ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 729 ชิงหลิง
ไม่นานแรงกดดันจิตวิญญาณมากมายมหาศาลราวกับภูเขาและทะเลก็เริ่มขยายออกจากร่างของหุ่นเด็กผู้หญิง ทำให้อากาศบริเวณนั้นกระเพื่อมอยู่พักหนึ่ง
ร่างขนาดเล็กของหุ่นเด็กผู้หญิงเริ่มเกิดเปลี่ยนแปลงภายใต้แสงสีทองเจิดจ้า มือ เท้า ลำตัว ศีรษะ ขยายใหญ่ตามแรงลม พริบตาเดียวก็กลายเป็นหุ่นมนุษย์ยักษ์ที่สูงหลายสิบจั้ง ทั่วทั้งร่างเปล่งแสงสีทองอร่าม
พอหลิ่วหมิงเผชิญกันแรงกดดันจิตวิญญาณที่พุ่งมาถึงตรงหน้า สีหน้าของเขาก็ดูซีดขาวขึ้นมา เขาร่นถอยออกไปกลางอากาศหลายก้าว จากนั้นแขนทั้งสองก็หนักอึ้งราวกับค้ำยันภูเขาไท่ซานไว้ กระดูกในร่างส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” เข่าทั้งคู่อ่อนปวกเปียกแล้วคุกเข่าลงไป
แต่ครู่ต่อมา เขาก็ทำเสียงฮึดฮัด และอาศัยพลังของกายเนื้อลุกขึ้นมา แต่ก็ด้วยเหตุนี้เขาถึงรู้สึกหวานที่ลำคอจนเกือบกระอักเลือด
“ฟู่!”
แสงสีทองอบอุ่นสาดส่องลงมาจากด้านบน และปกคลุมร่างของเขาไว้
หลิ่วหมิงค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ภายใต้แสงสีทองจางๆ ร่างของเขาทั้งภายในและภายนอกฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปไม่กี่อึดใจ บาดแผลบนตัวก็ฟื้นฟูมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว
“ขอบคุณผู้อาวุโส!”
หลิ่วหมิงขยับแขน และแหงนหน้ามองขึ้นไปด้วยความดีใจ จากนั้นก็โค้งคารวะหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองตรงหน้า
“ข้าแยกแยะผิดถูกชัดเจน เจ้าหุ่นที่หักหลังข้า ข้าย่อมต้องสังหาร แต่เจ้าช่วยข้า ข้าย่อมไม่ลืมอย่างแน่นอน ยังมีอีกอย่าง ชื่อเดิมของข้าคือชิงหลิง เจ้าจะต้องจำไว้ให้ดี” หลังจากขุยตี้แห่งหนานฮวงกลายเป็นมนุษย์ยักษ์สีทอง น้ำเสียงก็ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมามาก แต่ยังคงเป็นเสียงแจ่มชัดของหญิงผู้หนึ่ง
หลังจากมนุษย์ยักษ์สีทองพูดจบ ก็โบกแขนทั้งสองทันที ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นราวกับเสียงฟ้าร้องก็ดังขึ้นบนอากาศรอบด้านเหนือซากปรักหักพัง
พื้นดินเริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็ค้นพบด้วยความตกใจว่า พื้นทรายสีดำแข็งกระด้างที่อยู่ด้านล่างค่อยๆ อ่อนนุ่มขึ้นมา เม็ดทรายสีดำก็ค่อยๆ กลายเป็นพื้นดินสีดำ
ต่อมา ต้นไม้ใหญ่และเถาวัลย์จำนวนมากก็พุ่งออกจากพื้นสีดำราวกับหน่อไม้ และขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว ซากโบราณทั้งหมดก็ถูกล้อมรอบด้วยป่าทึบ
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ทะเลทรายสีดำไร้ขอบเขตนอกซากโบราณก็เริ่มมีต้นไม้สีเขียว เถาวัลย์ ดอกไม้ และต้นหญ้าแปลกๆ ชนิดต่างๆ ผุดออกมานับไม่ถ้วน และแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ขณะที่เกิดเสียงดังโครมครามอย่างต่อเนื่อง พื้นดินก็จมลงไป ต้นน้ำก็ไหลออกมา แม่น้ำแต่ละสายที่ดูคล้ายเข็มขัดหยกไหลวนอยู่ในป่า
หลิ่วหมิงจ้องมองการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือจนปากอ้าตาค้าง ความรู้สึกหวาดผวาในใจไม่อาจสงบได้นาน
การทำให้พื้นที่แห้งแล้งแห่งหนึ่งมีป่าไม้เติบโตขึ้นมามันไม่ใช่เรื่องยาก ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างเขาใช้เวลาจำนวนหนึ่งก็สามารถทำได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ขุยตี้แห่งหนานฮวงทำ กลับดูแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด
เขาไม่ใช่เพียงแค่ทำให้ทะเลทรายอันรกร้างว่างเปล่ากลายเป็นพื้นที่ที่เปี่ยมล้นไปด้วยชีวิตชีวา และเขียวชอุ่มราวกับแดนสุขาวดีเท่านั้น ปราณจิตวิญญาณในอากาศก็เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
การเบิกฟ้าสร้างโลก และวิธีการสร้างธรรมชาติอันเหนือชั้นเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่ามีแต่ผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์เท่านั้นที่สามารถทำมันออกมาได้
ขณะนี้ มนุษย์ยักษ์สีทองเพิ่งจะลดแขนทั้งสองลง หลังจากมองดูรอบด้านแล้ว ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ ทันใดนั้นมือขนาดใหญ่ก็คว้าไปด้านหน้าอีกครั้ง
เกิดคลื่นกระเพื่อมกลางอากาศ!
ครู่ต่อมา เมฆสีเหลืองขนาดหลายหมู่ก็ปรากฏออกมา และหยุดอยู่บนอากาศที่อยู่ห่างจากด้านหน้าเขาไปไม่ไกล พอแสงสีเหลืองดับลง คนเผ่าทรายที่เดิมทีควรจะอยู่ในเมืองเหล่านั้นกลับมาปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ ผู้เฒ่าเผ่าทรายก็ยืนเรียงอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
เห็นได้ชัดว่าคนเผ่าทรายเหล่านี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นอกจากท่านผู้เฒ่ากับผู้อาวุโสในเผ่าไม่กี่คนแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“เกิด…เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
“ที่นี่คือสถานที่แห่งใดกัน!”
“เหตุใดข้าถึงมาที่นี่ได้?”
“ที่นี่…ที่นี่คือซากโบราณศักดิ์สิทธิ์!” สุดท้ายไม่รู้ว่าใครจำสถานที่แห่งนี้ได้และพูดออกมา ทำให้คนเผ่าทรายที่ส่งเสียงดังอยู่คึกคักขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็มีคนคุกเข่าลงพื้นจำนวนไม่น้อย และพากันอธิษฐานอยู่ไม่หยุด
พอพวกเขาสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงรอบๆ ซากโบราณ และหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองกลางอากาศ ก็พากันตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ขณะนี้ท่านผู้เฒ่าใหญ่ และผู้เฒ่าคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันขึ้นมา
ขณะเดียวกัน ภายใต้การเขม้นตามองของหลิ่วหมิง พอมีแสงสีทองเปล่งประกายด้านหลังฝูงชน เงาร่างอรชรอันคุ้นเคยก็ปรากฏแก่สายตาของเขา นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์ที่มาสถานที่แห่งนี้พร้อมกับเขานั่นเอง
แม้ว่านางจะไม่ได้รู้สึกตกใจระคนดีใจเหมือนคนอื่นๆ แต่สีหน้าก็ดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก และนางกำลังแหวกฝูงชนเดินเข้าไปหาท่านผู้เฒ่า
“ฉู่เอ๋อร์ เกิดอะไรขึ้นกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์?” พอผู้เฒ่าเผ่าทรายเห็นซาฉู่เอ๋อร์เดินเข้ามา ก็หันไปมองหุ่นมนุษย์สีทองทีหนึ่งแล้วถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ซาฉู่เอ๋อร์มองดูมนุษย์ยักษ์สีทองทีหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตามามองหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงกลางระหว่างคนเผ่าทรายกับหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทอง ปากของนางเผยอเล็กน้อย สีหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความงงงวยเช่นกัน
สำหรับเรื่องที่ถูกนางหุ่นตีจนสลบ และเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่านางก็รู้สึกสับสนเช่นกัน
“พวกเจ้าที่เป็นคนเผ่าทรายรุ่นหลังเหล่านี้ ปกปักรักษาดินแดนแห่งนี้มาหลายปี นับว่าจงรักภักดีต่อข้ามาก ไม่เกิดเรื่องผิดพลาดอะไรมากนัก” หุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองก้มหน้ามองคนเผ่าทราย ขณะเดียวกันก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นมา
น้ำเสียงไม่ดังมากนัก แต่กลับเข้าไปในหูของทุกคนอย่างแจ่มชัด ซึ่งแฝงไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามอย่างบอกไม่ถูก
“ผู้อาวุโสคือ…” ผู้เฒ่าเผ่าทรายได้ยินก็รู้สึกตกใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็ก้าวออกจากฝูงชน และประสานมือคารวะ
“ข้าคือชิงหลิง และก็เป็นขุยตี้แห่งหนานฮวงที่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเคยรับใช้” ชิงหลิงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ น้ำเสียงเต็มไปด้วยพลังอย่างไม่ต้องสงสัย
“ขุยตี้แห่งหนานฮวง?” คนเผ่าทรายได้ยินก็มองหน้ากันด้วยใบหน้าถอดสี ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อคำพูดของหุ่นมนุษย์ยักษ์ตัวนี้ดีหรือไม่
อย่างที่รู้ แม้ว่าผู้คนในเผ่าแต่ละรุ่นจะเคยพูดถึงเรื่องที่ขุยตี้แห่งหนานฮวงละสังขาร ทั้งยังมีการบอกเล่าถึงรูปร่างของขุยตี้ แต่มันไม่ใช่หุ่นมนุษย์เช่นนี้
แต่หากไม่คล้อยตามล่ะก็ ด้วยพลังเหนือธรรมชาติของหุ่นมนุษย์ยักษ์ตรงหน้า เกรงว่าคงสังสามารถสังหารผู้คนในเผ่าทั้งหมดได้อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ
ผู้เฒ่าเผ่าทรายมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนเขาจะรู้สึกสองจิตสองใจอยู่
ขณะที่คนเผ่าทรายคนอื่นๆ ก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนั้น ก็มีเสียงฝีเท้าดังโครมครามมาจากรอบด้านอยู่รำไร และเสียงฝีเท้าก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ!
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็ค้นพบว่าท่ามกลางป่าไม้ที่รายล้อม มีเงาร่างขนาดต่างๆ ปรากฏออกมาไม่น้อย และกำลังเข้าใกล้ฝูงชนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานเงาร่างเหล่านั้นก็ค่อยๆ พากันออกมาจากป่า
พวกมันคือหุ่นที่เดิมทีพิทักษ์บริเวณรอบๆ ดินแดนศักสิทธิ์แห่งนี้ มีทั้งหุ่นร่างมนุษย์ หุ่นร่างอสูร แม้กระทั่งหุ่นมนุษย์ทองแดงที่ผู้เฒ่าเผ่าทรายควบคุมในก่อนหน้านั้นก็มี พวกมันมีสีสันหลากหลาย มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด และล้อมเป็นวงขนาดใหญ่ล้อมคนเผ่าทรายไว้อย่างแน่นหนา
“แย่แล้ว! เป็นหุ่นพิทักษ์ดินแดนต้องห้าม!”
“พวกเราถูกล้อมรอบแล้ว ครั้งนี้คงเกิดเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว!”
“ท่านผู้เฒ่า พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
ดูเหมือนว่าคนเผ่าทรายจะค่อนข้างคุ้นเคยกับหุ่นพิทักษ์แดนต้องห้ามเหล่านี้มาก ทั้งยังรู้ถึงความร้ายกาจของพวกมัน เมื่อเผชิญหน้ากับหุ่นจำนวนมากเช่นนี้ ก็มีท่าทีลนลานขึ้นมาทันที คนจำนวนไม่น้อยพากันกระตุ้นพลังเวทก่อตัวดาบทรายสีดำขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และทำท่าระแวดระวัง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับมองมนุษย์ยักษ์สีทองที่อยู่กลางอากาศทีหนึ่ง และเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ขณะนั้นเอง เรื่องราวต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากอีกครั้ง
หุ่นรูปร่างต่างๆ นับพันตัวเหล่านี้หยุดฝีเท้าลงพร้อมกัน และพากันหมอบลงพื้นโดยไม่ขยับเขยื้อนอีก
ฉากนี้ทำให้คนเผ่าทรายรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ผู้ที่หุ่นเหล่านี้คุกเข่าคารวะไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นหุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองกลางอากาศ
ตอนนี้ผู้เฒ่าเผ่าทรายถึงพอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง ทันใดนั้นเขาก็คุกเข่าลงพื้น และเอามือทั้งสองแนบติดกับพื้นก่อนตะโกนออกมาอยู่ไม่หยุด “ราชาผู้ยิ่งนักใหญ่”
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ไหนเลยจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจึงพากันหมอบลงกราบเช่นกัน
หุ่นมนุษย์ยักษ์สีทองกลางอากาศเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกาย ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ แต่ก็หันหน้ามองไปยังขอบฟ้าไกลๆ ในทันที และส่งเสียงอุทานออกมา
“เอ๋! ข้าเกือบลืมไปเลย ยังมีอีกสองคนที่ยังไม่ได้จัดการ!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็วาดมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง ม่านแสงสีทองจางๆ ขนาดสิบกว่าจั้งก็ปรากฏขึ้นบนอากาศตรงหน้า มีภาพเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นไม่หยุด ชายฉกรรจ์เผ่าปีศาจที่สวมชุดคลุมสีม่วงกับชายรูปร่างผอมสูงเผ่าปีศาจที่สวมชุดสีเขียวกำลังถูกขังอยู่ท่ามกลางพายุขนาดใหญ่
ซึ่งก็คือปีศาจวายุกับปีศาจสายฟ้านั่นเอง!
ขณะนี้ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งสองต่างก็มีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก และกำลังใช้วิธีการต่างๆ ต่อต้านพายุบ้าระห่ำอยู่
พอหลิ่วหมิงเห็นภาพปีศาจสายฟ้า สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ใช่สิ! เจ้ารู้ที่มาของพวกเขาทั้งสองหรือไม่?” ชิงหลิงก้มหน้ามองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และถามออกมาอย่างราบเรียบ
“เรียนท่านผู้อาวุโส ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจชุดม่วงผู้นั้นคือผู้ฝึกฝนอิสระที่มีชื่อเสียงโด่งดังในดินแดนตอนใต้ในขณะนี้ ส่วนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจชุดเขียวอีกคน ข้าน้อยไม่รู้จักเลย ก่อนเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ข้าน้อยถูกปีศาจสายฟ้าตามล่ามาตลอด จนต้องหลบเข้ามาในทะเลทรายกุ่ยโม่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ปีศาจสายฟ้าคงเข้ามาที่นี่ในตอนที่ไล่ตามข้าน้อยมา ส่วนสาเหตุที่ปีศาจชุดเขียวผู้นั้นเข้ามาในสถานที่แห่งนี้นั้น ข้าน้อยก็ไม่รู้แล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับไปตามตรงโดยไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด
แม้ว่าเขาจะมองผ่านม่านแสงไปเห็นภาพพายุบ้าระห่ำที่ปกคลุมเต็มฟ้า จนพอจะคาดเดาสถานะของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวได้ แต่ในเมื่อเขายังไม่แน่ใจ และอยู่ต่อหน้าผู้ทรงพลังระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ เขาก็ไม่กล้าคาดเดาเอาเอง
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดีเลย! ตอนนี้ข้ากำลังขาดคนใช้งานอยู่ ทั้งสองมาได้เวลาพอดีเลย”
พูดจบเขาก็อ้าปากพ่นลมออกมา ม่านแสงสีทองจางๆ กลายเป็นจุดแสงสีทองทันที จากนั้นก็ยกแขนทั้งสองขึ้นแล้วคว้าไปด้านหน้า
เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” บนอากาศที่อยู่ไม่ไกล และเกิดรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมาสองเส้น แสงสีทองเปล่งประกายบนแขนทั้งสองของมนุษย์ยักษ์ จากนั้นก็พร่ามัวขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า และจมหายไปในรอยแยกโดยตรง
………………………………