ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 716 อสูรทรายร่างยักษ์
ทันใดนั้น ภายใต้การเปล่งแสงสีทองของตัวกระบี่ พริบตาเดียวมันก็กลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้ง และแผ่อานุภาพอันน่าตกใจพุ่งขึ้นฟ้า
หลิ่วหมิงหยุดทำท่ามือและรวมร่างเป็นหนึ่งกับกระบี่ยักษ์ในทันที จากนั้นก็กระตุ้นแสงกระบี่สีทองให้พุ่งลงไปด้านล่างโดยตรง และแสงสีทองที่เปล่งประกายเจิดจ้าก็กวาดไปท่ามกลางฝูงอสูรทราย
พอเห็นฉากเช่นนี้ ซาฉู่เอ๋อร์ก็เผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่งแล้ว ก็ลุกขึ้นมาม้วนตัวเป็นฝุ่นทรายพุ่งลงด้านล่าง และเข้าร่วมต่อสู้อย่างดุเดือด
คนเผ่าทรายระดับผลึกหลายคน ก็กลายเป็นทรายม้วนตัวลงไปด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้น ฝูงอสูรที่อยู่ด้านล่างก็เกิดความโกลาหลขึ้นมา ทำให้คนเผ่าทรายที่อยู่บนกำแพงลดความกดดันไปได้มาก
“แย่แล้ว! รีบไปรายงานท่านผู้เฒ่า มีอสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏตัวออกมาแล้ว” คนเผ่าทรายที่ยืนอยู่บนที่สูงของกำแพงเพื่อสังเกตการณ์โดยเฉพาะตะโกนออกมาในฉับพลัน
ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงดัง “โครมคราม!” มาจากด้านหลังฝูงอสูรทราย พอมองออกไป จะเห็นว่ามียอดเขาทรายขนาดใหญ่ที่สูงร้อยกว่าจั้งกำลังเคลื่อนตัวมาทางเมืองอย่างช้าๆ
ขณะเดียวกัน พลังกดดันจิตวิญญาณก็แผ่ออกจากยอดยอดเขาทราย สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นไอระดับแก่นเสมือนอยู่ลางๆ
คนเผ่าทรายบนกำแพงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“พี่หลิ่ว รีบไป! อสูรทรายร่างยักษ์ตัวนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเรา” ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มการต่อสู้หน้าเมือง มองดูยอดเขาทรายทีหนึ่ง จากนั้นก็ส่งเสียงให้หลิ่วหมิงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที หลังจากกดดันหมาไนทรายตรงหน้าจนล่าถอยออกไปแล้ว นางก็ม้วนตัวเป็นพายุทรายถอยขึ้นไปบนกำแพง
พอหลิ่วหมิงนึกถึงขนาดกองทรายที่กลายร่างเป็นหมาไนทรายธรรมดาในก่อนหน้า ก็ต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็กระตุ้นกระบี่บินม้วนตัวกลับขึ้นไปบนกำแพงทันที หลังจากสับหมาไนทรายบริเวณนั้นเป็นชิ้นๆ แล้ว แสงกระบี่ถึงดับลงเผยให้เห็นร่างจริงของเขา และจ้องมองสถานการณ์ที่อยู่ไกลๆ
ขณะนั้นเอง ชายเผ่าทรายระดับผลึกหลายคนที่ลงไปต่อสู้ด้านล่าง ก็พากันถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียว ยอดเขาทรายก็เคลื่อนตัวมาอยู่ห่างจากกำแพงเมืองสามสิบกว่าจั้งแล้ว ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองทะลุหมอกทรายสลัวๆ ไปเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของอสูรทรายร่างยักษ์
อสูรยักษ์เป็นสีเหลืองทั้งตัว รูปร่างภายนอกไม่เหมือนกับหมาไนทรายเลยแม้แต่น้อย มันอาศัยขาหลังขนาดใหญ่ค้ำยันร่างไว้ราวกับคนทั่วไปที่ใช้ขาเดิน และขาหน้าทั้งคู่เมื่อเทียบกับร่างของมันแล้วดูสั้นอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยหนามอันแหลมคม ตรงก้นยังมีหางยาวสีเหลืองที่เต็มไปด้วยหนามแหลมเช่นกัน
อสูรตัวนี้มีตาสามดวง สองดวงติดอยู่บนฝ่ามือ ดวงที่สามติดอยู่บนหัว ตาแต่ละดวงมีขนาดใหญ่เท่าแผ่นโม่ ในขณะที่วิ่งไปด้วย มันก็มองรอบด้านอยู่ไม่หยุด แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
หลังจากมีเสียงบัญชาการดังขึ้นบนกำแพง หอกทรายสีดำแน่นขนัดก็เขวี้ยงลงไปอย่างบ้าคลั่ง เป้าหมายคืออสูรทรายร่างยักษ์ตัวนี้
หลังจากมีเสียงระเบิดดังตู๊มต๊ามอยู่ครู่หนึ่ง หมอกดำที่กลายร่างมาจากหอกทรายก็ปกคลุมอสูรยักษ์ไว้
แต่ครู่ต่อมาก็มีเสียงคำรามดังขึ้น อสูรทรายขนาดใหญ่วิ่งออกจากหมอกทรายอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งเข้าหากำแพงทันที โดยที่ไม่มีบาดแผลใดๆ บนร่างของมันเลย
หมาไนทรายที่อยู่บริเวณนั้นเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงหอนและถอยออกไปสองข้างเพื่อเปิดทางให้อสูรทรายร่างยักษ์
ครู่เดียว อสูรทรายร่างยักษ์ก็พุ่งมาอยู่ห่างจากประตูเมืองไม่ไกล ทันใดนั้นมันก็สะบัดหัวขนาดใหญ่ และอ้าปากพ่นของเหลวสีเขียวที่ส่งกลิ่นเหม็นคาวออกมา พริบตาเดียว ก็โจมลงบนปีกกาแห่งหนึ่งบนกำแพงเมือง
“ฟู่ๆ!” ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
บริเวณที่ของเหลวสีเขียวหล่นใส่ ดินทรายที่ดูแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ก็ค่อยๆ สลายตัวเป็นควันสีเขียว
“ไม่ดี! รีบหลบไป”
ผู้เฒ่าเผ่าทรายหลายคนที่มีประสบการณ์มาก่อนเห็นเช่นนี้ ก็รีบตะโกนบอกให้คนที่อยู่รอบข้างหลบออกไป
“ตู๊ม!”
กำแพงเมืองบริเวณนั้นพังทลายลงมา ผู้ฝึกฝนเผ่าทรายสองคนที่กำลังต่อสู้กับหมาไนทรายอยู่หลบหนีไม่ทัน จึงถูกฝังไปพร้อมกับหมาไนทรายท่ามกลางเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
และพอมีช่องโหว่ หมาไนทรายจำนวนมากที่ติดอยู่นอกกำแพงเมือง ก็พุ่งเข้ามาบริเวณที่กำแพงเมืองพังทลายอย่างบ้าคลั่ง
แม้ว่าจะมีคนเผ่าทรายสิบกว่าคนกระโดดลงมาต้านทานไว้ แต่มันก็ดูล่อแหลมเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกัน หลังจากอสูรทรายยักษ์ส่งเสียงคำรามออกมา ร่างขนาดมหึมาก็พุ่งไปข้างหน้า และปะทะใส่กำแพงเมืองอีกส่วนหนึ่ง ทำให้กำแพงส่วนนี้สั่นสะเทือนเล็กน้อย และมีรอยร้าวยาวๆ ปรากฏออกมา
ฉากเช่นนี้ทำให้คนเผ่าทรายรู้สึกหวาดผวายิ่งกว่าเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที หลังจากกระบี่บินในมือสั่นสะท้านเบาๆ และกำลังจะถูกปล่อยออกไปนั้น พลันมีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากในเมือง มนุษย์ทองแดงสีเขียวที่สูงสิบกว่าจั้ง กำลังพุ่งมาทางกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว
และบนหัวของมนุษย์ทองแดงสีเขียว กลับมีผู้เฒ่าเผ่าทรายที่หลิ่วหมิงพบเจอในวันนั้นยืนอยู่
แต่ขณะนี้ผู้อาวุโสร่างอวบไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่กลับยืนเอามือไขว้หลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยแววสังหาร
“รีบดู ท่านผู้เฒ่ามาแล้ว!”
“มีผู้พิทักษ์คอยคุ้มครองอยู่ จะต้องสังหารอสูรยักษ์ตัวนั้นได้แน่!”
ชั่วขณะนั้น ดูเหมือนว่าคนเผ่าทรายจะมีความหวังขึ้นมา ทันใดนั้นพวกเขาก็ตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ตอนที่หลิ่วหมิงเห็นมนุษย์ทองแดงสีเขียวนั้น เขาก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย และรู้สึกแปลกๆ อยู่ในใจ
ไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือรูปลักษณ์ภายนอกของมนุษย์ทองแดงสีเขียวผู้นี้ ล้วนมีส่วนคล้ายกับหุ่นมนุษย์ทองแดงที่เผิงเยวี่ยจากนิกายเทียนกงควบคุม เพียงแต่ว่าบนตัวของมันเป็นหลุมเป็นบ่อราวกับผ่านศึกมานาน
ขณะนั้นเอง มนุษย์ทองแดงสีเขียวยักษ์ก็กระทืบเท้าทั้งสองลงพื้นในฉับพลัน และกระโดดขึ้นมา ร่างขนาดมหึมาของมันกระโดดแค่เดียว ก็พุ่งออกไปไกลหลายสิบจั้ง และพุ่งผ่านกำแพงไปปะทะลงบนตัวของอสูรทรายร่างยักษ์อย่างรุนแรง
“เต๊งๆ!”
หลังจากอสูรทรายร่างยักษ์ถูกชนจนร่นถอยออกไปสองสามก้าว และรู้สึกมึนงงเล็กน้อยนั้น มนุษย์ทองแดงสีเขียวก็ถือโอกาสสะบัดแขนทั้งสองโจมตีหัวของมันติดต่อกันหลายหมัด
อสูรทรายร่างยักษ์ส่งเสียงคำรามด้วยความเจ็บปวด หนามบนตัวพุ่งออกมาราวกับเข็มอันแหลมคม และแทงเข้าไปในร่างของมนุษย์ทองแดงสีเขียว
มนุษย์ทองแดงก็ทำราวกับไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ยังคงปล่อยหมัดโจมตีราวกับสายฝนกระหน่ำ จนอสูรยักษ์ตรงหน้าส่งเสียงร้องอยู่ไม่หยุด
ผู้อาวุโสร่างอวบบนหัวมนุษย์ทองแดงทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวเปล่งประกายบนตัวเป็นเส้นๆ ในระหว่างที่แสงสีเขียวเปล่งประกายในดวงตานั้น หมัดของมนุษย์ทองแดงก็หนักกว่าเดิม ทุกหมัดที่โจมตีออกไปต่างก็ส่งเสียงดังตู๊มต๊าม ทำให้อากาศบริเวณนั้นสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวขึ้นมา
และดวงตาทั้งสามที่อยู่บนฝ่ามือกับบนหัวของมัน ต่างก็พ่นลำแสงสีเขียวออกมา แต่พอโจมตีลงบนตัวมนุษย์ทองแดงกลับมีผลเพียงเล็กน้อย มันจึงได้แต่ใช้กรงเล็บคู่หน้าสร้างเงากรงเล็บขึ้นมาต้านทานไว้เป็นชั้นๆ
“สมกับเป็นท่านผู้เฒ่าจริงๆ” หลังจากซาฉู่เอ๋อร์กระตุ้นดาบทรายตัดหัวหมาไนทรายตัวหนึ่งที่อยู่บริเวณนั้นแล้ว ก็หันไปมองมนุษย์ทองแดงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยสีหน้าดีใจ
ขณะนี้ ผู้ฝึกฝนเผ่าทรายระดับผลึกหลายคนก็พากันกระตุ้นเคล็ดวิชา บ้างก็ก่อตัวดาบทรายยาวเจ็ดแปดจั้ง บ้างก็ก่อตัวมือทรายยักษ์ขนาดเท่าบ้าน เพื่อโจมตีอสูรทรายร่างยักษ์อย่างบ้าคลั่ง
เกิดเสียงดังก้องฟ้าอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ภายใต้การผลัดการโจมตีของมนุษย์ทองแดงยักษ์ และฝูงคนจำนวนมาก ทำให้อสูรทรายร่างยักษ์ไม่มีแรงโต้ตอบ ทำได้แต่กระตุ้นฝุ่นทรายสีดำบริเวณนั้นให้กลายเป็นม่านทรายสีดำห้อหุ้มร่างไว้
ขณะที่หลิ่วหมิงคิดที่จะเข้าไปร่วมโจมตีนั้น พลันมีกลิ่นไอมหาศาลแผ่ออกมาจากฝูงอสูรนอกเมืองที่อยู่ด้านหลัง
“แย่แล้ว! อสูรทรายร่างยักษ์อีกตัวมาแล้ว!”
“เป็นได้อย่างไร การที่อสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏตัวพร้อมกันสองตัวเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อยมาก” คนเผ่าทรายที่อยู่บนกำแพงเกิดความโกลาหลขึ้นมาทันที
ครู่เดียวหลิ่วหมิงก็ทะยานขึ้นฟ้าไปสิบกว่าจั้ง และมองออกไปไกลๆ
จะเห็นว่าเกิดพายุบ้าระห่ำท่ามกลางทะเลทรายที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้ สามารถมองเห็นยอดเขาทรายยักษ์อีกลูกได้อย่างรำไร และมันกำลังเคลื่อนตัวมาทางพื้นที่สีเขียวอย่างรวดเร็ว
ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงเป็นประกายแวววาว และมองทะลุหมอกทรายไปเห็นอสูรยักษ์ตัวนี้อย่างชัดเจน
อสูรยักษ์ตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าตัวก่อนหน้าเล็กน้อย แต่รูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มีขนแข็งสีเหลืองปกคลุมเต็มตัว ราวกับหมีสีเหลืองที่มีขนาดใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่มีดวงตาแปลกๆ สี่ดวงอยู่บนใบหน้า
เหนือดวงตาคู่เดิมยังมีดวงตาสองข้างที่มีเส้นเลือดสีเขียวปกคลุมอยู่ในลูกตา แลดูน่าหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง
อสูรยักษ์ตัวนี้พุ่งมาบนพื้นทรายสีดำอย่างบ้าคลั่ง ทุกย่างก้าวของมันทำให้เกิดหลุมลึกหนึ่งจั้งกว่าๆ จำนวนสี่หลุม มันยังพุ่งมาไม่ถึงบริเวณกำแพงเมือง กลิ่นไอพิฆาตอันน่าตกใจก็ม้วนตัวมาถึงก่อน
“พวกเจ้าไปรับมือกับอสูรยักษ์อีกตัว จำไว้ให้ดี เพียงแค่ถ่วงเวลาไว้ก็พอ” ผู้เฒ่าเผ่าทรายที่อยู่บนมนุษย์ทองแดงเห็นเช่นนี้ กลับสั่งออกไปโดยไม่ต้องคิด
พอได้ยินเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนเผ่าทรายระดับผลึกคนอื่นๆ ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็มีสามคนรีบออกไปจากกลุ่มการต่อสู้ และกลายร่างเป็นพายุทรายพุ่งลงจากกำแพงเมือง จากนั้นก็พุ่งออกจากฝูงอสูรที่สกัดกั้น และพุ่งตรงไปยังอสูรยักษ์ตัวที่สอง
ซาฉู่เอ๋อร์ก็อยู่ในนั้นด้วย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา ในฐานะที่เป็นคนนอก ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดอะไรมากได้ พอทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็กระโดดลงไปเปิดฉากสังหารฝูงอสูรที่อยู่ด้านล่างทันที
ไม่นานผู้แข็งแกร่งระดับผลึกทั้งสามก็กลายเป็นเนินทรายพุ่งไปหาหมีทรายยักษ์ตัวนั้นย่างรวดเร็ว
“ฟู่!”
ทั้งสามพุ่งขึ้นฟ้าพร้อมกัน จากนั้นก็ยืนเป็นรูปสามเหลี่ยมล้อมหมีทรายตัวนั้นไว้
หมีทรายร่างยักษ์หยุดวิ่งด้วยความตกใจ หลังจากกวาดสายตามองไปทั่วทิศแล้ว กลับไม่ทำการโจมตีแต่อย่างใด
ซาฉู่เอ๋อร์ทั้งสามต่างก็สบตากันทีหนึ่ง หลังจากสร้างผนึกร่วมกันกลางอากาศแล้ว ก็ส่งเสียงคำรามออกมาในทันที และกลายเป็นดาบทรายสีดำสามเล่มที่ยาวห้าหกจั้ง จากนั้นดาบทรายก็หมุนตัวติ้วๆ และพรุ่งเข้าหาหมีทรายพร้อมกัน
หมีทรายร่างยักษ์เห็นฉากเช่นนี้ ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น และไม่คิดจะหลบดาบทรายแต่อย่างใด
เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงได้เกิดขึ้นแล้ว!
เดิมทีดาบทรายสีดำสามารถกรีดร่างของหมาไนทรายได้อย่างง่ายดาย แต่พอโจมตีลงบนร่างหมีทรายยักษ์ มันก็ดูราวกับดินเหนียวที่จมลงไปในท้องทะเล พอมันสัมผัสกับร่างของหมีทราย ก็แตกกระจายเป็นเม็ดทรายและถูกร่างของหมีทรายดูดเข้าไปในผิวหนังของมัน
………………………………