ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 72 ผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย
หรือว่าถึงแม้หญิงนางนั้นจะดูสาว แต่แท้ที่จริงแล้วอาจเป็นยายแก่ที่อายุร้อยปีแล้ว!
หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วก็ละความคิดออกจากสมอง แล้วก็ตามผู้อาวุโสเข้าไปยังห้องเล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างงดงามและเรียบๆ ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวสวยนางหนึ่งยกน้ำชาที่โชยกลิ่นหอมเตะจมูกมาให้หนึ่งถ้วย
จากนั้นผู้อาวุโสก็ออกไปจากห้องไปหาเจ้าของร้านที่เขากล่าวถึง
ผ่านไปสักครู่ หลังจากมีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกห้อง ผู้อาวุโสได้พาหญิงวัยกลางคนนางหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงเดินเข้ามา
หญิงนางนี้รูปร่างหน้าตาดูธรรมดา แต่เมื่อมองดูดีๆ แล้วกลับให้ความรู้สึกสุขุมเยือกเย็นเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ผู้อาวุโสได้แนะนำหญิงนางนี้ขึ้น
“สหาย ผู้นี้คือฮูหยินอวี้ของร้านนี้ สหายผู้นี้ก็คือเจ้าของกระดูกปีศาจที่ข้าพูดถึงผู้นั้น”
“ฮูหยินอวี้”
หลิ่วหมิงลุกขึ้นคารวะ
“สหายผู้นี้ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็เป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณผู้หนึ่งเท่านั้น ไม่ทราบว่าสหายนำกระดูกเหล่านั้นออกมาข้าได้ดูมันสักหน่อยได้หรือไม่?” พอฮูหยินอวี้รับคาระวะแล้วก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา”
หลิ่วหมิงได้ยิน ก็รีบหยิบตลับไม้จากแขนเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะ
ฮูหยินอวี้ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วเปิดฝาตลับออก ใช้นิ้วเรียวยาวคีบเศษกระดูกสีขาวชิ้นหนึ่งออกมาจรวจดู
นางระมัดระวังเป็นอย่างมาก สีหน้าดูจดจ่อเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าของที่ถืออยู่ในมือไม่ใช่เศษกระดูกที่ดูไม่เตะตา แต่เป็นสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากมากบนโลกใบนี้
ตรวจดูสักครู่แล้ว หญิงผู้นี้ก็ดึงสิ่งของคล้ายปิ่นไม้ออกมาจากมวยผม ใช้ส่วนที่แหลมๆแตะไปบนเศษกระดูกนั้น
เรื่องที่คาดไม่ถึงได้ปรากฏขึ้นแล้ว
ปิ่นไม้ที่ดูเหมือนจะมีสีเหลืองอ่อนเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำเงินภายในพริบตาเดียว
เป็นกระดูกของปีศาจอสูรที่อยู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายจริงๆ ถึงแม้จะน้อยไปหน่อยแต่ก็พอที่จะสามารถนำมาหลอมสร้างเป็นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นเล็กได้ๆ” ในที่สุดหญิงสาวก็กล่าวด้วยความดีใจ
“อาวุธจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงใจเต้นเมื่อได้ยินเช่นนี้
“ไม่ผิด เหตุที่อาวุธจิตวิญญาณนั้นมีอยู่น้อยมากย่อมเป็นเพราะว่าหลอมสร้างได้ยาก โอกาสในการหลอมสร้างได้สำเร็จมีน้อย แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือวัสดุจิตวิญญาณมีน้อยจนเกินไป กระดูกของปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลายเหล่านี้ เหมาะกับการใช้เป็นวัสดุหลักในการหลอมสร้างอาวุธจิตวิญญาณพอดี แน่นอนว่าในระหว่างขั้นตอนการหลอมสร้างต้องเพิ่มวัสดุเสริมอื่นไปด้วย ซึ่งราคามันก็ไม่ใช่น้อย” หญิงสาวอธิบาย และดูเหมือนจะไม่อยากวางเศษกระดูกในลงในตลับ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจได้ในทันที ก่อให้เกิดความรู้สึกดีๆ ต่อหญิงสาวผู้นี้ไม่น้อย
อย่างอื่นไม่ต้องกล่าวถึง แค่ฝ่ายตรงข้ามไม่บิดปังประโยชน์ใช้สอยของกระดูกเหล่านี้ และอธิบายอย่างเปิดเผยถึงสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งนี้ พอที่จะเห็นได้ว่าชื่อเสียงของเรือนร้อยสมบัตินี้ไม่ได้คุยโวโอ้อวดแต่อย่างใด
“ข้าได้ยินผู้เฒ่าหวังกล่าวว่า สิ่งของที่สหายนำมานี้ไม่ได้คิดที่จะขายโดยตรง แต่ดูเหมือนจะคุยเรื่องการค้าขายอย่างอื่น เป็นเช่นนี้จริงหรือ?” ฮูหยินอวี้ถามขึ้นอีกครั้ง
“ข้าคิดที่จะทำเช่นนี้จริงๆ แต่ก่อนที่จะทำเช่นนั้นข้าอยากจะถามฮูหยินสักประโยค ถ้าหากกระดูกตลับนี้สามารถขายได้โดยตรงล่ะก็ ไม่ทราบว่าร้านของท่านจะจ่ายเป็นหินจิตวิญญาณจำนวนเท่าใด” หลิ่วหมิงถามด้วยตาเป็นประกาย
“อาวุธจิตวิญญาณทั่วไปหนึ่งชิ้น มีราคาอยู่ประมาณระหว่างหลายหมื่นไปจนถึงแสนหินจิตวิญญาณ แต่เมื่อหลอมสร้างไม่สำเร็จวัสดุนั้นก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก แต่ยังต้องหักค่าใช้จ่ายในการเชิญผู้เชี่ยวชาญการหลอมสร้างระดับสูงกับวัสดุเสริมอื่นๆ และเรือนของเราก็ต้องได้ส่วนต่างจำนวนหนึ่ง ดังนั้นวัสดุหลักของอาวุธจิตวิญญาณโดยทั่วไปเรือนของเราจะให้ราคาประมาณห้าพันเหรียญจิตวิญญาณ แต่พอพิจารณาถึงเศษกระดูกของสหายเป็นกระดูกของปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นปลาย มีโอกาสที่จะหลอมสร้างเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงหรืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้ ดังนั้นเรือนของเราจะเพิ่มให้อีกสองพัน รวมกันทั้งหมดเป็นเจ็ดพันหินจิตวิญญาณในการซื้อกระดูกตลับนี้ สหายคิดว่าราคานี้เป็นอย่างไร?” ฮูหยินอวี้คิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“เจ็ดพันหินจิตวิญญาณ เป็นราคาที่สมเหตุสมผล” หลิ่วหมิงพยักหน้า แต่ฝ่ามือมือที่หดอยู่ใต้แขนเสื้อกลับลูบตลับเล็กๆ ขนาดเท่านิ้วมืออีกตลับอย่างอดไม่ได้ สีหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
อวี้ฉูหยินเห็นเช่นนี้ ถึงแม้จะรู้สึกฉงนแต่ก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้าโดยไม่เร่งรัดแต่อย่างใด
“สิ่งของในตลับนี้ กว่าครึ่งหนึ่งในนั้นข้าคิดที่จะแลกโอสถเพิ่มพลังเวทย์จำนวนหนึ่ง ชื่อและปริมาณต่างก็เขียนไว้บนนั้นแล้ว ส่วนหินจิตวิญญาณที่เหลือข้าคิดที่จะซื้อยันต์กับวัสดุที่ใช้ในการปรุงยาจำนวนหนึ่ง” หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญแล้ว ในที่สุดก็ไม่ยอมหยิบตลับไม้เล็กๆ ในแขนเสื้อออกมา แต่หยิบกระดาษจากตัวมาแผ่นหนึ่งแล้วยื่นไปให้
สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาได้เขียนไว้แต่แรกแล้ว
“จำนวนโอสถคุณภาพต่ำที่ต้องการย่อมไม่มีปัญหา ในส่วนของวัสดุในการปรุงยากับยันต์นั้น อีกประเดี๋ยวจะให้คนนำรายการสิ่งของมาให้สหายเลือกได้อย่างเต็มที่” ฮูหยินอวี้มองสิ่งที่เขียนไว้บนแผ่นกระดาษครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
จากนั้นนางก็สั่งกำชับไปหนึ่งที ผู้อาวุโสก็รีบรับแผ่นกระดาษแล้วเดินออกไปจากห้อง
ครู่ต่อมา หญิงรับใช้สาวสวยผู้นั้นก็เดินเข้ามาในมือถือรายการสิ่งของหนาๆ อยู่
“สหายค่อยๆ ดู สิ่งของที่ร้านของเราขายทั้งหมดอยู่ในนี้ ไม่แน่อาจจะมีสิ่งของอื่นๆ ที่สหายสนใจ ใช่สิ! ตอนนี้ข้ายังไม่ทราบชื่อแซ่ของท่าน ท่านสามารถบอกได้หรือไม่” อวี้ฮูหยินรับรายการสิ่งของที่ยื่นมาให้แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ข้าแซ่หลิ่ว ชื่อเต็มนั้นไม่สามารถบอกได้” หลิ่วหมิงรับรายการสิ่งของมาแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็คือสหายหลิ่ว” ฮูหยินอวี้ยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเรื่องที่หลิ่วหมิงไม่ได้บอกชื่อเต็มทั้งหมด
หลิ่วหมิงรีบพลิกอ่านรายการสิ่งของในมืออย่างรวดเร็ว และจดจำสิ่งของที่ถูกใจไว้ในใจ
ผ่านไปอีกสักครู่ ผู้เฒ่าหวังเดินเข้ามาอีกครั้ง เพียงแต่ในมือมีขวดเคลือบขนาดต่างๆ สิบกว่าใบ และวางพวกมันทั้งหมดลงบนโต๊ะด้านหน้าหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็วางรายการสิ่งของลงด้วยตาที่เป็นประกาย แล้วเริ่มตรวจดูขวดเคลือบเหล่านี้
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็พยักหน้าแสดงความพึงพอใจแล้วกล่าวกับผู้อาวุโสผู้นั้น
“นอกจากโอสถเหล่านี้แล้ว ข้ายังต้องการหญ้ากวางหอมสามชั่ง บุปผาเกล็ดแดงสามชั่ง ผงนิ่วโคครึ่งชั่ง น้ำฝนหน้าแล้งสามขวดใหญ่……สำหรับยันต์วิเศษนั้น เอายันต์เทพเคลื่อนไหวสองผืน ยันต์ปกปิดสองผืน ยันต์หวนคืนสามผืน…… เอาแค่นี้แหละ ส่วนหินจิตวิญญาณหลายร้อยก้อนที่เหลือก็เอาให้ข้าละกัน” หลิ่วหมิงรีบบอกวัสดุสำหรับปรุงยากับยันต์ที่มีชื่อเสียงจำนวนหนึ่ง
ผู้เฒ่าหวังฟังเสร็จแล้วก็มองหน้าเจ้าของร้านอยู่ครู่หนึ่ง
ฮูหยินอวี้ยิ้มพยักหน้า
ผู้เฒ่าหวังถึงได้ตอบรับแล้วถอยออกจากห้องไป
สหายหลิ่ว ในเมื่อซื้อสิ่งของมากมายเช่นนี้เกรงว่าจะพกไม่ค่อยสะดวก ซื้อยันต์เก็บของสักผืนไหม!” ฮูหยินอวี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิง
“ยันต์เก็บของ ไม่ใช่ว่ามีแต่อาจารย์จิตวิญญาณถึงจะสามารถใช้มันได้หรอกหรือ? อีกอย่างสิ่งของเล็กน้อยเหล่านี้ถ้าต้องใช้ยันต์แบบนี้จริงๆ มันก็จะสิ้นเปลืองเกินไป” หลิ่วหมิงได้ยินคำกล่าวเช่นนี้ก็ตอบกลับด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
“ยันต์เก็บของทั่วไปย่อมใช้ไม่ได้อย่างแน่นอน แต่หลายวันนี้เรือนของเราได้รับยันต์เก็บของที่ล้มเหลวครึ่งหนึ่ง ถึงแม้จะใช้ได้ครั้งเดียว ทั้งยังจุของได้ไม่มากนัก และไม่สามารถลดน้ำหนักที่ใส่ลงไปให้เบาลงได้ แต่ด้วยการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางของสหายกลับพอจะใช้ได้มันได้พอดี” ฮูหยินอวี้หัวเราะเบาๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงฟังแล้วสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงออกจากเรือนร้อยสมบัติด้วยมือทั้งสองที่ว่างเปล่า
เขาออกมาครั้งนี้ กลับไม่ได้กลับไปยังโรงเตี๊ยมแต่กลับมุ่งไปยังร้านหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงที่สุด และอยู่ที่นั่นนานสองชั่วยามแล้วถึงเดินออกมาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ขณะนี้ หินจิตวิญญาณกว่าครึ่งหนึ่งที่เหลือติดตัวกับตลับไม้เล็กๆ อีกตลับนั้นได้หายไปแล้ว
ต่อมาหลิ่วหมิงมุ่งตรงกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พักเมื่อคืนแล้วพักอยู่ที่นั่นไม่ออกไปไหนแล้ว
พอถึงวันที่สาม ร่างของเขาจึงมาปรากฏตรงด้านนอกของหุบเขา และวิ่งไปยังสถานที่นัดหมายที่อยู่ไกลออกไปหลายลี้
ที่นั่นมีศิษย์นิกายปีศาจกลุ่มหนึ่งรออยู่ที่นั่นแล้ว
คนจำนวนไม่น้อยกำลังพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่ได้พบได้เห็นและสิ่งที่ได้ซื้อมาจากตลาดอย่างตื่นเต้น แต่กลับไม่เห็นเงาของเหลยเจิ้นกับโอวหยางเฟยเลย
รอต่ออีกสักครู่ ก็มีคนเดินมาจากที่ไกลๆ
หลิ่วมองออกไป กลับค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่พวกศิษย์พี่เฉียน แต่เป็นหญิงวัยสาวรูปร่างหน้าตาสวยหยาดเหยิ้มที่แต่งงานแล้วผู้หนึ่ง จูงมือเด็กชายผอมแห้งที่ดูเหมือนจะอายุไม่เกินเจ็ดแปดปี
หญิงนางนี้สวมใส่ชุดสีชมพูทั้งตัว เวลาเดินเหิน ทุกท่วงท่าการกระทำล้วนทำให้เกิดความรู้สึกต้องมนต์เสน่ห์อย่างน่าตกตะลึง ทำให้ศิษย์นิกายปีศาจจำนวนไม่น้อยต่างก็มองจนตาค้าง
พอหญิงนางนี้เห็นคนอยู่ด้านหน้าเยอะเช่นนี้ ดูเหมือนนางจะตกตะลึงเล็กน้อย แล้วรีบพาเด็กชายเดินไปยังทิศทางอื่น
แต่พอนางเดินไปได้ไม่กี่จั้ง เด็กชายพลันโหยไห้ออกมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
นางรีบล้มลงไปปลอบแต่เด็กชายกลับไม่สนใจ หญิงนางนี้ดูเหมือนจะโมโหขึ้นมาแล้วตีเด็กชายไปสองครั้งอย่างรุนแรง
เด็กชายกลับร้องไห้หนักกว่าเดิม
และในขณะนั้น ศิษย์พี่เฉียนและดรุณีน้อยชุดเขียวก็ค่อยๆ เดินมาจากทางหุบเขา
“ศิษย์น้องเหลยกับโอวหยางซินได้พบกับอาจารย์อาจาง และได้รับความโชคดีให้อยู่ที่นี่อีกระยะหนึ่ง ไม่กลับไม่พร้อมพวกเราแล้ว” ศิษย์พี่เฉียนมองหญิงนางนั้นและเด็กชายครู่หนึ่งแล้ว ดวงตาก็ประกายแววประหลาดใจ และกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
ศิษย์คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้
และในขณะนั้น ศิษย์เฉียนกลับสั่งให้ดรุณีน้อยชุดเขียวหยิบม้วนกระดาษออกมา แล้วเปิดใช้งาน
ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อเรือยักษ์สีเหลืองก่อตัวขึ้นกลางอากาศแล้วศิษย์นิกายปีศาจต่างๆ ก็ค่อยๆ เหาะขึ้นไปบนนั้น
หลังจากมีเสียงดังออกมาม่านแสงก็ปรากฏ เรือสายหมอกก็พาทุกคนเหาะไปยังนิกายปีศาจ
ตอนนี้เด็กชายที่กำลังร้องไห้โวยวายอยู่ได้หยุดร้องในฉันพลัน และแหงนหน้ามองหลังเรือสายหมอกที่อยู่ไกลออกไป เขามองอย่างเยือกเย็นอยู่ครู่หนึ่ง
“ที่แท้ก็เป็นแค่เจ้าหนูน้อยศิษย์จิตวิญญาณจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอาจารย์จิตวิญญาณแม้แต่คนเดียว ดูท่าพวกเราจะได้ทำการค้าครั้งใหญ่แล้ว” หญิงเสื้อชมพูเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใจ แต่กลับหัวเราะกล่าวออกมาอย่างมีเสน่ห์
……………………………………….