ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 724 แดนมายา (1)
ดีที่ว่าเด็กหญิงผู้นั้นไม่ได้โกหกเขา หุ่นเหล่านี้ถูกคุมขังด้วยด้วยเคล็ดวิชาค่ายกลทั้งหมดแล้ว ขณะนี้พวกมันต่างก็ไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้นที่มีชีวิต
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงที่ระมัดระวังมาตัวมาโดยตลอด ก็ยังคงตรวจสอบดูสถานการณ์รอบๆ อยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าวิธีการของเด็กหญิงจะหมดประสิทธิภาพ ยังผลให้หุ่นเหล่านี้เคลื่อนไหวอีกครั้ง
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงนอกตำหนักข้างแห่งหนึ่งที่ปรากฏบนแผนที่
ดูเหมือนว่าประตูใหญ่ทั้งสองบานของตำหนักข้างจะถูกปกคลุมไว้ มีแสงสว่างลอดออกมาจากรอยแยกประตู
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอทำท่ามือด้วยมือด้วยมือข้างหนึ่ง ก็คิดที่จะตรวจสอบดูสถานการณ์ด้านใน แต่ขณะนั้นเองกลับมีเสียงราบเรียบของผู้หญิงดังเข้ามา
“ในเมื่อขุยตี้แห่งหนานฮวงส่งเจ้ามา ยังจะทำลับๆ ล่อๆ อะไรอีก เข้ามาเถอะ!”
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกหนักอึ้งในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกขนลุกซู่
“แย่แล้ว! หรือว่าชั้นกำจัดจะหมดประสิทธิภาพแล้ว?” เขาครุ่นคิดเช่นนี้โดยไม่รู้ตัว
เขายังไม่ทันมีท่าทีใดๆ ก็มีเสียงดังมาจากด้านหลังในฉับพลัน และปะปนไปด้วยเสียงเสียดสีของโลหะ
หลิ่วหมิงหันไปมองด้วยความตกใจ จะเห็นว่ามีพายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นบนทางเดินด้านหลัง ฝุ่นทรายสีดำม้วนตัวขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปในทันที ไอดำม้วนตัวออกจากมือโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก ทำให้ประตูตำหนักข้างเปิดออก จากนั้นก็หายวับเข้าไปหลบในตำหนัก
พริบตาที่เขาเข้าไปด้านใน พายุบ้าระห่ำด้านหลังก็หยุดชะงักลง และหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่เสียงโลหะเสียดสีกันก็หายเงียบไป ราวกับว่าไม่เคยมีมาก่อน
“แย่แล้ว! เป็นวิชามายา!”
หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา ขณะที่คิดจะถอยไปด้านหลังนั้น ประตูใหญ่สองบานที่อยู่ด้านหลังก็ส่งเสียงดัง “โครม!” และปิดตัวลง
“ในเมื่อเข้ามาแล้ว ตอนนี้ก็คงจะตอบคำถามข้าได้แล้วสินะ” หญิงสวมชุดชาววังสีเขียว ใบหน้าธรรมดา คิ้วค่อนข้างเข้ม กำลังนั่งก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา นางก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ไม่โต้ตอบแต่อย่างใด เพียงแค่สังเกตดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว
ตำหนักข้างแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก นอกจากจะมีหุ่นขนาดต่างๆ ไม่กี่ตัวยืนกระจายอยู่รอบด้านแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
ตามที่เด็กหญิงเล่าในก่อนหน้า หญิงสวมชุดชาววังผู้นี้ก็คือหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้นนั่นเอง
ดูเหมือนว่าสถานการณ์ของนางจะไม่ค่อยดีมากนัก ใต้เก้าอี้ของนางมีค่ายกลสีเขียวเข้มขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ปรากฏอยู่อย่างชัดเจน ในระหว่างที่นางพูด ริมฝีปากทั้งคู่เพียงแค่ขยับเล็กน้อย ตั้งแต่ลำคอลงมาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลย ดูท่าจะถูกชั้นจำกัดคุมขังไว้แล้ว
หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสังหารนาง
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง แสงแวววาวก็เปล่งประกายบนมือ ทันใดนั้น กริชทำลายวิญญาณก็ปรากฏออกมา และเขาก็ก้าวยาวๆ เข้าหาหญิงผู้นี้
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนที่มาจากภายนอก แม้กระทั่งชิงหลิงพูดอะไรกับเจ้า ข้าก็พอจะคาดเดาได้อยู่บ้าง เดิมทีตอนที่เจ้าเข้ามาในวังแห่งนี้ ข้าก็คิดที่จะเคลื่อนย้ายเจ้ามาที่นี่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าโดนหญิงสารเลวผู้นั้นแย่งไปก่อน มิเช่นนั้นตอนนี้เจ้าคงจะนำกระบี่วิญญาณน้ำแข็งของข้าไปหานางแล้ว” หญิงชุดชาววังสีเขียวค่อยๆ กล่าวออกมา นางไม่มีท่าทีลนลานบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย
“หลิ่วหมิงกลับทำราวกับไม่ได้ยิน และยังคงเดินเข้ามาไปทีละก้าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“หญิงสารเลวนั่นคงจะบอกเจ้าว่านางคือวิญญาณแบ่งของขุยตี้แห่งหนานฮวงสินะ และข้าก็เป็นแค่หุ่นจิตวิญญาณที่ทรยศตัวหนึ่ง แต่หากข้าบอกเจ้าว่า แท้จริงแล้วข้าถึงเป็นวิญญาณแบ่งของขุยตี้ เจ้าจะทำอย่างไร?” หญิงสวมชุดชาววังสีเขียวกล่าวด้วยรอยยิ้มในฉับพลัน
พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็หดรูม่านตาลง ฝีเท้าที่ก้าวออกมาก็ค่อยๆ ช้าลง
“หญิงสารเลวชิงหลิงนั่นถึงเป็นหุ่นจิตวิญญาณตัวนั้น ผลประโยชน์ที่ให้เจ้าก็เพียงน้อยนิด หากเจ้ามาช่วยข้ากำจัดนางล่ะก็ รอข้าควบคุมสมบัติแห่งสวรรค์ได้ทั้งหมดแล้ว ข้าสามารถรับเจ้าเป็นศิษย์สายตรงได้ และจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาหุ่นที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งหนานฮวงในตอนนั้นให้กับเจ้าทั้งหมด แม้กระทั่งยังช่วยเจ้าเข้าสู่ระดับแก่นแท้ และระดับดาราพยากรณ์ได้อย่างง่ายดาย” หญิงชุดชาววังสีเขียวกล่าวด้วยสีหน้าสงบ แม้ว่าน้ำเสียงจะราบเรียบเป็นอย่างมาก แต่คำพูดที่พูดออกมา มันยั่วยวนใจจนยากที่จะปฏิเสธได้
“ช่วยข้าเข้าสู่ระดับแก่น ระดับดาราพยากรณ์หรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็หยุดฝีเท้าลง และจ้องมองหญิงสวมชุดชาววังก่อนกล่าวออกมา
“ไม่ผิด! เพียงแค่ข้าสามารถควบคุมสมบัติแห่งสวรรค์ชิ้นนี้ได้ การฟื้นฟูพลังในปีนั้น ก็เป็นเรื่องที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า การช่วยเจ้าบรรลุระดับเป็นเรื่องง่ายเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น” หญิงชุดชาววังสีเขียวกล่าวด้วยตาที่เป็นประกายเล็กน้อย
และหลิ่วหมิงกลับยืนเงียบอยู่ที่เดิม ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงค่อยกล่าวออกมา
“หากเจ้าสามารถทำการสาบานใหญ่ได้ล่ะก็ ข้าอาจจะนำเรื่องนี้มาพิจารณาได้ แต่ก่อนอื่นข้ายังมีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
“เงื่อนไขอะไร เจ้ารีบพูดมาดูก่อน!” หญิงสวมชุดชาววังสีเขียวได้ยินเช่นนี้ ก็ถามออกไปอย่างไม่ลังเล
“เงื่อนไขของข้าก็คือ…ต้องการชีวิตของเจ้า!”
หลิ่วหมิงที่ดูเหมือนจะลังเลอยู่ พลันตะคอกออกมาในทันที พอเท้าข้างหนึ่งแตะลงพื้น ร่างของเขาก็พุ่งยิงออกไปราวกับลูกธนู การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วมาก พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหญิงชุดชาววัง และแทงไปที่หน้าท้องของนาง
เมื่อเผชิญกับการลุกฮือของหลิวหมิงหญิงสาวชุดชาววังไม่เพียงแต่จะไม่แสดงสีหน้าความประหลาดใจเท่านั้น แต่กลับหัวเราะเบาๆ และพูดคำว่า “เคลื่อนย้าย!” ออกมา
พริบตานั้น ดวงตาทั้งคู่ของหญิงสวมชุดชาววังก็เปล่งแสงสีขาวออกมาสองกลุ่ม มีอักขระสีขาวเล็กๆ จำนวนมากปรากฏออกมาจากในนั้นอยู่รำไร ได้ยินเสียงพายุบ้าระห่ำหมุนวนอยู่ไม่หยุด
พริบตาที่สายตาหลิ่วหมิงมองดูแสงสีขาวในดวงตาทั้งสองของนาง ก็พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” จากนั้นก็รู้สึกศีรษะหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้ แขนขาอ่อนแรงลงในฉับพลัน
กริชที่เดิมทีอยู่ห่างจากท้องของหญิงนางนี้ไม่ถึงครึ่งฉื่อ สั่นสะท้านและหยุดชะงักลง
“แย่แล้ว! เป็นวิชามายา!”
ดวงตาทั้งสองของหลิ่วหมิงไม่อาจละออกจากแสงสีขาวในดวงตาของนางได้เลยแม้แต่น้อย แต่ก็ลองกระตุ้นพลังจิตต้านทานด้วยความตกใจ เพื่อที่ทำให้ตนเองได้สติขึ้นมา และยังใช้มืออีกข้างหยิบโซ่สะกดวิญญาณออกจากแหวนย่อส่วน และพยายามอาศัยพลังของโซ่สะกดวิญญาณต้านทานวิชามายานี้
“สหายลำบากมาถึงที่นี่ ไม่รู้สึกว่าลำบากเกินไปหรือ? ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ถึงจะถูก…” หญิงสวมชุดชาววังเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่ได้ล้มลงไปในทันที แววตาของนางก็ดูประหลาดใจเล็กน้อย น้ำเสียงที่ออกมาจากปากดูอ่อนโยน และดูเหมือนจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงจ้องอยู่ที่เดิม และรู้สึกว่าศีรษะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ พอได้ยินคำพูดที่ดูเหมือนจะดังมาจากที่ไกลแสนไกล ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยเงาร่างพร่ามัวของหญิงสาวชุดชาววัง ความรู้สึกเมาค่อยๆ พุ่งขึ้นบนศีรษะอย่างช้าๆ มือที่กดอยู่บนแหวนย่อส่วนไม่อาจนำโซ่สะกดวิญญาณออกมาได้อีก
หลิ่วหมิงรู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ตนเองจะตกอยู่ในวิชามายาจนไม่อาจถอนตัวได้ ทันใดนั้นเขาก็กัดลิ้นตัวเองอย่างรุนแรง และอ้าปากพ่นหมอกโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง
หมอกโลหิตเพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ จากนั้นก็กลายเป็นอักขระสีเลือดจำนวนมาก และม้วนตัวกะพริบเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง
สายตางงงวยของหลิ่วหมิงชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว มือเท้าก็ค่อยๆ เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย
พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หญิงสวมชุดชาววังก็ปิดบังสีหน้าตกใจไม่มิด แต่ก็เสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“คนทั่วไปที่โดนวิชามายาของข้า จะสูญเสียการรับรู้ในพริบตา คิดไม่ถึงว่าแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนหนึ่ง จะสามารถยืนหยัดได้จนถึงตอนนี้ ฮึ! แต่ก็ยืนหยัดได้ชั่วคราวเท่านั้น ตอนนี้ไปนอนซะเถอะ!”
พอน้ำเสียงของนางสิ้นสุดลง แสงสีขาวในดวงตาก็เปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม
“ฟู่!” อักขระสีทองตัวหนึ่งถูกพ่นออกจากปากของนาง พริบตาเดียวก็ไปประทับอยู่บนหน้าผากของหลิ่วหมิง
ทันใดนั้น แสงสีทองเข้มข้นก็ห่อหุ้มร่างของหลิ่วหมิงไว้ จนร่างของเขาค่อยๆ สั่นสะท้านขึ้นมา
หลิ่วหมิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว ราวกับรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างแตกกระจายในสมอง จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง และไม่รับรู้เรื่องราวใดๆ อีก
แต่ก่อนที่สติสุดท้ายของเขาจะล่องลอยออกไปนั้น พลันได้กลิ่นของธูปหอมที่เข้มข้น และน่าดมเป็นอย่างมาก และบรรยากาศรอบด้านก็เงียบเป็นอย่างยิ่ง ไม่เสียงใดๆ เลยแม้แต่น้อย…
……
“ท่านพี่! ท่านอย่าได้ทำให้ข้าตกใจ รีบฟื้นขึ้นมา รีบฟื้นขึ้นมา!”
ภายใต้บ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง หญิงหน้าตาธรรมดาที่สวมชุดเรียบๆ กำลังนั่งอยู่บนหัวเตียงด้วยสีหน้าร้อนใจ นางเขย่าตัวชายวัยกลางคน ใบหน้างดงาม ที่สวมชุดบัณฑิตนอนอยู่บนเตียงเบาๆ
ชายผู้นี้กำลังหลับตาสนิท แก้มทั้งสองแดงเล็กน้อย เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ผุดออกจากหน้าผากตลอดเวลา จนผ้าห่มบนเตียงเปียก
ขณะนี้ เด็กชายอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง กำลังยกอ่างน้ำเย็นเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“ท่านแม่ ข้าตักน้ำมาแล้ว ท่านพ่อยังไม่ฟื้นหรือ? ต้องไปเชิญท่านหมอหูจากหมู่บ้านใกล้ๆ มาตรวจชีพจรหรือไม่?” เด็กชายวางอ่างไม้ไว้บนโต๊ะ และดึงชายเสื้อของหญิงผู้นี้ก่อนกล่าวออกมาเบาๆ
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อของเจ้าไม่ได้สติ ครั้งก่อนท่านหมอหูก็มาดูแล้ว และก็บอกไม่ได้ว่าเป็นโรคอะไร สุดท้ายผ่านไปสามชั่วยามเต็มๆ ถึงฟื้นขึ้นมา อีกอย่างบ้านเราก็ไม่มีเงินไปเชิญท่านหมอหูแล้ว” หญิงผู้นี้เม้มปากที่แตกแห้งเล็กน้อย และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
จากนั้นนางก็ลุกขึ้นเดินสองสามก้าวไปที่โต๊ะ และยกอ่างไม้ขึ้นมา หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งแล้ว ก็หยิบกระบวยตักน้ำในอ่างรดใส่ชายที่อยู่บนเตียง
หลังจากมีเสียงดัง “ซ่า!” ชายผู้นี้ก็ลุกขึ้นจากเตียงในทันที เขาลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาและสะบัดศีรษะ
“ท่านพ่อ! ท่านฟื้นแล้ว!”
เด็กชายเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา เขาวิ่งไปที่เตียงกอดแขนชายผู้นี้ไว้
ชายผู้นี้ยื่นมือข้างหนึ่งลูบศีรษะเด็กชาย จากนั้นก็หันไปมองหญิงผู้นี้แล้วถามขึ้นเบาๆ
“เหลียนซี ข้าหมดสติไปอีกแล้วหรือ? นานเท่าใดแล้ว?”
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าออกไปก่อน แม่มีเรื่องจะคุยกับพ่อของเจ้า” ขอบตาของหญิงผู้นี้แดงเล็กน้อย หลังจากมองดูชายผู้นี้ทีหนึ่ง และกล่าวกับเด็กชายแล้ว ก็เดินกลับมาที่หัวเตียง
“ทราบ! ท่านแม่!” เด็กชายพยักหน้าอย่างรู้งาน จากนั้นก็ยกอ่างไม้บนโต๊ะเดินออกไปนอกห้อง และปิดประตูเบาๆ
“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านลำบากอ่านหนังสือทุกคืน เพื่อที่จะสอบได้ลาภยศ แต่ท่านลำบากอ่านหนังสือไม่หยุดพักเช่นนี้ เกรงว่าไม่ทันสอบได้ ร่างกายก็จะพังเสียก่อน” หญิงผู้นี้ก้มหน้าพูดด้วยสีหน้าระทมทุกข์ มีน้ำตาคลอออกมาตรงเบ้าตา
………………………………