ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 719 ขุยตี้แห่งหนานฮวง
“ใจกลางทะเลทรายมีซากโบราณแห่งหนึ่ง เป็นพระราชวังที่ไม่รู้ว่ามีมากี่ปีแล้ว ในวังมีหุ่นชนิดต่างๆ ที่ได้รับความเสียหายเก็บไว้มากมาย และหุ่นมนุษย์ทองแดงยักษ์นี้เป็นหนึ่งในชนิดที่มีความเก่งกาจมากที่สุด หุ่นชนิดที่คล้ายกันก็คงมีอยู่ไม่น้อย เพียงแค่สหายหลิ่วนำแกนหลักของหุ่นที่สมบูรณ์แบบมาหนึ่งชิ้นก็พอแล้ว ส่วนวิธีการไปจากทะเลทรายแห่งนี้นั้น ต้องขออภัยที่ข้าไม่อาจบอกได้ในตอนนี้ จำเป็นต้องรอให้สหายหลิ่วนำแกนหลักกลับมาก่อนถึงจะบอกได้” ผู้อาวุโสร่างอวบกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
หลิ่วหมิงฟังจบก็ยิ้มออกมา
ผู้อาวุโสร่างอวบกลับมีสีหน้าปกติ ดูเหมือนว่าจะรอหลิ่วหมิงเอ่ยปากอย่างเงียบๆ
“ผู้อาวุโสล้อข้าเล่นแล้ว ท่านไม่บอกวิธีการไปจากที่นี่คร่าวๆ ให้ผู้น้อยก่อน ผู้น้อยจะไม่ไปหาแกนหลักของหุ่นที่ซากโบราณเด็ดขาด หากผู้น้อยนำแกนหลักของหุ่นกลับมาได้ แล้วผู้อาวุโสไม่บอกวิธีการไปจากที่นี่ ทั้งยังให้ผู้น้อยไปทำงานอื่นล่ะก็ ผู้น้อยจะทำอย่างไร อีกอย่างซากพระราชวังที่ท่านผู้เฒ่ากล่าวถึงจะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นคงส่งคนเข้าไปนานแล้ว ไหนเลยจะให้คนนอกอย่างข้าเป็นคนลงมือ? ถึงอย่างไรก็ตาม ข้อแก้ต่างของท่านไม่สามารถทำให้ผู้น้อยเชื่อถือได้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการไปจากที่นี่ที่แน่นอน เกรงว่าผู้น้อยคงไม่อาจรับปากในเรื่องนี้ได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“ช่างเถอะ! การแสดงออกของสหายหลิ่วในวันนี้ ข้าก็ไม่อาจทำเหมือนท่านเป็นคนนอกได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกท่านสักหนึ่งเรื่องก็แล้วกัน” ผู้อาวุโสร่างอวบคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงย่อมสดับตรับฟังด้วยความตั้งใจ
“โลกภายนอกเรียกสถานที่แห่งนี้ว่าทะเลทรายกุ่ยโม่ แต่ในสายตาของชาวเผ่าทรายเรากลับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ แท้ที่จริงแล้วมันเป็นสมบัติสวรรค์ของผู้ทรงพลังเมื่อหลายพันปีก่อน ก่อนผู้ทรงพลังจะเสียชีวิตในปีนั้น ได้ย้ายสมบัตินี้ไปที่รอยแยกมิติ และทุกๆ สิบปี สมบัตินี้จะเปิดรอยแยกมิติออกมาหนึ่งครั้ง ตอนที่มาปรากฏตัวในสถานที่บางแห่งของดินแดนทางตอนใต้ พายุทรายตรงรอยแยกจะอ่อนกำลังลงมาก คนภายนอกถึงมีโอกาสเข้ามาได้ แต่ช่วงเวลานั้นก็โอกาสอันดีในการจากไป แต่ว่าจะต้องอยู่ในสถานที่เฉพาะถึงจะได้”
“พวกเราเผ่าทรายล้วนเป็นลูกหลานของผู้ติดตามผู้ทรงพลังผู้นั้น อสูรทรายที่สหายหลิ่วเห็นในก่อนหน้า คือสายเลือดของอสูรจิตวิญญาณที่ผู้ทรงพลังเลี้ยงในปีนั้น และซากโบราณที่ข้ากล่าวถึงในเมื่อครู่ ก็เป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงพลังในขณะที่ยังมีชีวิต แม้ว่าผู้ทรงพลังท่านนี้จะเสียไปหลายปีแล้ว ซากโบราณที่คนระดับนี้ทิ้งไว้ไหนเลยจะไม่ทิ้งทางหนีทีไล่ไว้? เป็นเพราะด้านในซากโบราณยังมีกลไกลอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีหุ่นเดินเตร่ไปมาอยู่ในวังไม่น้อย หากใครก็ตามที่เข้าใกล้ก็จะถูกโจมตีทันที”
“แต่ก่อนบรรพบุรุษของเผ่าทรายเรา ยังมีวิธีการควบคุมหุ่นที่เดินเตร่ไปมาเป็นบางส่วน แม้กระทั่งยังสามารถสั่งการอสูรทรายเหล่านั้นได้ แต่หลังจากผ่านไปหลายร้อยหลายพันปี วิธีการควบคุมหุ่นในปีนั้นก็ได้สาบสูญไป ภายใต้การหมุนเวียนของสายเลือด อสูรทรายเหล่านั้นก็ไม่สามารถควบคุมได้ แต่กลับกลายเป็นภัยใหญ่ของเผ่าทรายเรา”
“แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ บรรพบุรุษของเผ่าทรายเราเคยทำสาบานโลหิตว่า ลูกหลานรุ่นหลังห้ามเหยียบเข้าไปในส่วนลึกของซากโบราณแม้แต่ก้าวเดียว มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับผลสะท้อนกลับของการสาบาน คนในเผ่าทั้งหมดจะถูกกำจัดจนสูญสิ้น ชิ้นส่วนหุ่นที่สามารถหาได้บริเวณรอบนอกของซากโบราณ ล้วนถูกนำไปใช้จนหมดแล้ว หากจะหาต่อล่ะก็คงได้แต่เข้าไปในส่วนลึกของซากโบราณเท่านั้น แม้กระทั่งอาจต้องเข้าไปในพระราชวังด้วย นี่ก็เป็นสาเหตุที่ข้าได้แต่ขอให้สหายไปสักรอบ เพียงแค่สหายหลิ่วสามารถหาแกนหลักมาได้ ข้าจะอาศัยสมบัติของเผ่า และยอมเสียพลังจำนวนหนึ่งส่งท่านออกไปอย่างปลอดภัยเมื่อสิบปีหน้ามาถึงอีกรอบ”
ผู้อาวุโสร่างอวบค่อยๆ พูดให้หลิ่วหมิงฟังทีละคำทีละประโยค แสดงให้เห็นถึงความจริงใจเป็นอย่างมาก
หลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้ว แม้ว่าจะไม่เชื่อคำพูดของฝ่ายตรงข้ามทั้งหมด แต่ก็เข้าใจขึ้นมามาก
ดูจากวิธีการพูดของผู้เฒ่าเผ่าทรายท่านนี้ ตอนที่เขาเข้ามาในทะเลทรายกุ่ยโม่นั้น เป็นช่วงเวลาที่สมบัติแห่งสวรรค์เกิดรอยแยกมิติในดินแดนทางตอนใต้ เช่นนี้ก็เท่ากับว่าตนเองต้องอยู่ในมิติแห่งนี้สิบปีถึงจะออกไปได้หรือ?
แต่ดีที่บนตัวของเขายังมีโอสถอยู่จำนวนหนึ่ง เวลาสิบปีก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรอได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้น้อยจะรับปากเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าเสนอ แต่ว่าท่านผู้เฒ่าจะต้องทำสาบานโลหิตรับรองว่าหลังจากเสร็จเรื่องแล้ว จะต้องช่วยผู้น้อยออกไปจากที่นี่” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนเอ่ยปากออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ข้ายินดีที่จะสาบานด้วยชีวิตของคนทั้งเผ่า หลังจากเสร็จเรื่องแล้วข้าผู้แซ่ถูจะต้องช่วยสหายหลิ่วไปจากที่นี่อย่างสุดความสามารถ หาไม่แล้วก็ขอให้เผ่าพันธุ์สูญสิ้น” ผู้อาวุร่างอวบได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
จากนั้นเขาก็กัดนิ้วบีบโลหิตออกมาสองสามหยด และทำการสาบานโลหิตต่อหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าเล็กน้อย นับว่าเขาตอบรับในเรื่องนี้แล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายหลิ่วก็รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าจะให้ซาฉู่เอ๋อร์พาท่านไปยังซากโบราณตรงใจกลางทะเลทราย ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมของสถานที่แห่งนั้น เจ้าหนูน้อยคนนี้ก็ค่อนข้างรู้ดีอยู่แล้ว จะต้องช่วยท่านได้อีกแรงอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสร่างอวบเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ
“ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยต้องขอลาแล้ว”
หลิ่วหมิงลุกขึ้นมาประสานมือคารวะ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
พอเขากลับถึงที่พักของตัวเอง ก็นอนหลับเป็นการใหญ่
ศึกในวันนี้เขาสูญเสียพลังเวทกับพลังจิตไปไม่น้อย เกรงว่าการเดินทางในวันพรุ่งนี้จะต้องอันตรายยิ่งกว่า ดังนั้นจำเป็นต้องฟื้นฟูร่างกายให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
วันที่สอง หลิ่วหมิงนอนจนเกือบเที่ยงถึงตื่นมา
เมื่อเขาเปิดม่านประตูกระโจมด้วยท่าทางสะลึมสะลือนั้น กลับค้นพบว่าซาฉู่เอ๋อร์ได้รออยู่นานแล้ว
“พี่หลิ่ว ท่านตื่นแล้ว” ซาฉู่เอ๋อร์ยังคงใส่ผ้าขาวบางปิดหน้าอยู่ พอเห็นหลิ่วหมิงเดินออกมา นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ทำให้แม่นางซาต้องรอนานแล้ว ดูท่าท่านผู้เฒ่าคงได้บอกแม่นางฉู่เอ๋อร์ไปแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ” หลิ่วหมิงกล่าว
“ดี! ใจกลางซากโบราณยังอยู่ห่างจากที่นี่หลายร้อยกว่าลี้ พี่หลิ่วเองก็ไม่อาจเดินทางใต้พื้นดินทรายเหมือนคนเผ่าทรายเราได้ เกรงใจว่าคงไม่อาจไปถึงได้โดยเร็ว ส่วนสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น พวกเราก็เดินทางไปด้วยพูดไปด้วยก็แล้วกัน” ซาฉู่เอ๋อร์พยักหน้ากล่าว
ต่อมา ภายใต้การนำทางของซาฉู่เอ๋อร์ หลิ่วหมิงก็ออกไปจากเมืองซาม่าน และรีบไปยังใจกลางทะเลทราย
ระหว่างทาง เนื่องจากทั้งสองต่างก็รู้จักกัน บวกกับเคยเคียงไหล่ต่อสู้ศึกดุเดือดในเมื่อวาน ทำให้ทั้งสองพูดคุยกันอย่างออกรส
หลังจากทั้งสองพูดคุยกันเรื่องมโนสาเหร่แล้ว หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนหัวข้อในการสนทนาทันที
“เกี่ยวกับผู้ทรงพลังที่ท่านผู้เฒ่าพูดถึง แม่นางซาสามารถเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียดได้หรือไม่?”
“ผู้ทรงพลังผู้นั้นก็เป็นเจ้าของสมบัติสวรรค์นี้ด้วย คิดว่าพี่หลิ่วเองก็คงรู้แล้ว เขาก็คือขุยตี้แห่งหนานฮวง ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ ว่ากันว่าเดิมทีผู้อาวุโสท่านนี้มาจากนิกายเทียนกงที่เป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ในแผ่นดินจงเทียน ต่อมาไม่รู้ว่าเหตุใดถึงออกจากนิกายเทียนกง และกลายเป็นศิษย์ที่ถูกขับไล่ออกจากนิกาย แต่ต่อมาพลังของเขาก็ก้าวหน้าเป็นอย่างมาก และสร้างกองทัพหุ่นขนาดใหญ่จำนวนมหาศาล อาศัยแค่พลังของหุ่น ก็เคยครอบครองดินแดนทางใต้อยู่ช่วงหนึ่ง” ซาฉู่เอ๋อร์เดินไปอย่างช้าๆ ขณะเดียวกันก็อธิบายให้หลิ่วหมิงฟังไปด้วย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็พูดพึมพำออกมา
“คำพูดของพี่หลิ่วหมายถึง?” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยินก็รู้สึกฉงนเล็กน้อย
“ข้ารู้จักคนอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งก็เป็นคนนิกายเทียนกงเหมือนกัน มนุษย์ทองแดงยักษ์สีทองที่เขาควบคุมค่อนข้างคล้ายกับหุ่นทองแดงสีเขียวที่ท่านผู้เฒ่าควบคุมมาก ที่แท้ก็มาจากนิกายเดียวกัน” หลิ่วหมิงเองก็เอ่ยปากอธิบายโดยไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด
“ที่แท้พี่หลิ่วก็รู้จักกับคนนิกายเทียนกง ที่จริงข้าก็ไม่ได้เป็นสายเลือดบริสุทธิ์ของเผ่าทราย ท่านพ่อของข้าไม่คนในเผ่าทราย แต่เป็นนอกที่เข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้เมื่อหลายปีก่อนเหมือนกับพี่หลิ่ว เดิมทีท่านก็เป็นศิษย์ตระกูลใหญ่แห่งหนึ่งในแผ่นดินจงเทียน ถูกขังอยู่ในนี้ย่อมรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่ต่อมาได้รู้จักกับท่านแม่ ทั้งสองต้องใจกันจนผูกพันเป็นสามีภรรยา ตั้งแต่นั้นมาท่านพ่อของข้าก็ไม่เคยคิดที่จะไปจากที่นี่อีกเลย”
“แต่เนื่องจากการฝึกฝนของท่านพ่อถึงขีดจำกัด ไม่อาจฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ได้ เวลานานเข้าก็กลายเป็นคนธรรมดา ไม่นานก็ละสังขารไป” ซาฉู่เอ๋อร์กล่าวด้วยสีหน้าสงบ ดวงตาดูเศร้าสลดเล็กน้อย
หลิ่วหมิงฟังแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอนึกถึงเรื่องราวของแปดตระกูลใหญ่ที่นางชอบถามอยู่บ่อยๆ ก็เข้าใจขึ้นมาทันที
เขาพูดปลอบใจนางไปสองประโยค จากนั้นก็จงใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปสอบถามเรื่องราวเกี่ยวกับซากโบราณแทน
ซาฉู่เอ๋อร์ย่อมบอกทุกสิ่งที่นางรู้
ซากโบราณไม่ได้อยู่ใกล้กับพื้นที่สีเขียว ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน โชคดีที่ยังไม่ได้พบเจอกับพายุทราย ส่วนหมาไนทรายสองสามตัวที่พบเจอในระหว่างทาง ต่างก็ถูกพวกเขาสังหารอย่างง่ายดาย โดยไม่ถ่วงเวลาพวกเขามากนัก
ผ่านไปหนึ่งวัน ทั้งสองก็มาถึงบริเวณเนินทรายแห่งหนึ่งที่ดูคล้ายภูเขาลูกเล็กๆ ที่นี่ไม่นับว่าเป็นทะเลทรายบริสุทธิ์ มีหินแปลกประหลาดขนาดต่างๆ ผุดอยู่เต็มพื้น
“ผ่านเนินทรายแห่งนี้ไปก็ใกล้จะถึงตำแหน่งของซากโบราณแล้ว” พอซาฉู่เอ๋อร์เห็นเนินทราย ก็ถอนหายใจยาวๆ ก่อนกล่าวออกมา
หลิ่วหมิงพยักหน้า และเผยให้เห็นสีหน้าที่ดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
ตอนนี้เขาค้นพบแล้วว่า ยิ่งเข้าใกล้ซากโบราณที่พูดถึง ทะเลทรายกุยโม่ยิ่งจำกัดพลังเวทของเขามากขึ้น ตอนอยู่ที่พักในพื้นที่สีเขียว เขายังมีพลังระดับของเหลวขั้นกลางอยู่ แต่พอมาถึงสถานที่แห่งนี้ กลับอยู่ที่ขั้นต้นเท่านั้น
ไม่เพียงแต่เท่านี้ จิตรับรู้ของเขาก็ถูกจำกัดด้วยเช่นกัน ซึ่งออกจากร่างไปได้ไม่กี่จั้งเท่านั้น
ชั้นจำกัดอันร้ายกาจเช่นนี้ ดูท่าสถานที่แห่งนี้คงเป็นที่อยู่อาศัยของขุยตี้แห่งหนานฮวงอย่างไม่ต้องสงสัย
“มาถึงที่นี่แล้ว จะไม่มีพายุทรายกับอสูรทรายโจมตีอีก แต่ว่าพวกเราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น มีหุ่นวนเวียนอยู่มากมายในพื้นที่รอบๆ ซากโบราณ พวกมันจะโจมตีใครก็ตามที่คิดจะบุกเข้าไปในซากโบราณแห่งนั้น” ซาฉู่เอ๋อร์เร่งความเร็วฝีเท้าขึ้นอีกเล็กน้อย และเดินนำไปทางเนินทรายก่อน
หลิ่วหมิงพยักหน้าตอบรับแล้วก็เดินตามนางไปติดๆ
ด้วยพลังของทั้งสอง ไม่นานก็เดินข้ามเนินทรายไป และสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน
“ที่นี่คือซากโบราณที่พวกเจ้าพูดถึง……สมกับเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ในปีนั้น!”
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือซากโบราณขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่เกือบหนึ่งหมื่นหมู่ พอทอดสายตามองออกไป ภายใต้การส่องสะท้อนของท้องฟ้าสีเหลืองสลัวๆ กำแพงที่ปรักหักพังตรงหน้าดูเตะตายิ่งนัก
ส่วนต่างๆ ของกำแพงเมืองโบราณที่เป็นจุดด่างดำเต็มไปด้วยรอยยุบที่ทิ้งไว้ตั้งแต่โบราณกาล อิฐเคลือบสีดำที่พังทลาย กระเบื้องที่แตกหัก เสาหยกสีขาวที่หักโค่นมา ทั้งหมดนี้สามารถพบเห็นได้ทุกหนทุกแห่ง
ดูจากสิ่งที่พบเห็นในตอนนี้แล้ว สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ในปีนั้นจะยิ่งใหญ่มโหฬารเพียงใด
………………………………