกข้าเองก็จะนั่งเข้าฌานด้วย” หลิ่วหมิงบยืนอยู่ด้านล่างของหน้าผา หลังจากกวาดจิตดูบริเวณนั้น และไม่ค้นพบว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว เขาก็กล่าวออกมา
หวงอิ๋งพยักหน้าโดยที่ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด
“ข้าพกอาวุธวางค่ายกลมาจำนวนหนึ่ง สามารถปิดบังคลื่นพลังเวทได้ จะได้นำออกมาใช้พอดี” ผู้อาวุโสขุยมู่ก็ค่อนข้างพอใจกับสถานที่แห่งนี้มาก เขากล่าวด้วยสีหน้าสบายใจ
สามารถฟื้นฟูพลังเวทได้เร็วที่สุด ย่อมเป็นเรื่องที่เขาต้องการเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนสหายขุยมู่แล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าในทันที
แม้ว่าบนตัวเขาจะพกอาวุธประเภทนี้อยู่ แต่ในเมื่อผู้อาวุโสขุยมู่ก็มีเหมือนกัน ด้วยการฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างเขา ย่อมมีคุณภาพที่ดีกว่ามาก
อีกอย่างด้วยความร่วมมือของทั้งสามในขณะนี้ เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าผู้อาวุโสขุยมู่จะลงไม้ลงมือแต่อย่างใด
พอผู้อาวุโสขุยมู่เห็นว่าหลิ่วหมิงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เขาก็เอามือลูบไปบนเอวทันที จากนั้นแผ่นค่ายกล และธงค่ายกลสีเขียวจางๆ ก็ปรากฏอยู่ในมือปึกหนึ่ง
เขายกมืออีกข้างขึ้นอีกครั้ง แสงสีเขียวเจ็ดแปดลำพุ่งออกไปทั่วทิศ จากนั้นก็กะพริบหายไปในพื้นบริเวณรอบๆ อย่างไร้ร่องรอย
เสียงร่ายคาถาดังออกมาจากปาก นิ้วมือปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน
“โครมคราม!” เกิดเสียงดังขึ้นจากใต้ดิน!
ตามด้วยลำแสงสีเขียวเจ็ดแปดลำพุ่งออกมาจากจุดที่ธงค่ายกลหายไป จากนั้นม่านแสงกลมๆ สีเขียวจางๆ ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบจั้งก็ปรากฏออกมา
มีอักขระแปลกประหลาดขนาดเล็กจำนวนมากไหลวนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หายไปพร้อมกับม่านแสงสีเขียวจางๆ
พอขุยมู่ทำทุกอย่างนี้เสร็จ สีหน้าก็ซีดขาวกว่าเดิมเล็กน้อย หลังจากประสานมือคารวะหลิ่วหมิงแล้ว ก็เดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิบนหินก้อนหนึ่งในบริเวณนั้นก่อน จากนั้นม่านแสงสีเขียวก็ปกคลุมร่างของเขา
ประจักษ์ชัดว่าขุยมู่วางค่ายกลอีกชั้นไว้รอบๆ ตัว
หลังจากหลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูแล้ว ก็เดินเข้าไปหาสถานที่สะอาดๆ แล้วนั่งลงไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
หวงอิ๋งเห็นเช่นนี้ก็เดินไปนั่งเข้าฌานอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ไกล
แม้ว่าทั้งสามจะตกลงร่วมมือกันชั่วคราว แต่ดูจากตำแหน่งการนั่งแล้ว ยังคงตรึงกำลังกันอยู่
ขณะนี้ไอสีเขียวพุ่งออกจากร่างของผู้อาวุโสขุยมู่ ขณะเดียวกันใบหน้าก็เผยความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย
……
เวลาสามวันผ่านไปในพริบตา
ช่วงตอนกลางวัน ผู้อาวุโสขุยมู่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่มีควันสีเขียวลอยวนขึ้นเหนือศีรษะราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิต ประจักษ์ชัดว่าการรักษาอาการบาดเจ็บเข้าสู่ช่วงสำคัญแล้ว
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่นั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่ไม่ไกล พลันลืมตาแล้วลุกขึ้นมาทันที
“พี่หลิ่วเกิดอะไรขึ้น?” หวงอิ๋งได้ยินเสียงก็รีบลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ
หลิ่วหมิงเขม้นตามองนอกถ้ำโดยไม่พูดอะไรออกมา
แต่ทว่าไม่นานก็มีเสียงแผดร้องดังก้องเข้ามาจากที่ไกลๆ อย่างชัดเจน ดูจากน้ำเสียงเห็นได้ชัดว่าพุ่งตรงมาทางถ้ำที่พวกเขาอยู่
หวงอิ๋งก็พอจะคาดเดาอะไรได้ลางๆ สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปทันที
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ก็มีเสียงดัง “ตู๊ม!” ม่านแสงสีเขียวจางๆ เปล่งประกายออกมา แต่พอแสงสีฟ้าเปล่งประกาย มันก็ถูกอะไรบางอย่างโจมตีจนพังทลาย
ขณะที่หลิ่วหมิงหรี่ตามองไปด้านหน้านั้น เงาร่างสูงชะลูดสีฟ้าก็ปรากฏออกมา
คนผู้นี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วงเหมือนกับผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวที่หลิ่วหมิงสังหารในก่อนหน้านั้นไม่มีผิด ภายใต้ผมสีฟ้า ดวงตาแหลมยาวคู่หนึ่งกำลังกวาดมาทางหลิ่วหมิงทั้งสาม
“ทำไมถึงมีตั้งสามคน?” เงาร่างชายผมฟ้าเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินก็ยกแขนทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นิ้วทั้งสิบดีดออกไปติดต่อกัน
“ฟิ้วๆ!” ปราณกระบี่สีทองสิบสายม้วนตัวออกไปปกคลุมเงาร่างสีฟ้าไว้
หวงอิ๋งที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนมือทันที ขลุ่ยหยกสีเขียวปรากฏออกมาหนึ่งเลา หลังจากสะบัดเล็กน้อย ก็เสียงเสียงดังกังวานอยู่พักหนึ่ง ขณะเดียวกันแสงสว่างก็พุ่งขึ้นฟ้า ภายใต้การขานรับกันกับเสียงที่ดังก้องกังวาน มันก็ก่อตัวเป็นอสรพิษยักษ์สีเขียวหยกที่ยาวสิบกว่าจั้ง และพุ่งเข้าใส่เงาร่างสีฟ้าในทันที
ผู้อาวุโสขุยมู่ที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ ก็พลันลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา เพียงแค่โบกแขนทั้งสองหนึ่งที เปลวไฟปีศาจสีเขียวก็พวยพุ่งออกไป…
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ก็มีศพสภาพไม่สมบูรณ์ที่ไหม้เกรียมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ปรากฏอยู่บนพื้น
หลังจากผู้อาวุโสขุยมู่ค้นไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ได้ป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาอันที่ห้ามา
………………………………