ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 73 ปรากฏตัวของมังกร
“ภารกิจของเราทั้งสองสำเร็จแล้ว เห็นชัดว่าศิษย์นิกายปีศาจกลุ่มนี้ไม่มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจิตวิญญาณ เรื่องที่เหลือให้เป็นเรื่องของพวกพี่รองสิงแล้ว และอาวุธเหาะของพวกเขาก็นับว่าลี้ลับมหรรศจรรย์ยิ่งนัก ไม่แน่อาจจะสามารถปิดบังร่องรอยการเดินทางได้ พี่รองสิงคงจะไม่หลงทางนะ” ในที่สุดเด็กชายก็เอ่ยปาก เสียงนั้นดูแก่กว่าปกติมากราวกับเสียงคนแก่
วางใจเถอะ ตอนที่อยู่ในตลาดข้าได้ฝังกลิ่นหอมพันลี้ไว้บนตัวของศิษย์ผู้หนึ่ง ต่อให้ห่างกันพันลี้พี่รองสิงก็สามารถติดตามไปได้อย่างแม่นยำ” หญิงเสื้อชมพูกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ดีมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ด้วยพวกของพี่รองสิงที่ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายคงสามารถจัดการกับศิษย์นิกายปีศาจเหล่านี้ได้อย่างไม่มีปัญหา เอาล่ะ! พวกเราก็ไปเถอะ ก่อเรื่องในครั้งนี้ขึ้นแล้วคงไม่อาจอยู่ในแคว้นต้าเสวียนได้ ต้องย้ายไปยังที่อื่นแล้ว” เด็กชายพยักหน้าด้วยความพอใจ
“เฮ่อๆ อยากไป เจ้าก็ต้องดูว่าข้ายินยอมไหม!”
พลันมีเสียงเยือกเย็นดังมาจากบนท้องฟ้า
สร้างความตกใจให้หญิงนางนี้กับเด็กชายเป็นอย่างมาก ทั้งสองแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า
บนฟ้ามีผู้อาวุโสลักษณะน่าเกรงขาม สวมชุดผ้าดิ้น รัดเข็มขัดหยกผู้หนึ่งที่ไม่รู้มาปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ มือทั้งสองไพล่หลัง มองดูทั้งสองอย่างเยือกเย็น
“แย่แล้ว เขาคือเฒ่าประหลาดมู่ รีบหนีเร็ว!” พอหญิงชุดชมพูเห็นใบหน้าของอาวุโสผู้นั้นชัดเจนแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไป และหลุดปากพูดออกมาทันที
เด็กชายด้านข้างโบกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว หมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งทะลักออกมา พริบตาเดียวก็ปกคลุมพื้นที่รอบๆ ภายในระยะสิบกว่าจั้ง จากนั้นก็บิดตัวมุดลงไปใต้ดิน
เสียงดัง “เพล้ง!” เท้าทั้งสองของเด็กชายจมลงไปไม่ถึงครึ่งฉื่อ พื้นดินรอบด้านก็เปลี่ยนเป็นแข็งราวกับเหล็กบริสุทธิ์ ทำให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
โลหิตสาดกระเด็น!
ศีรษะของเด็กชายกลิ้งลงบนพื้น จากนั้นก็เกิดคลื่นสั่นไหวขึ้นด้านข้าง ปรากฏชายชุดสีเลือดสูงผอมอีกผู้หนึ่งปรากฏออกมา ในมือถือดาบเรียวยาวที่มีเลือดกำลังหยดอยู่เล่มหนึ่ง
พอชายผู้นี้ปรากฏร่างออกมาก็ตวัดดาบยาวด้วยสีหน้าเหี้ยมโหด ร่างไร้ศีรษะถูกฟันเป็นสิบกว่าชิ้นจนเลือดสาดกระเด็น แม้แต่วิญญาณก็ร้องอย่างเวทนาแล้วกลายเป็นควันสีเขียว
“เด็กชายผู้ยอมไม่แก่อะไรกัน มันก็แค่นี้แหละ เป็นแค่ศิษย์ศิษย์วิญญาณขั้นปลายก็กล้าเรียกตนเองเยี่ยงนี้” ชายชุดสีเลือดกล่าวอย่างเยือกเย็น
“เจ้าคือเซวี่ยยาจากหอสายธารโลหิต!”
พอหญิงชุดชมพูเห็นชายชุดสีเลือดสีหน้าก็ขาวซีดยิ่งกว่าเดิม แต่แอบถอยหลังไปสองก้าวและเปล่งประกายแสงสีเขียวออกมาแล้วกลายเป็นกลุ่มแสงพุ่งหนีขึ้นฟ้าไป
ชายชุดสีเลือดเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และไม่ได้ตามไปแต่อย่างใด
ผู้อาวุโสกลางอากาศสะบัดแขนเสื้อ พลันปรากฏพัดขนนกออกมาด้ามหนึ่งแล้วแค่โบกมันเบาๆ
เสียงดัง “ฟู่!”
หญิงสาวที่หนีไปได้ไกลสิบกว่าจั้งแค่รู้สึกว่าอากาศรอบข้างร้อน แล้วร่างทั้งร่างของนางก็ลุกไหม้กลายเป็นลูกไฟทันที
ครู่ต่อมาหญิงเจ้าเสน่ห์ผู้นี้ก็หายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
“ฮึ! เฒ่าประหลาดมู่ ไม่คิดว่าวิชาอัคคีมืดของท่านจะฝึกจนบริสุทธิ์ได้ขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะสามารถฝังอัคคีมืดไว้ในตัวศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายผู้หนึ่งได้” ชายชุดสีเลือดเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็กล่าวออกมา
“ความสามารถอันน้อยนิดของข้านี้จะเทียบกับดาบโลหิตของสหายได้อย่างไร!” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นกล่าว สายตากลับมองไปยังคราบเลือดด้วยสีหน้าที่ดูหวาดกลัว
คราบเลือดนั้นคือเศษซากศพของเด็กชายก่อนหน้านั้น
“แต่รู้สึกแปลกไปหน่อย โลกภายนอกลือกันว่าเด็กชายผู้ไม่ยอมแก่ที่เป็นหัวหน้ากองโจรผู้นี้เป็นถึงอาจารย์จิตวิญญาณ ทำไมถึงเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้น ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วจะยอมให้ข้าและเจ้ามาอยู่ที่นี่พร้อมกันได้อย่างไร” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นบ่นพึมพำเล็กน้อยแล้วถามขึ้นมาด้วยสีหน้าฉงน
“ในเมื่อเป็นข่าวลือ มันก็ไม่อาจเป็นเรื่องจริงได้เสมอไป ส่วนมากจะเป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงและคุยโวโอ้อวดความสามารถของการฝึกฝนนอกรีตเหล่านี้เท่านั้น อีกอย่างการฝึกฝนนอกรีตชองกองโจรกลุ่มนี้ถึงแม้จะมีชื่อเสียงไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยยินว่าเคยต่อกรกับผู้แข็งแกร่งคนไหน ผู้ที่ถูกพวกมันฆ่าล้วนเป็นผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น และไม่เคยแส่หาเรื่องอะไรกับอาจารย์จิตวิญญาณ พวกเขามีชื่อเสียงเหล่านี้ก็เป็นเพราะความที่พวกมันเป็นคนเจ้าเล่ห์โหดเหี้ยมอำมหิตเท่านั้น ครั้งนี้พวกเราได้ทราบข่าวก่อนถึงได้วางหลุมพรางนี้ไว้ ทำให้จัดการพวกมันได้ในทีเดียว ตอนนี้สามารถจัดการหัวหน้าสองคนของมันได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ข้ากลับรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ” ชายชุดสีเลือดกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“อาจจะจริงเช่นนี้ก็ได้ ตอนนี้เราจัดการกับหัวหน้าสองคนได้แล้ว คิดว่าทางสหายจางก็คงรีบลงมือโดยเร็ว” ชายชุดผ้าดิ้นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้ากล่าว
“เฮ่อๆ เหยื่อในครั้งนี้เป็นศิษย์ในนิกายของสหายจาง แน่นอนว่าต้องไปด้วยตนเองจึงจะวางใจได้ แต่ข้าว่าถ้าหากศิษย์จิตวิญญาณเหล่านี้เหล่านี้แม้แต่โจรปล้นสดมภ์ก็ไม่สามารถรับมือได้ ถึงตายไปก็ไม่น่าเสียดายหรอก” ชายชุดสีเลือดหัวเราะอย่างเยือกเย็นแล้วกล่าวออกมา
“สหายเซวี่ยยาคิดว่านิกายปีศาจเป็นเหมือนหอสายธารโลหิตของพวกเจ้าหรือไร ศิษย์ในหอท่านล้วนฝึกการสังหาร แต่ละคนมีประสบการณ์ในการรบอย่างเต็มที่ สามารถรับมือคนเดียวได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีนี่ศิษย์ที่สมัครเข้าร่วมพิธีเปิดจิตวิญญาณของนิกายปีศาจก็ลดน้อยลง พวกเขาจะยอมละเลยเช่นนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนั้นยังมีหนึ่งในสิบศิษย์แกนนำอยู่ด้วยคนหนึ่ง” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“ศิษย์แกนนำที่ท่านกล่าวถึงคือเจ้าหนูเฉียนนั่นเหรอ นางมีคุณสมบัติไม่เลวจริงๆ ถ้าหากว่านางก็อยู่ในเหยื่อล่อนั้นด้วย ไม่แปลกใจที่สหายจางจะใส่ใจเช่นนี้ ใช่สิ! สหายรู้เรื่องที่หลายเดือนก่อนผู้อาวุโสเยี่ยนของนิกายปีศาจกับผู้อาวุโสหลิงอวี้ของหุบเขาเก้าช่องได้รับบาดเจ็บกลับมาพร้อมกันไหม?” ชายชุดสีเลือดพลันถามขึ้นมา
“สหายเซวี่ยพูดถึงคือเรื่องของมังกรแดงสื่อสารจิตวิญญาณตนนั้นใช่ไหม?” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่แท้นิกายวาตอัคคีของพวกเจ้าก็ได้รับข่าวนี้แล้ว คิดไปคิดมามันก็ใช่ ปีศาจอสูรระดับผลึกจิตวิญญาณตนหนึ่งไม่รู้ว่าไม่ปรากฏตัวในแคว้นต้าเฉวียนมานานเท่าไหร่แล้ว ดูท่าผู้อาวุโสชื่อหยางของนิกายท่านคงจะปวดหัวจนต้องออกโรงเอง” ชายชุดสีเลือดได้ยินก็ถอนหายใจออกมา
“นี่เป็นเรื่องธรรมดา ทั้งตัวของปีศาจอสูรระดับผลึกจิตวิญญาณทั่วไปล้วนเป็นของล้ำค่า ถ้าเป็นมังกรแดงนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถึงแม้นิกายปีศาจกับหุบเขาเก้าช่องจะเป็นผู้คนพบก่อน แต่ในเมื่อไม่สามารถจัดการมันได้ในครั้งเดียวย่อมไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้ต่อไปได้อีก ไม่เพียงแต่นิกายเราเกรงว่าแม้แต่ผู้อาวุโสระดับผลึกของหอเจ้ากับนิกายจันทราสวรรค์ก็คงนั่งไม่ติด” ผู้อาวุโสผ้าดิ้นกล่าวอย่างไม่ปิดบัง
“ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ถึงแม้มังกรแดงนั่นจะเก่งกาจแค่ไหนก็ไม่อาจรอดไปได้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้มันอาจจะโจมตีจนผู้อาวุโสทั้งสองจนต้องถอยตัวไป แต่เป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่ได้รับบาดเจ็บ” ชายชุดสีเลือดกล่าวเหมือนกับคิดอะไรอยู่
“ถ้าสหายเซวี่ยยาคิดเช่นนี้กลับคิดผิดแล้ว ตามข่าวใหม่ที่ข้าได้รับมาถึงแม้ว่ามังกรแดงตัวนั้นจะบาดเจ็บ และหนีออกไปจากบริเวณเกาะสยบมังกรแล้ว แต่ไม่รู้ว่าแอบไปรักษาบาดแผลอยู่ที่ใดถึงไม่ยอมปรากฏตัวออกมา ถึงแม้พลังเวทย์ของบรรดาผู้อาวุโสระดับผลึกจิตวิญญาณจะไร้ขอบเขต แต่คิดที่หามังกรตัวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทั้งยังมีปีศาจอสูรอันน่ากลัวนี้ซุ่มซ่อนอยู่ในแคว้นของเรา ต่อไปแม้แต่ข้ากับเจ้าจะออกไปไหนคนเดียวก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้น มิเช่นนั้นถ้าหากว่าพบเจอกับมังกรตนนี้ล่ะก็ เฮ่อๆ…… คิดว่าอีกไม่กี่วันสหายก็คงได้รับข่าวแจ้งเตือนจากหอของท่านเช่นกัน” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นพูดถึงตอนท้ายก็หัวเราะขึ้นมา
“เหตุการณ์คงไม่เลวร้ายถึงขั้นนี้หรอกมัง ไม่แน่เจ้ามังกรแดงตัวนั้นอาจจะหนีออกไปจากแคว้นต้าเฉวียนแล้วก็เป็นได้!” ชายชุดสีเลือดได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ข้าก็หวังเช่นนั้น แต่ข่าวที่ข้าได้ทราบมามังกรตนนี้บาดเจ็บสาหัสมาก ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่อาจหนีออกไปนอกแคว้นได้ ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวจิตวิญญาณอย่างข้ากับเจ้าเป็นสิ่งที่รักษาบาดแผลของเจ้ามังกรตัวนี้ได้ดีที่สุด” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นส่ายศีรษะกล่าวด้วยเสียงที่ลดต่ำลง
“ความหมายของสหายคือ……” ชายชุดสีเลือดฟังแล้วก็รู้สึกสะดุ้งตกใจ
“เจ้ากับข้าสามารถใช้ศิษย์ในนิกายเป็นเหยื่อล่อได้ ผู้สำเร็จระดับผลึกจิตวิญญาณเหล่านั้นทำไมจะใช้พวกเราหลอกล่อให้มังกรแดงตนนี้ออกมาไม่ได้ อย่าลืมสิ! ทั่วไปทั้งแคว้นต้าเสวียนก็มีอาจารย์จิตวิญญาณอย่างพวกเรารักษาการณ์อยู่ในสามตลาดใหญ่มากที่สุดแล้ว” ผู้อาวุโสชุดผ้าดิ้นกล่าวเสียงต่ำออกมา
“ฮ่าๆ อันนี้พี่มู่คิดมากไปแล้ว!” สีหน้าของชายชุดสีเลือดเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วในที่สุดฝืนหัวเราะกล่าวออกมา
“อือ! ข้าคงอาจจะคิดมากไปเอง แต่ถ้าในช่วงนี้จำเป็นต้องออกไปนอกตลาดล่ะก็ ข้ากับเจ้าก็พยายามอยู่ด้วยกันดีไหม?” ผู้อาวุโสได้ยินกลับกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ดี ช่วงนี้ข้าพบกับปัญหาบางอย่างในระหว่างการฝึกฝน กำลังอยากจะใช้พี่มู่ช่วยชี้แนะพอดี” ครั้งนี้ชายชุดสีเลือดกลับคิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วก็รับปากออกไป
จากนั้นทั้งสองก็เปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น
ในขณะเดียวกัน เรือสายหมอกก็หยุดเหาะอยู่บนท้องฟ้าที่อยู่ห่างตลาดไปพันลี้
ด้านหลังที่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง มีเรือไม้สีเทายาวสิบกว่าจั้งลำหนึ่ง บนนั้นมีผู้ฝึกฝนสวมชุดแตกต่างกันสิบกว่าคนยืนอยู่ ดูลักษณะแล้วแต่ละคนล้วนดูโหดเหี้ยมอำมหิต แต่ตอนนี้กลับตัวสั่นงันงกไม่กล้าขยับตัวไปไหน
ที่พวกเขาเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่ารอบด้านของเรือไม้นั้นเต็มไปด้วยหุ่นนักรบหน้าเหี้ยมสิบกว่าตัว กับซากศพด้านล่างหลายชิ้นที่ถูกฉีกจนแหลกละเอียด
และเหนือเรือไม้นั้น มีหญิงกลางคนผู้หนึ่งกับชายแต่งกายด้วยชุดหลวงจีนกำลังคุยอะไรกันอยู่ ราวกับไม่ค่อยสนใจเรื่องด้านล่าง
และในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงและผู้คนบนเรือสายหมอกกลับรวมกลุ่มเข้าด้วยกัน แล้วทำตามศิษย์พี่เฉียนคารวะนักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ยืนยิ้มอยู่
“ลุกขึ้นเถอะ ครั้งนี้ให้ผู้น้อยทั้งหลายล่อโจรปล้นสดมภ์เหล่านี้ให้ปรากฏตัวออกมา ถึงแม้จะไม่เป็นอะไรมากแต่ก็ไม่ได้บอกกล่าวเรื่องนี้ก่อนทำให้พวกเจ้าต้องเผชิญกับอันตราย เอาอย่างนี้แล้วกันกลับไปข้าจะบอกข่าวนี้กับหอดำเนินการ ให้เพิ่มแต้มคุณูปการให้พวกเจ้าคนละหนึ่งร้อยแต้ม” รักพรตวัยกลางคนกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณอาจารย์อาจาง!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ทุกคนต่างก็รู้สึกดีใจมาก ต่างก็ประสานเสียงกล่าวขอบคุณออกมาพร้อมกัน
นักพรตวัยกลางคนกล่าวให้กำลังใจอีกไม่กี่ประโยคก็คิดที่จะจากไป
แต่ในขณะนั้นเอง หูของหลิ่วหมิงพลันได้ยินเสียงร้องดังยาวออกมา เสียงนี้แหลมบาดหูเป็นพิเศษ
เหมือนเริ่มแรกจะอยู่ในที่ไกลๆ แต่พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้มาก
นักพรตวัยกลางคนกับหญิงที่พูดคุยกันอยู่บนเรือไม้และหลวงจีน ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเกือบจะพร้อมกัน
และเมื่อหลิ่วหมิงได้ยินเสียงที่ค่อนข้างคุ้นเคยแล้วก็รู้สึกตกตะลึง แต่พอนึกถึงที่มาของเสียงร้องได้อย่างรวดเร็วสีหน้าของเขาขาวซีดไปมาก
……………………………………….