ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 705 จากไป
ร่างแปลงปีศาจมีสีหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย พองอเท้าข้างหนึ่ง ก็พุ่งเข้าหาหญิงผมอสรพิษราวกับลูกธนู และชกกำปั้นออกไป
“สหายฟังข้าก่อน ข้ามีความลับยิ่งใหญ่อยู่เรื่องหนึ่ง…” ขณะนี้หญิงผมอสรพิษมีอาการหายใจไม่สะดวก ร่างกายอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง พอเห็นร่างแปลงปีศาจโจมตีเข้ามา ก็ไม่มีแรงจะหลบแต่อย่างใด ทำได้แต่ตะโกนออกมาเท่านั้น
“ตู๊ม!”
นางยังพูดไม่ทันจบก็ถูกโจมตีกระเด็นออกไปอย่างรุนแรง พอมีเงาร่างเคลื่อนไหว ‘หลิ่วหมิง’ ก็มาปรากฏตัวบนอากาศเหนือศีรษะของนาง และปล่อยกำปั้นลงมาอีกครั้ง
“ตู๊ม!”
หญิงผมอสรพิษส่งเสียงร้องอย่างเวทนา จากนั้นก็กระแทกพื้นจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่ กระดูกทั่วร่างแหลกละเอียด และไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนฉากก่อนที่หลิ่วหมิงจะกลายร่างในก่อนหน้านั้น
ขณะนี้ เงาร่าง ‘หลิ่วหมิง’ พร่ามัวมาปรากฏตัวในหลุมด้านล่าง และใช้เท้าข้างเดียวเหยียบศีรษะของหญิงผมอสรพิษอย่างไม่ปราณี
“ไม่…” ขณะที่ผู้อาวุโสจินหมานส่งเสียงร้องออกมานั้น ศีรษะของนางก็ระเบิดออกมาราวกับลูกแตงโม เศษเนื้อเศษกระดูกกระเด็นไปทั่วทิศ แม้แต่วิญญาณที่อยู่ด้านในก็ถูกเหยียบจนดับสลายไป
ร่างแปลงปีศาจหลิ่วหมิงไม่คิดจะรามือเพียงแค่นี้ แขนข้างเดียวที่เหลือพร่ามัวคว้าไปทางร่างไร้ศีรษะ ทันใดนั้นเงากรงเล็บจำนวนมากก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ตะกุยศพจนกลายเป็นชิ้นๆ จากนั้นก็แหงนหน้าแผดเสียงร้องออกมา ดูเหมือนว่าความโหดเหี้ยมที่เต็มเปี่ยมยังไม่ถูกระบายออกมาอย่างเต็มที่
ทันใดนั้น แขนข้างเดียวของ ‘หลิ่วหมิง’ ก็คว้าไปในกองเศษเนื้อ และหยิบขวดเล็กแวววาวออกมา
มันคือโลหิตปีศาจสวรรค์ขวดนั้นนั่นเอง
‘หลิ่วหมิง’ เพียงแค่ใช้จมูกดมผ่านจุกเล็กน้อย จากนั้นก็ขยี้ขวดจนแตกกระจาย และอ้าปากดูดเข้าไปทันที
พอหลิ่วหมิงที่อยู่ในร่างแปลงปีศาจเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้สึกหวาดกลัวจนหน้าถอดสี แต่เนื่องจากยังคงไม่สามารถควบคุมร่างได้ จึงได้แต่มองดู ‘ตนเอง’ กลืนโลหิตปีศาจหยดนั้นเข้าไป
อย่างที่รู้ว่าโลหิตปีศาจสวรรค์นี้เป็นสิ่งของประหลาดของเผ่าปีศาจ เมื่อดูจากคำพูดของผู้อาวุโสขุยมู่ในก่อนหน้าที่บอกว่า หากผู้ที่ทานโลหิตนี้ไปไม่ใช่คนเผ่าปีศาจ ผลลัพธ์จะต้องเลวร้ายเป็นอย่างยิ่ง
หลังจาก ‘หลิ่วหมิง’ ส่งเสียงออกมาแล้ว ก็ล้มโครมลงพื้น จากนั้นใบหน้าก็บิดเบี้ยวผิดปกติ และกลิ้งไปกลิ้งมา
มีเสียงดัง “ตู๊ม!” ในสมองของหลิ่วหมิงที่อยู่ในร่างแปลงปีศาจ จากนั้นก็หมดสติไปโดยสมบูรณ์
พริบตาเดียว หมอกโลหิตก็พุ่งออกจากร่างของเขา ทั้งยังหมุนวนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง และห่อหุ้มร่างของหลิ่วหมิงไว้
หลิ่วหมิงสงบลงทันที บาดแผลบนตัวสมานกันอย่างรวดเร็ว ภายใต้การประสานกันไปมาของไหมโลหิตจำนวนมาก ทำให้ร่างกายที่หายไปครึ่งหนึ่งฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
ผ่านไปสักพัก ร่างของหลิ่วหมิงก็ฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์ แต่ขณะนั้นเอง “ฟู่!” ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างของเขาอีกครั้ง และประสานกันไปมากับไอหมอกโลหิตอย่างไม่มีใครยอมใคร ทั้งยังส่งเสียงปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นเกิดเสียงดังหวึ่งๆ อยู่พักหนึ่ง
ขณะเดียวกัน อุณหภูมิบนผิวหลิ่วหมิงก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อแต่ละก้อนนูนขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ และผิวหนังก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงราวกับโลหิต ทั้งยังมีหลอดเลือดสีแดงเข้มนูนออกมา แลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ราวกับว่าร่างของเขาจะระเบิดออกมาในไม่ช้า
ขณะนั้นเอง แสงสีขาวเปล่งประกายบริเวณหน้าท้องของหลิ่วหมิง เงาฟองอากาศแวววาวขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองปรากฏออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” ถุงหนังสองใบบนเอวหลิ่วหมิงระเบิดออกมาในพริบตา เผยให้เห็นร่างของหัวบินกับแมงป่องกระดูก แต่พวกมันต่างก็นอนสลบอยู่กลางอากาศ
และแสงสีเงินก็เปล่งประกายบนตัวหลิ่วหมิง หมึกชมพูขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏออกมาด้วยเช่นกัน
ขณะนั้นเอง เงาร่างฟองอากาศแวววาวเพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ! แสงหลากสีก็ม้วนตัวออกไป พอมันปะทะกับไอหมอกโลหิต ก็แยกส่วนหนึ่งในนั้นออกไป หลังจากม้วนตัวไม่กี่ครั้ง มันก็แบ่งกันพุ่งเข้าร่างของหัวบิน แมงป่องกระดูก และหมึกน้อย
หมอกโลหิตที่ถูกแบ่งออกมานี้มีสีเข้มกว่า ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากองค์ประกอบของหมอกโลหิตดั้งเดิมเล็กน้อย
ขณะเดียวกัน ภายใต้การกระทำของแสงหลากสี หมอกโลหิตที่เหลือก็รวมเข้ากับหมอกดำในพริบตา และจมหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็ว
ความผิดปกติต่างๆ บนร่างของหลิ่วหมิงหายไปอย่างรวดเร็ว ลมหายใจก็ค่อยๆ มั่นคงลง
ในเวลาเดียวกัน หลังจากแมงป่องกระดูกและหัวบินที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสดูดกลืนหมอกโลหิตสีเข้มเข้าไปส่วนหนึ่งแล้ว บาดแผลต่างๆ บนตัวก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แต่หลังจากหล่นลงพื้นแล้วก็หมดสติไป
หมึกน้อยก็เป็นเหมือนกัน
ทุ่งหญ้าบริเวณนั้นเงียบสงัดไปชั่วขณะหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ห้องลับภายในถ้ำบางแห่งในส่วนลึกของหุบเขาขนาดใหญ่ที่มีเมฆหมอกรายล้อม และไม่รู้ว่าอยู่ห่างจากเขาเหลยฉือไปกี่ลี้
“ฟู่!”
หญิงวัยกลางคนที่มีผมอสรพิษเต็มศีรษะนั่งอยู่บนเบาะ ทันใดนั้นร่างของนางก็เอียงไปด้านหน้า และกระอักเลือดออกมา
“ใคร? ใครที่ทำลายร่างแปลงชั่วคราวของข้า หรือว่าปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กทั้งสองจะลงมือเอง? ไม่ถูกต้อง! ด้วยนิสัยของทั้งสอง หากการทดสอบยังไม่สิ้นสุด จะต้องไม่ทำเช่นนี้เป็นอันขาด หรือว่าจะเป็นศิษย์คนใดคนหนึ่งของเฒ่าประหลาดสองคนนี้?” แววตาหญิงผมอสรพิษเยือกเย็นเป็นอย่างมาก นางใช้ลิ้นเลียเลือดตรงมุมปากด้วยความประหลาดใจ
หลิ่วหมิงสลบไปหนึ่งวันเต็มๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เขาก็ค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในที่สุด และค้นพบในทันทีว่ามือเท้าของตนเองอยู่ครบ บนตัวไม่มีบาดแผลใดๆ เลยแม้แต่น้อย
และแมงป่องกระดูกกับหัวบินที่นอนอยู่ข้างๆ ก็เป็นเหมือนกันกับเขา เพียงแต่ยังคงหลับลึกอยู่เท่านั้น
หลิ่วหมิงรู้สึกทั้งตกใจและดีใจ หลังจากกวาดสายตามองดูหมึกน้อยบนตัวแล้ว ก็คว้ามันไว้ในมือ และหยิบถุงหนังสามใบบนตัวมาใส่อสูรเลี้ยงทั้งสามอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้ เขาใช้จิตสังเกตดูอสูรเลี้ยงทั้งสามอย่างละเอียด และค้นพบว่าอสูรเลี้ยงเหล่านี้ ไม่เพียงแต่บาดแผลหายไปจนหมดสิ้น ในร่างยังมีพลังน่าตกใจบางอย่างแฝงอยู่ ทำให้ทั้งสามกำลังอยู่ในขั้นตอนของการกลายพันธุ์บรรลุขั้นพร้อมกัน
หลิ่วหมิงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านั้นอย่างละเอียด แต่กลับจำเรื่องราวหลังจากที่ตนเองดูดกลืนโลหิตปีศาจสวรรค์ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับสิ่งของประหลาดของเผ่าปีศาจนี้
หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็พอทำการคาดเดาได้สองสามรูปแบบ แต่สุดท้ายกลับสรุปอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าและเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน
สำหรับเขาในตอนนี้ ย่อมต้องไปจากที่นี่ก่อนถึงจะดีที่สุด
หลังจากได้สติกลับมาแล้ว ก็รีบเก็บสิ่งของบนตัวหวงอิ๋งมา และเก็บแหวนเก็บของของผู้อาวุโสขุยมู่ขึ้นมาด้วย
เทียบกับแหวนย่อส่วนของหลิ่วหมิงแล้ว พื้นที่แหวนเก็บของของผู้อาวุโสขุยมู่ มีขนาดแค่หนึ่งในสามของเขาเท่านั้น พอเขาใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบยันต์ที่เปล่งแสงสีทองจางๆ แผ่นหนึ่งอยู่ตรงมุม และบนนั้นก็มีคำว่า “เคลื่อนย้าย!” เขียนอยู่
หลังจากเขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้วก็เอามือคีบมันออกมา และขึ้นไปบนแท่นบูชาที่อยู่บนใจกลางชั้นจำกัด
จะเห็นว่าใจกลางแท่นบูชามีค่ายกลส่งตัวประทับอยู่หนึ่งหลัง
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า และยกแขนข้างหนึ่งปล่อยพลังเข้าไป
แสงสีขาวสลัวๆ เปล่งประกายท่ามกลางค่ายกล หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสีขาวเจิดจ้าอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นข้างหู ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวบนแท่นสูงที่ดูแปลกหน้าอีกแห่งหนึ่ง บริเวณนั้นยังมีผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจอยู่หลายคน
เขาโบกแขนโดยไม่ต้องคิด และปล่อยพลังเวทเข้าไปในยันต์เคลื่อนย้ายระยะไกล ทันใดนั้น แสงสีทองก็ม้วนตัวออกมา และห่อหุ้มร่างของเขาไว้
“ฟิ้ว!” หลิ่วหมิงกลายเป็นแสงสีทองหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้พิทักษ์เผ่าปีศาจเหล่านั้นรู้สึกอึ้งไปทันที!
พอภาพบรรยากาศรอบด้านพร่ามัว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวริมหน้าผาแปลกหน้าแห่งหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ห่างจากทางเข้าแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือหลายร้อยลี้
พอหลิ่วหมิงปรากฏตัวออกมา ก็ทะยานขึ้นฟ้าอย่างไม่ลังเล และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีทองพุ่งออกไป
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาสูงชันที่อยู่ห่างจากทางเข้าแดนลึกลึบบนเขาเหลยฉือไปไม่ไกล เลี่ยเจิ้นเทียนกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่
ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว และอุทาน “เอ๊ะ! เบาๆ ก่อนลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา
“เมื่อครู่มีคลื่นอากาศสั่นสะเทือน…….หรือว่าจะมีคนออกมาจากแดนลึกลับแล้ว?” ปีศาจสายฟ้ารีบปล่อยจิตออกไปทันที
“แย่แล้ว!”
เขาค้นพบว่าแท่นสูงที่หลิ่วหมิงมาปรากฏตัว กำลังอยู่ในความโกลาหล บนอากาศทิ้งคลื่นคลื่นสั่นสะเทือนจางๆ ไว้ ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหลายคนกำลังควักแผ่นค่ายกลออกมาอย่างวุ่นวายเพื่อที่จะรายงานใครบางคน ทันใดนั้น เขาก็เหาะขึ้นฟ้าด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
พอสะบัดแขนเสื้อ แผ่นค่ายกลสีเขียวขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏบนฝ่ามืออย่างไร้สุ้มเสียง ขณะเดียวกัน เขาก็ปล่อยพลังเวทเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ม่านแสงสลัวๆ ปรากฏขึ้นบนแผ่นค่ายกลทันที และด้านหนึ่งของม่านแสงก็มีจุดแสงเปล่งประกายระยิบระยับ และกำลังออกห่างไปจากจุดศูนย์กลางอย่างรวดเร็ว
เลี่ยเจิ้นเทียนทำเสียงฮึดฮัดและเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปทันที ขณะเดียวกัน แสงสีม่วงบนตัวก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นสายรุ้งสีม่วงพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
และขณะที่หลิ่วหมิงไปจากแดนลึกลับนั้น ภายในห้องลับตรงไหล่เขาเหลยฉือ ชายฉกรรจ์หน้าดำเผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมยาวสีดำก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาในทันที และขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
เขาก็คือปีศาจเหล็กจงเหยียนนั่นเอง
ด้วยการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ของเขา ย่อมรับรู้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนเมื่อครู่ได้ และค้นพบกลิ่นไอของปีศาจสายฟ้าที่พุ่งออกไปในฉับพลัน หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว เขาก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ท่ามกลางแดนลึกลับในเขาเหลยฉือ ปีศาจเหล็กที่สวมชุดสีดำทั้งตัวทะยานขึ้นบนอากาศ สายตาของเขาสาดส่องไปรอบด้าน พริบตาเดียวก็ปล่อยจิตระดับดาราพยากรณ์ออกไป ทันใดนั้น คลื่นพลังจิตอันแข็งแกร่งก็ปกคลุมพื้นที่ทั่วทั้งแดนลึกลับอย่างง่ายดาย
ครู่ต่อมา เขาค้นพบได้ในทันทีว่าในแดนลึกลับขนาดใหญ่นี้ ไม่มีศิษย์เผ่าปีศาจที่มีชีวิตรอดเลยแม้แต่คนเดียว
ที่ทำให้เขารู้สึกตกใจและโมโหที่สุดก็คือ
ชั้นจำกัดแท่นบูชาตรงใจกลางแดนลึกลับล้วนเปิดออกทั้งหมด แม้แต่โลหิตปีศาจสวรรค์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ปีศาจเหล็กมีสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก พอพลิกฝ่ามือหยิบแผ่นค่ายออกมา และร่ายคาถา อักขระสีขาวเล็กๆ ก็พากันเปล่งประกายออกจากแผ่นค่ายกล และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ท่ามกลางแสงสีม่วงที่อยู่ห่างจากเขาเหลยฉือไปร้อยกว่าลี้ เลี่ยเจิ้นเทียนกวาดสายตาดูข้อมูลที่ส่งมายังแผ่นค่ายกลในมือ ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของเขาก็ราวกับจะพ่นไฟออกมา
………………………………