ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 718 สนทนากลางราตรี
ขณะนั้นเอง พลันเกิดเสียงดัง “ฟู่!” เงาดำเงาหนึ่งพุ่งออกจากด้านล่างรอยฝ่ามือขนาดใหญ่ หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวด้านหลังหมีทรายอย่างน่าประหลาดใจ พอสะบัดข้อมือ เงากำปั้นที่ห่อหุ้มมุกสีดำกลมๆ ก็โจมตีออกไป
“ตู๊ม!”
ภายใต้สถานการณ์ที่หมีทรายไม่ได้ป้องกันตัวไว้ก่อน แม้ว่ามันจะอาศัยกำแพงทรายที่อยู่ด้านหลังต้านทานเงากำปั้นเกือบครึ่งหนึ่งไว้ได้ แต่ยังคงถูกมุกกลมๆ เจาะทะลุเข้ามา ทันใดนั้นมันก็เซไปด้านหน้าสองสามก้าวจนเกือบล้มลงพื้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อสูรยักษ์ตัวนี้ก็หน้ามืดตาลายไปชั่วขณะหนึ่ง
เงาดำที่ปรากฏออกมาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง คิดไม่ถึงว่าในระหว่างที่เงาฝ่ามือยักษ์ยังเข้ามาไม่ถึงตัวนั้น เขาก็สลัดตัวหลุดจากการกลายร่างเป็นหินได้ และมุดลงไปในพื้นทรายจนสามารถหลบการโจมตีนี้ไปได้
ตอนนี้บริเวณหน้าอกของหลิ่วหมิงยังคงมีผลึกหินสีเขียวอยู่จำนวนหนึ่ง แต่หลังจากไอดำม้วนตัวผ่านไป มันก็แตกกระจายและหลุดออกจากร่าง พอดวงตาของเขาเปล่งประกายแวววาว มือทั้งสองก็กำกำปั้นไว้แน่น ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างในทันที มังกรหมอกดำสี่ตัวกับพยัคฆ์หมอกดำสี่ตัวพุ่งออกมา มันแค่หมุนวนบนหัวอสูรยักษ์หนึ่งรอบ ก็ระเบิดเป็นแสงสีดำพร้อมกัน
มันคือพลังคุกมืดของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั่นเอง
หมีทรายยักษ์รู้สึกแค่ว่ามีแสงสีดำเปล่งประกายตรงหน้า จากนั้นก็ถูกพื้นที่ว่างเปล่าสีดำกักขังไว้ ทันใดนั้น มันก็คำรามออกมาด้วยความตกใจในทันที ฝ่ามือยักษ์คู่หนึ่งโบกสะบัดไปรอบด้าน ทั้งยังมีลำแสงสีเขียวปะปนไปด้วยเป็นครั้งคราว ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง
หลิ่วหมิงอาศัยพลังของคุกมืดเข้าใกล้อสูรยักษ์อย่างรวดเร็ว ลวดลายสายฟ้าสีเงินเปล่งประกายบนมือขวา จากนั้นเส้นสายฟ้าสีเงินก็พุ่งออกจากฝ่ามือ และประสานกันไปมาจนกลายเป็นหอกสายฟ้าสีเงินที่ยาวจั้งกว่าๆ ภายในพริบตา
เกิดเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น!
แขนข้างหนึ่งของเขาขยายใหญ่หนึ่งเท่ากว่าๆ จากนั้นก็โยนหอกสายฟ้าในมือออกไป
ครั้งนี้เขาใช้พลังสายฟ้าที่มีเหลืออยู่ในร่างไม่มาก ซึ่งรวบรวมมาจากพลังสายฟ้าในคืนฟ้าร้องนั่นเอง
แม้อสูรยักษ์จะมีพลังไม่ธรรมดา แต่ภายใต้ระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ ทำให้ไม่อาจหลบหลีกได้เลยแม้แต่น้อย
แสงสายฟ้าสีเงินพุ่งทะลุแสงสีดำ และกะพริบไปโจมตีลงบนตัวหมีทราย
เกิดเสียงดัง “เปรี้ยงปร้าง!”
หอกสายฟ้าระเบิดออกมาทันที สายฟ้าสีเงินพุ่งออกมาเป็นเส้นๆ และกลายเป็นไหมสายฟ้าเปล่งประกายบนตัวหมีทรายอยู่ไม่หยุด ทำให้ร่างขนาดมหึมาของมันเกิดอาการชาจนสูญเสียการควบคุม และไม่อาจดิ้นรนได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเอง พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนบนฝ่ามือ กระบี่บินว่างเปล่าที่ยาวสองฉื่อกว่าๆ ปรากฏออกมา หลังจากสั่นไหวหนึ่งที มันก็กลายเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งยิงออกไป
หมีทรายส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา!
ดวงตาสีเขียวข้างหนึ่งถูกสายรุ้งสีทองเจาะทะลุไป และพุ่งออกทางท้ายทอย หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็หมุนวนรอบตัวอสูรยักษ์หลายรอบอย่างรวดเร็ว
“ตุ๊บ!”
ร่างขนาดมหึมาของหมีทรายถูกฟันเป็นเจ็ดแปดส่วนก่อนร่วงลงพื้น โลหิตพวยพุ่งออกมาจำนวนมาก ทำให้ทะเลทรายบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงไปทั้งแถบ
หลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่งเรียกกระบี่บินกลับมา พอโบกแขนอีกครั้ง แสงสีดำบริเวณนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขานำโอสถจินหยวนออกจากแหวนย่อส่วนมาทานหนึ่งเม็ด หลังจากกวาดสายตามองดูเมืองทีหนึ่งแล้ว ก็ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
ขณะที่เขาสังหารหมีทรายยักษ์ไปได้นั้น อสูรทรายร่างยักษ์ที่ถูกปิดล้อมอยู่หน้าเมืองก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ มันจึงส่งเสียงคำรามออกมาทันที หนามแหลมบนตัวทั้งหมดกลายเป็นหนามทรายที่ยาวจั้งกว่าๆ และพุ่งยิงออกไปเต็มฟ้า
ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา เขารีบควบคุมมนุษย์ทองแดงยักษ์ให้โบกสะบัดแขนทั้งสองจนกลายเป็นเงากำปั้นไปทั้งแถบ และปกคลุมชาวเผ่าทรายคนอื่นๆ ไว้
เกิดเสียงดังกึกก้องราวกับโลหะกระทบกันดังถี่ๆ!
หนามทรายสีเหลืองถูกแขนทั้งสองของมนุษย์ทองแดงยักษ์ต้านทานไว้ได้ จนมันส่งเสียงระเบิดดังสะเทือนเลือนลั่น และกลายเป็นหมอกทรายสีเหลืองก่อนแผ่กระจายออกมา
อสูรทรายร่างยักษ์กลับอาศัยช่องว่างนี้มุดลงพื้น และกลายเป็นยอดเขาทรายขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง มันหลบหนีไปทางส่วนลึกของทะเลทรายท่ามกลางเสียงร้องแปลกประหลาด
ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นให้มนุษย์ทองแดงยักษ์ตามไปแต่อย่างใด
และหมาไนทรายที่กำลังต่อสู้กับผู้ฝึกฝนเผ่าทรายคนอื่นๆ อยู่ พอได้ยินเสียงแผดร้อง พวกมันก็พากันหันหลังจากไปทันที
มีหมาไนทรายเพียงยี่สิบกว่าตัวที่ถูกซาฉู่เอ๋อร์และชายเผ่าทรายคนอื่นๆ ปิดล้อมอยู่ในเมือง และถูกฝูงชนรุมสังหารจนหมดสิ้น คนเผ่าทรายบางส่วนยังคงมองดูหมาไนทรายที่หนีไปด้วยความคันไม้คันมือ
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะชนะแล้วไล่ตาม พาคนบาดเจ็บกลับไปรักษาตัวก่อนสำคัญกว่า คนอื่นๆ ที่เหลือรีบไปสร้างกำแพงทรายขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด” ผู้อาวุโสร่างอวบกระตุ้นมนุษย์ทองแดงยักษ์ให้กลับเข้าไปในเมือง และตะโกนสั่งชาวเผ่าทรายคนอื่นๆ
แม้จะบอกว่าอสูรทรายได้ล่าถอยไปแล้ว แต่ศึกในครั้งนี้ยังคงสร้างความเสียหายไว้ไม่น้อย ลำพังแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็เสียชีวิตไปถึงสามคนแล้ว คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็สุดจะคณานับ
หลังจากหลิ่วหมิงหลบหมาไนทรายจำนวนหนึ่งที่วิ่งหนีเตลิดไปแล้ว เขาก็รีบกลับเข้ามาในเมือง พอเห็นสงครามในที่นี้สิ้นสุดลงชั่วคราว เขาก็กวาดสายตามองดูรอบด้าน และหยุดอยู่ที่หุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์ที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายควบคุมตัวนั้น
ภายใต้การสังเกตดูในระยะใกล้เช่นนี้ นอกจากรูปร่างภายนอกแล้ว โครงสร้างกับลวดลายจิตวิญญาณของมนุษย์ทองแดงยักษ์ตัวนี้เหมือนกับหุ่นมนุษย์ทองแดงที่เผิงเยวี่ยควบคุมไม่มีผิด
แต่ภายใต้การโจมตีกลับของอสูรทรายร่างยักษ์ ดูเหมือนว่ามนุษย์ทองแดงยักษ์ในขณะนี้ จะได้รับความเสียหายไม่น้อย บริเวณหน้าอกของมันมีรูขนาดใหญ่หนึ่งชุ่นกว่าๆ เพิ่มขึ้นมาใหม่หลายสิบรู
หลังจากคนเผ่าทรายที่อยู่บริเวณนั้นเห็นหลิ่วหมิง สายตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
เพราะฉากที่หลิ่วหมิงสังหารเดี่ยวอสูรยักษ์ในก่อนหน้า ก็ถูกคนเผ่าทรายจำนวนมากมองเห็นจากที่ไกลๆ
ขณะนั้นเอง ผู้อาวุโสร่างอวบก็กระโดดลงจากหัวของมนุษย์ทองแดงยักษ์ เขาเดินมาด้านข้างหลิ่วหมิง และประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้ม
“คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้จะมีอสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏถึงสองตัว ช่างเหนือความคาดหมายของข้ายิ่งนัก โชคดีที่สหายหลิ่วลงมือ มิเช่นนั้นโชคชะตาของเผ่าข้าคงน่าเป็นห่วงแล้ว ในนามของเผ่าทรายทั้งหมด ข้าขอขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่ง”
“ท่านผู้เฒ่าไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ หากหมาไนทรายเหล่านี้ทำลายเมืองขึ้นมาจริงๆ ข้าเองก็ไม่อาจรอดได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พลังของสหายหลิ่วก็น่าตกใจจริงๆ ครั้งนี้นับว่าช่วยเผ่าของเราไว้ได้มาก ข้าและคนในเผ่าจะต้องจดจำไว้ในใจมิรู้ลืม หลังจากผ่านศึกอย่างดุเดือด คิดว่าสหายก็จำเป็นต้องพักผ่อนให้มาก รอข้าจัดการที่พักให้เรียบร้อยแล้ว ตอนกลางคืนค่อยเชิญสหายหลิ่วมายังที่พักของข้า ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะหารือด้วย” ผู้อาวุโสร่างอวบครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาเช่นนี้
พอเห็นว่าผู้เฒ่าเผ่าทรายพูดจาเกรงใจเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ไม่อาจปฏิเสธแต่อย่างใด ทำได้แค่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น
คืนวันนั้น หลิ่วหมิงนั่งเข้าฌานอยู่ในที่พักของตนเอง เขากำลังกลั่นพลังของโอสถจินหยวนเม็ดหนึ่งที่เพิ่งทานเข้าไปไม่นาน และ สัมผัสถึงความชุ่มชื้นของพลังเวทในร่างกาย สีหน้าของเขาดูนิ่งสงบเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น มีเสียงเท้าดังเข้ามาจากด้านนอก จากนั้นเสียงของถูลาก็ดังเข้ามา ที่แท้ผู้เฒ่าเผ่าทรายก็เชิญเขาไปหานั่นเอง
หลังจากหลิ่วหมิงตอบรับไปแล้ว ก็รีบเก็บพลังและลุกขึ้นเดินออกไป
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็เดินเข้าไปท่ามกลางบ้านหินหลายหลังที่ดูธรรมดาเหล่านั้น และผู้อาวุโสร่างอวบก็รออยู่ที่นั่นนานแล้ว
พอเขาเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็เชิญนั่งด้วยรอยยิ้ม หลังจากเขาปรบมือ หญิงสาวเผ่าทรายที่มีใบหน้างดงามก็ยกถาดไม้นำชาจิตวิญญาณมาส่งสองถ้วย
“วันนี้ลำบากพี่หลิ่วแล้ว เชิญนั่งชิมชาจิตวิญญาณของเผ่าทรายเราก่อน” ผู้อาวุโสร่างอวบประคองถ้วยชาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ท่านผู้เฒ่าเกรงใจเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงรับชาจิตวิญญาณมาหนึ่งถ้วย กลิ่นดินเหนียวเข้มข้นโชยเข้ามา ทำให้เขารู้สึกรับไม่ได้เล็กน้อย แต่หลังจากจิบชาในถ้วยไปคำหนึ่ง กลับค้นพบว่ามีกลิ่นไอหอมกรุ่นไหลลงท้องพร้อมกับน้ำชา จากนั้นก็มีกระแสอุ่นๆ ไหลเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ จนดูเหมือนว่าพลังเวทจะฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจอย่างอดไม่ได้
“ครั้งนี้โจมตีหมาไนทรายจำนวนมากกับอสูรทรายร่างยักษ์สองตัวจนล่าถอยออกไปได้ ยังคงเป็นเพราะความช่วยเหลือของสหายหลิ่ว โดยเฉพาะวิชาขี่กระบี่บินของสหายหลิ่วมีอานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ ข้าเองก็นับถือเป็นยิ่งนัก” หลังจากผู้อาวุโสร่างอวบจิบชาเสร็จแล้ว ก็กล่าวออกมาเช่นนี้
“ท่านผู้เฒ่าชมเกินไปแล้ว ต่อหน้าผู้อาวุโสแล้ว การฝึกฝนอันน้อยนิดของผู้น้อยไม่นับประสาอะไร ที่สามารถสังหารอสูรยักษ์ตัวนั้นได้ ก็เพราะโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงย่อมกล่าวอย่างนอบน้อม
“เฮ่อๆ! สหายหลิ่วถ่อมตัวเกินไปแล้ว ที่ครั้งนี้ข้าเรียกสหายมานั้น ประการแรกก็เพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือในก่อนหน้า ประการที่สองยังอยากให้สหายหลิ่วช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ หนึ่งเรื่อง” ผู้อาวุโสร่างอวบกล่าวชมเชยหลิ่วหมิงสองสามประโยค จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในฉับพลัน
“เรื่องเล็กๆ ? ไม่ทราบว่าที่ผู้อาวุโสหมายถึงคือ…” หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่กลับถามกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน
สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย และมองหลิ่วหมิงด้วยความชื่นชมมากขึ้น หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้วก็กล่าวออกมาอีกครั้ง
“บอกสหายอย่างไม่ปิดบัง ศึกในวันนี้ หุ่นทองแดงที่ข้าควบคุมสามารถต้านทานอสูรไว้ได้ตัวหนึ่ง แต่ร่างของมันก็ได้รับความเสียหายอย่างหนัก บาดแผลอื่นๆ สามารถซ่อมแซมได้ สำคัญคือชิ้นส่วนแกนหลักของมันใช้งานมานานเกินไป สุดที่จะแบกรับได้แล้ว จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ มิเช่นนั้นไม่อาจรับศึกใหญ่ในครั้งหน้าได้ คิดว่าสหายหลิ่วก็คงรู้ดี หากไม่มีมนุษย์ทองแดงยักษ์คอยช่วย ด้วยพลังของเผ่าทรายเรา คงรับมือกับอสูรทรายร่างยักษ์ได้ยากเป็นอย่างยิ่ง หากครั้งหน้ายังมีอสูรทรายร่างยักษ์ปรากฏอีกสองตัว เกรงว่าต่อให้จะมีสหายหลิ่วคอยช่วย เผ่าเราก็อาจจะต้องเผชิญกับอันตรายจนดับสูญได้” ในที่สุดรอยยิ้มของผู้อาวุโสร่างอวบก็หายไป และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เกิดปัญหากับชิ้นส่วนแกนหลัก ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่ผู้น้อยรู้เรื่องวิชาหุ่นแค่งูๆ ปลาๆ เกรงว่าคงช่วยอะไรมากไม่ได้” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! สหายหลิ่วเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้ให้ท่านซ่อมแซมแกนสำคัญ แต่รู้มาว่ามีสถานที่แห่งหนึ่งๆมีชิ้นส่วนแกนหลักแบบสำเร็จรูปอยู่ เพียงแค่สหายเข้าไปในนั้น และช่วยหยิบออกมาชิ้นหนึ่งก็พอแล้ว” ผู้อาวุโสร่างอวบรีบอธิบายออกมา
“อ๋อ! ทะเลทรายกุ่ยโม่มีสถานที่เช่นนี้ด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติในทันที หลังจากจิบชาไปคำหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
“แน่นอนว่าข้าจะไม่ให้สหายหลิ่วช่วยเปล่า เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าสามารถเสนอโอกาสให้สหายไปจากที่นี่ได้” ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่พูดอะไร ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา และกล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง
“โอกาสในการไปจากที่นี่? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ท่านผู้เฒ่าลองพูดมาก่อน จะให้ข้าไปหาชิ้นส่วนแกนหลักของหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์ได้จากที่ใด? และโอกาสในการไปจากที่นี่คือสิ่งใด?” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา เขาค่อยๆ วางถ้วยชาลงก่อนกล่าวออกมา
………………………………