ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 715 การต่อสู้ดุเดือดในเมือง
“ว่ากันว่าแต่ก่อนก็เคยเกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถโจมตีพวกมันจนล่าถอยไปได้อยู่ครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นพวกเราต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันมาก และเสียชีวิตไปหลายคน สุดท้ายท่านผู้เฒ่าถึงเสี่ยงชีวิตกระตุ้นเคล็ดวิชาบางอย่างถึงโจมตีจนมันล่าถอยไป และรักษาเผ่าเอาไว้ได้ มิเช่นนั้นเมืองซาม่านจะยังคงดำรงอยู่หรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก” ซาฉู่เอ๋อร์พูดมาถึงจุดนี้ ดวงตาของนางก็ดูเศร้าโศกขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด
ขณะนี้มีเสียงหอน “บรู๊ววว!” ดังเข้ามาอีกครั้ง และฝุ่นทรายปกคลุมเต็มฟ้าที่เกิดจากการระเบิดตัวของหอกทรายก็ค่อยๆ สลายไป เผยให้เห็นร่างของหมาไนทรายแต่ละตัว
กว่าครึ่งหนึ่งของหมาไนทรายเหล่านี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ มีส่วนน้อยที่มีบาดแผลจากระเบิดปรากฏอยู่บนตัว แต่หลังจากดินทรายม้วนตัวผ่านไป มันก็กลับมาสมานกันดังเดิม
พอหลิ่วหมิงกวาดจิตออกไป ก็ค้นพบว่านอกจากหมาไนทรายระดับศิษย์จิตวิญญาณหลายสิบตัวถูกหอกทรายโจมตีโดนจุดสำคัญจนกลิ่นไอหายไปจนหมดสิ้นแล้ว ที่เหลือล้วนไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมากนัก
ขณะนี้หมาไนจำนวนแน่นขนัดได้เคลื่อนตัวมาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองไม่กี่จั้งแล้ว แต่ละตัวที่อยู่ตรงหน้าสุดต่างก็มีทรายม้วนตัวขึ้นใต้เท้า กรงเล็บคู่หน้ากลายเป็นกรงเล็บแหลมคมที่ยาวฉื่อกว่าๆ และเสียบลงบนผนังกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย จากนั้นก็พุ่งตรงไปบนกำแพงเมือง
“ต้านทานเข้าไว้ รักษากำแพงให้ดี อย่าให้พวกมันบุกขึ้นมาได้” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะทรายสีดำ และถือดาบทรายสีดำอยู่ในมือตะโกนบอกคนร่วมเผ่าที่อยู่ด้านหลัง
“ฆ่า ฆ่า ฆ่า ……ฆ่า!” คนเผ่าทรายแต่ละคนต่างก็มีสีหน้าตึงเครียด แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ก็พากันคำรามออกมาด้วยความโมโห
ภายใต้การร่ายคาถาของพวกเขา ทรายสีดำก็ก่อตัวขึ้นมา ครู่เดียว มือข้างหนึ่งก็จับดาบคมกริบที่ก่อตัวจากทรายไว้ ส่วนอีกข้างก็ยกโล่ทรายสีดำที่สูงครึ่งตัวขึ้นมา และพากันออกไปรับมือ
เกิดความวุ่นวายบนกำแพงเมืองอยู่ชั่วขณะหนึ่ง คนเผ่าทรายปะทะกับหมาไนทรายเหล่านี้
สำหรับหมาไนทรายเหล่านี้แล้ว มีเพียงแค่การเข้าต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ถึงจะสร้างความเสียหายสูงสุดให้กับพวกมันได้ ด้วยเหตุนี้พอหมาไนทรายปีนขึ้นบนกำแพง ชาวเผ่าทรายย่อมละทิ้งการโจมตีในระยะไกลทันที
และคนเผ่าทรายอีกส่วนหนึ่ง ยังคงก่อตัวหอกทรายขึ้นมา และเขวี้ยงออกไปด้านล่างอยู่ไม่หยุด เพื่อต้านทานไม่ให้พวกมันปีนกำแพงขึ้นมามากเกินไป
“พี่หลิ่ว ท่านระมัดระวังให้มากสักหน่อย” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์พูดกับหลิ่วหมิงไปหนึ่งประโยคแล้ว นางก็เข้าไปต่อสู้กับหมาไนทรายที่กระโดดขึ้นมาบนกำแพงทันที
พริบตาเดียวเสียงคำรามและเสียงปะทะกันก็ดังไปทั่วทิศ คนเผ่าทรายกับหมาไนทรายเกิดการตะลุมบอนกันขึ้นมา
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และไม่รีบร้อนลงมือแต่อย่างใด แต่กลับกวาดสายตามองดูกลุ่มการต่อสู้ต่างๆ ที่อยู่บริเวณนั้น
จะเห็นว่าบนกำแพงที่อยู่ห่างออกไปสามสี่จั้ง ชาวเผ่าทรายที่ถือกระบี่ทรายสีดำผู้หนึ่งกำลังต่อสู้อยู่กับหมาไนทรายระดับของเหลวสามตัวอยู่
ชายผู้นี้มีสีหน้าเคร่งขรึม มือทั้งสองเปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด ทันใดนั้น ร่างของเขาก็กลายเป็นเม็ดทรายปลิวว่อนในทันที และมุดเข้าไปในกำแพงเมืองที่เกิดจากทรายที่กองรวมกัน พอเขาปรากฏตัวอีกครั้ง ก็อยู่ห่างจากหมาไนทรายตัวหนึ่งในระยะห่างหนึ่งจั้งกว่าๆ ภายใต้การสะบัดกระบี่ทรายในมือเบาๆ มันก็กลายเป็นเงากระบี่จำนวนมากพุ่งเข้าหาหมาไนทราย
แม้ว่าหมาไนทรายตัวหนึ่งจะหลบไปได้หลายกระบี่ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ทันได้ระวัง ยังคงถูกแทงทะลุหัวใจไปหนึ่งกระบี่ หลังจากกระตุกอยู่บนพื้นสองสามทีแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
ขณะนี้ หมาไนทรายสองตัวต่างก็ขนาบหน้าหลังของชายผู้นี้ตั้งแต่แรกแล้ว พอมันส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกัน แสงแวววาวก็เปล่งประกายออกจากกรงเล็บคู่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็กระโจนเข้าหาชายเผ่าทรายผู้นี้
หลังจากผ่านการโจมตีในเมื่อครู่ ดูเหมือนว่าชายเผ่าทรายผู้นั้นจะสูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย และมีสภาพหายใจเหนื่อยหอบแล้ว พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้แต่เอียงตัวไปด้านหน้า และยกโล่ทรายสีดำบนมือซ้ายมาต้านทานไว้
“ฟิ้วๆ!”
ภายใต้การต้านทานกรงเล็บของหมาไนทราย ทำให้เกิดรอยกรงเล็บสี่รอยที่ลึกชุ่นกว่าๆ บนผิวของโล่ทราย จากนั้นมันก็แตกสลายไป
ขณะที่หมาไนทรายตัวที่อยู่ด้านหลังกระโจนเข้ามาถึงนั้น แสงดาบสีดำที่อยู่ไม่ไกลก็เปล่งประกายผ่านไป ทำให้หมาไนทรายตัวนี้ถูกฟันเป็นสองส่วน และกลายเป็นกรวดทรายก่อนสลายไปตามลม
ขณะเดียวกัน เงาร่างที่หลิ่วหมิงคุ้นเคยเล็กน้อย ก็กะพริบขึ้นไปรับมือกับหมาไนทรายที่อยู่ตรงหน้าชายเผ่าทรายผู้นั้น
ผู้ที่ลงมือก็คือถูลาที่พาหลิ่วหมิงเข้าเมืองในตอนนั้นนั่นเอง
“ถูสือ เจ้าถอยไปพักผ่อนก่อน ที่นี่มอบให้ข้าจัดการเถอะ” ถูลากำหมัดทั้งสองต่อสู้กับหมาไนทรายตรงหน้า ขณะเดียวกันก็กล่าวกับชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
ชายเผ่าทรายได้ยินก็พยักหน้า จากนั้นก็กระโดดลงจากกำแพงอย่างไม่ลังเล และถอยกลับไปยังฝูงชนก่อนนั่งขัดสมาธิลงไป
จะเห็นว่ามีพลังปราณสีดำที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าคละเคล้าด้วยดินทรายค่อยๆ พุ่งขึ้นจากใต้เท้า และจมหายไปในร่างของเขา
ขณะนั้นเอง มีหมาไนทรายอีกตัวพุ่งขึ้นบนกำแพง และกระโจนเข้าหาถูลาอย่างรวดเร็ว
ถูลาโยนโล่ในมือออกไป และถอยหลังไปหลายก้าวอย่างรวดเร็ว
“เพล้ง!” โล่สีดำต้านทานได้เพียงครู่เดียวก็ถูกกรงเล็บอันแหลมคมคู่หนึ่งตะกุยจนแตกกระจาย
หลังจากถูลาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ย่อเข่าลง ขาขวาของเขากระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง พื้นทรายใต้เท้าสั่นสะเทือนเบาๆ ภายใต้การม้วนตัวของดินทราย มันก็กลายเป็นดาบทรายสีดำที่ยาวสองถึงสามจั้ง
และถูลาก็สะบัดดาบนี้ออกไปรับมือ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เข้าใจในทันที
จากการคาดเดาของเขา เคล็ดวิชาดาบทรายที่คนเผ่าทรายใช้นี้ จะทำให้สูญเสียพลังเวทเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จำเป็นต้องถอยไปผ่อนคลายก่อน และดูดซับพลังปราณใต้ดินจำนวนหนึ่งเพื่อฟื้นฟู หลังจากนั้นถึงปล่อยดาบทรายออกมาอีกครั้ง หรือพุ่งเข้าไปรับมือกับศัตรูโดยตรง
“ท่านพี่ระวังด้านหลัง!” มีเสียงตะโกนด้วยความตกใจดังมาจากการต่อสู้อีกกลุ่ม
หลิ่วหมิงปราดตามองไปทันที จะเห็นว่าดวงตาที่สามของหมาไนทรายตัวหนึ่งกำลังยิงแสงสีเขียวเจิดจ้าออกมา และโจมตีลงบนแขนขวาของชายเผ่าทรายผู้หนึ่ง
ทันใดนั้น บริเวณแขนขวาที่ถูกโจมตีก็มีบุปผาหินสีเทาเบ่งบานออกมาหนึ่งดอก จากนั้นแขนของเขาก็กลายเป็นหินจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ และค่อยๆ ลามออกไป
“รีบตัดแขนทิ้งซะ!” คนที่เตือนในก่อนหน้านั้น ตะโกนเตือนสติอีกครั้ง
ขณะนั้นเอง ชายที่โดนวิชากลายร่างเป็นหินกลับมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กัดฟันสะบัดกระบี่ทรายในมือซ้ายตัดแขนที่กลายเป็นหินออกมา
“เต๊ง!” สะเก็ดไฟสีเทากระเด็นไปทั่วทิศ กระบี่ทรายสั่นสะท้านเบาๆ ก่อนร่วงลงพื้น แขนขวาที่กลายเป็นหินกลับถูกฟันเป็นรอยแผลลึกๆ ที่มองเห็นกระดูกเท่านั้น และมองเห็นผลึกหินสีเทาอยู่ในนั้นอย่างรำไร
ขณะนี้แขนกว่าครึ่งหนึ่งได้กลายเป็นหินสีเทาแล้ว และกำลังจะขยายไปที่ไหล่ของเขา
ชาวเผ่าทรายรูปร่างสูงที่เตือนเขา กำลังจะเข้าไปช่วย แต่กลับมีหมาไนทรายอีกตัวพุ่งออกมาขวางทางไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจออกมา พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง กระบี่เล็กสีทองอร่ามก็พุ่งยิงออกไป “ฟิ้ว!” และกะพริบไปตัดแขนขวาของชายผู้นั้นจนหลุด
“ฟู่!”
แขนหินตกกระแทกพื้นจนแตกกระจุย และชายผู้นั้นก็รู้สึกเจ็บปวดจนเหงื่อผุดเต็มศีรษะ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองมาทางหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
หลิ่วหมิงกลับไม่สามารถตอบสนองต่อความรู้สึกซาบซึ้งของชายผู้นั้นได้ หลังจากกระบี่เล็กสีทองหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว มันก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งไปยังหมาไนทรายที่ยิงลำแสงสีเขียวออกมาตัวนั้น
“ฉึก!” กระบี่เล็กสีทองหมุนวนเข้ามาถึง พริบตาเดียวก็เจาะทะลุหัวของหมาไนทรายไป
หมาไนทรายส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน และสลายตัวเป็นกลุ่มทรายสีเหลืองในทันที
ขณะนี้ชายร่างสูงก็แสดงท่าไม้ตายจนหมาไนทรายตรงหน้าสลายไป และพุ่งเข้ามาถึง หลังจากร่ายคาถาลึกลับออกมา ฝุ่นทรายก็ม้วนตัวขึ้นมาห่อหุ้มชายที่ได้รับบาดเจ็บ และผลักไปข้างหลิ่วหมิง
“เมื่อครู่ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือเข้าช่วย หากช้ากว่านี้ล่ะก็ รอจนอวัยวะภายกลายเป็นหินแล้ว ต่อให้จะตัดแขนของมันมา ก็ไม่อาจชดเชยได้” แม้ชายที่ได้รับบาดเจ็บจะมีสีหน้าซีดขาว แต่ก็รีบกล่าวขอบคุณออกมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสอะไร นี่คือโอสถรักษาบาดแผล หวังว่าจะช่วยทำให้บาดแผลของสหายท่านเบาลงได้” หลิ่วหมิงถือโอกาสหยิบโอสถสีเขียวออกจากแหวนย่อส่วน และโยนให้ฝ่ายตรงข้าม
“ขอบคุณท่านมาก!” ชายที่ได้รับบาดเจ็บมีสีหน้าดีใจมาก และรีบรับโอสถมาทานโดยไม่ปฏิเสธแต่อย่างใด
ชายร่างสูงที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าซาบซึ้งกับหลิ่วหมิง
ด้วยเหตุที่ว่าพื้นที่สีเขียวกับทะเลทรายกุ่ยโม่แห่งนี้ขาดแคลนทรัพยากรมาก ต่อให้เป็นโอสถรักษาอาการบาดเจ็บที่ธรรมดาที่สุด ก็ล้ำค่าสำหรับคนเผ่าทรายเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงโบกมือเล็กน้อย หลังจากมองดูอสูรทรายรอบด้านที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา พอมือข้างหนึ่งชักนำ แสงกระบี่สีทองก็พุ่งขึ้นฟ้า และม้วนตัวไปทางอสูรทรายที่อยู่บริเวณนั้น
แม้เขาจะไม่ใช่คนเผ่าทราย แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถเพิกเฉยได้ มิเช่นพอเมืองถูกทำลาย เขาก็มีอันตรายเช่นกัน
แม้ว่าพลังเวทของหลิ่วหมิงจะถูกควบคุมอยู่ที่ระดับของเหลว แต่อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่งกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มนี้ แม้แต่ระดับผลึกเขาก็สามารถสังหารได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะเกรงกลัวหมาไนทรายเหล่านี้
จะเห็นว่าเขาทำท่ามืออยู่ไม่หยุด สายรุ้งสีทองกวาดออกไปจากบนกำแพง บริเวณที่มันพุ่งผ่านเกิดแสงเย็นสะท้านอันน่าครั่นคร้าม ผ่านไปครู่หนึ่ง หมาไนทรายสิบกว่าตัวก็ถูกแสงกระบี่ฟันเป็นสองชิ้น
“ดี! กระบี่บินของสหายท่านนี้คมกริบจริงๆ ทุกคนอย่าได้น้อยหน้าสหายท่านนี้ล่ะ ไปฆ่ามันซะ!” ชายกรรจ์เผ่าทรายระดับผลึกที่บัญชาการอยู่เห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาทันที พอโบกแขนข้างหนึ่ง ทรายในมือก็กลายเป็นแสงสีดำจำนวนมากก่อนม้วนตัวออกไป ทำให้หมาไนทรายที่อยู่บริเวณนั้นถูกสังหารไปหลายตัว
ทันใดนั้น คนเผ่าทรายก็ฮึกเหิมขึ้นมา เกิดเสียงตะโกนเข่นฆ่าติดต่อกัน
ขณะนี้ ซาฉู่เอ๋อร์ก็สังหารหมาไนทรายหลายตัวที่อยู่บริเวณนั้นจนหมดสิ้น จากนั้นก็พุ่งกลับมาด้านข้างของหลิ่วหมิง หลังจากยิ้มหวานให้หลิ่วหมิงแล้ว ก็ร่อนลงไปในสถานที่ปลอดภัยใต้ล่าง และนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังเวท
แต่ว่าในใจหลิ่วหมิงกลับรู้สึกหงุดหงิดมาก
แม้เขาจะอาศัยพลังเวทบริสุทธิ์ที่สูงกว่าคนทั่วไป โดยไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการสูญเสียพลังเวท แต่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณในกลางทะเลกุ่ยโม่แห่งนี้ ก็ถูกควบคุมไม่น้อย อานุภาพที่แสดงออกมาไม่ถึงหนึ่งในสามของเมื่อก่อนแล้ว
ที่ทำให้หลิ่วหมิงเป็นทุกข์ยิ่งกว่าก็คือ ขณะนี้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณไม่อาจออกห่างจากตัวได้มากนัก อยู่ห่างได้แค่ระยะสิบกว่าจั้งเท่านั้น พอเลยไปจากนี้การเชื่อมต่อกับกระบี่ก็จะอ่อนแอลงมาก ส่งผลให้ไม่อาจควบคุมได้ดั่งใจ
เขากวาดสายตามองดูหมาไนทรายที่กระโดดขึ้นบนกำแพงเมืองอยู่ไม่หยุด และตัดสินใจโบกมือข้างหนึ่งออกไป กระบี่บินพลังจิตวิญญาณแกว่งไปแกว่งมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งกลับมาหาเขา
นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงชี้ออกไปติดต่อกันราวกับล้อรถ พลังเวทภายในร่างพุ่งเข้าใส่กระบี่บินสีทองตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง
………………………………