ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 731 อยู่อย่างสันโดษ
ชิงหลิงพยักหน้า จากนั้นสายตาของนางก็ตกลงบนตัวปีศาจสายฟ้ากับปีศาจวายุ และกล่าวออกมาอย่างน่าเกรงขาม
“พวกเจ้าทั้งสอง ตั้งแต่นี้ไปเป็นผู้คุ้มกันของข้า เพียงแค่จงรักภักดีต่อข้า ข้าย่อมปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่หากกล้าคิดคดกับข้า คงรู้ดีนะว่าจะมีจุดจบเช่นไร!”
“ทราบ!”
“มิกล้า!”
ปีศาจทั้งสองก้มหน้าตอบรับ และไม่กล้ามีความคิดอื่นเลยแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ! เรื่องหยุมหยิมจบลงแล้ว ตามที่ตกลงกันไว้ในก่อนหน้านั้น ข้าจะส่งเจ้าออกไปแล้ว จำไว้ให้ดี! ข้าไม่คาดหวังให้เรื่องราวใดๆ เกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้เล็ดลอดออกไปสู่โลกภายนอก” ขณะที่ชิงหลิงพูด มือยักษ์ทั้งสองก็ยกขึ้นแล้วประกบเข้าด้วยกัน หลังจากแยกออกไปทางซ้ายขวาอีกครั้ง ก็เกิดเสียงดังบนอากาศที่อยู่ไม่ไกล และเกิดรอยแยกมิติขนาดใหญ่ขึ้นมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสชิงหลิงที่ส่งเสริม ผู้น้อยจะเก็บเรื่องนี้ราวกับปิดปากขวด” หลิ่วหมิงเห็นเช่นดีก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบโค้งตัวคารวะ ขณะที่กำลังจะเหาะไปนั้น ก็ก้มหน้าลงไปดูทีหนึ่ง
กลับค้นพบว่าเงาร่างอรชรสวมชุดสีขาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าคนเผ่าทราย กำลังจ้องมองเขาตาไม่กะพริบ มีความคาดหวังบางอย่างในแววตา และมีความลังเลเล็กน้อย ขณะเดียวกันยังแฝงไปด้วยความคับแค้นใจเล็กน้อยด้วย
นางก็คือซาฉู่เอ๋อร์นั่นเอง
ทันใดนั้น พายุบ้าระห่ำก็พัดผ่านมา ทำให้เสื้อผ้าของนางโบกสะบัดอย่างรุนแรง และผ้าขาวที่ปิดบังใบหน้าของนางอยู่ก็หลุดร่วงลงไป
ทันใดนั้น ใบหน้างดงามล่มบ้านล่มเมืองก็ถูกเปิดเผยออกมา ดูเหมือนว่าอากาศสลัวๆ รอบด้านจะสว่างขึ้นมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าเข้าใจในทันที และอดคิดถึงเรื่องราวที่เคยพูดคุยกับหญิงผู้นี้บนเนินทรายนอกเมืองไม่ได้
เขาถอนหายใจเล็กน้อย และเผยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า จากนั้นก็ขยับปากส่งเสียงออกไป
“แม้นางซา ข้าน้อยขอลาจากกันตรงนี้ มีวาสนาค่อยพบกันใหม่”
พอซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ร่างบอบบางของนางก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมานั้น กลับเห็นว่าชิงหลิงโบกมือขนาดใหญ่แล้ว จากนั้นแสงสีทองก็ห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้ และม้วนตัวเข้าไปในรอยแยก
จากนั้นรอยแยกก็ผสานกันอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
……
ท้องฟ้าและแผ่นดินหมุนวนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง!
หลังจากหลิ่วหมิงได้สติกลับมา เขาก็มายืนอยู่บนทุ่งหญ้าแล้ว
พอมองออกไปรอบด้าน เขาก็จำไม่ได้ว่าตนเองอยู่สถานที่แห่งใด แต่ที่ยืนยันได้ก็คือ ได้ออกมาจากทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว
เหตุผลก็คือ สถานที่แห่งนี้ไม่รับรู้ถึงพลังแปลกประหลาดที่กดดันระดับการฝึกฝนของเขาแล้ว แม้ว่าปราณจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้จะเบาบาง แต่เมื่อเทียบกับในทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว กลับหนาแน่นกว่าร้อยเท่า
“ในที่สุดก็ออกมาแล้ว!”
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ และนำแผ่นหยกสีเทาออกจากแหวนย่อส่วนมาอันหนึ่ง
สิ่งนี้เขาได้มาจากการสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือโดยไม่ตั้งใจ
ในแผ่นหยกมีแผนที่ดินแดนทางตอนใต้ที่มีเทือกเขาจูหลงและเทือกเขาใหญ่อื่นๆ เป็นจุดศูนย์กลาง แต่ละเขตพื้นที่ล้วนบันทึกอยู่ในนั้นอย่างละเอียดครอบคลุม
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป หลิ่วหมิงถึงนำจิตรังรู้ออกจากแผ่นหยก
เมฆดำก่อตัวขึ้นที่ใต้เขาของเขา จากนั้นก็เหาะขึ้นสูงหลายร้อยจั้ง เขากวาดสายตามองรอบด้าน และเทียบพื้นที่บริเวณนี้กับแผนที่หนึ่งรอบ ก็ยืนยันตำแหน่งในปัจจุบันได้คร่าวๆ
สถานที่แห่งนี้คงเป็นเขตทุ่งหญ้าทางด้านตะวันตกของเทือกเขาจูหลงที่อยู่ห่างไกลผู้คน ห่างจากตลาดชิงกู่ไม่มากนัก ซึ่งห่างไม่กี่หมื่นลี้เท่านั้น
หลังจากหลิ่วหมิงหลับตาครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้ว ก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับตลาดชิงกู่
หลังจากเผชิญกับอุบัติภัยอย่างแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือ และทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้ากลับไปตลาดชิงกู่อีก
ครึ่งเดือนต่อมา แสงสีดำลำหนึ่งก็หยุดลงบริเวณเทือกเขาไร้นามที่สูงชันและอันตรายแห่งหนึ่ง
พอแสงสีดำดับลง เงาร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ในมือเขาถือแผ่นหยกที่เป็นแผนที่อยู่ ดวงตาทั้งคู่หรี่มองรอบด้าน สีหน้าของเขาค่อยๆ แสดงความพึงพอใจออกมา
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากเทือกเขาจูหลงหลายหมื่นหลายพันลี้ สามารถพูดได้ว่าอยู่สวนทางกับตลาดชิงกู่โดยสิ้นเชิง
อีกอย่างแม้จะเทียบกันแล้วปราณจิตวิญญาณของสถานที่แห่งนี้จะค่อนข้างเบาบาง มีผู้ฝึกฝนน้อยคนที่จะมาถึงที่นี้ แต่คงสงบเงียบเป็นอย่างมาก
และอยู่ห่างจากเทือกเขาไปหมื่นลี้ ก็จะเป็นตลาดขนาดใหญ่ของเผ่าหมาน แต่ก่อนหลิ่วหมิงเคยมาซื้อวัตถุโอสถแฝงจิตวิญญาณในสถานที่แห่งนี้ จึงรู้ว่าขนาดของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าตลาดชิงกู่เลย
“ที่นี่ก็แล้วกัน!” หลิ่งหมิงเก็บแผ่นหยกแล้วเหาะไปยังพื้นที่เร้นลับตรงไหล่เขา และปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าทำการขุดเจาะหิน
ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ การขุดถ้ำที่พักแห่งหนึ่งไม่ใช่เรื่องที่เปลืองแรงแต่อย่างใด
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งวัน เขาก็ขุดห้องหินขนาดต่างๆ ออกมาได้หลายห้อง และยังถือโอกาสตัดหินก้อนหนึ่งมาทำเป็นเตียงหิน และตั่งหินสองสามตัว
จากนั้นเขาก็นำเครื่องมือวางค่ายกลออกมาสองสามชุด และทำการปกคลุมภูเขากว่าครึ่งลูกไว้
ปากถ้ำถูกก้อนหินขนาดใหญ่ก้อนหนึ่งปิดไว้ เหลือไว้เพียงทางเดินแคบๆ ที่คนสามารถเดินผ่านได้หนึ่งคน
ด้านบนของถ้ำก็ถูกเขาใช้ใบไม้ปกคลุมไว้ หากไม่ใช้จิตรับรู้ค้นหาอย่างละเอียด จะไม่ถูกค้นพบอย่างแน่นอน
หลังจากหลิ่วหมิงทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาถึงนั่งลงบนเตียงหินอย่างวางใจ
ในใจเขารู้ดีว่า ครั้งนี้ปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กทำเรื่องวุ่นวายอย่างเรื่องสืบสานปีศาจเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะจับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จากแต่ละเผ่ามาจำนวนมาก แม้แต่ผู้อาวุโสขุยมู่ ผู้แข็งแกร่งของหุบเขาปีศาจก็ถูกกักขังด้วย ขณะนี้แม้ว่าปีศาจสายฟ้าจะถูกขุยตี้แห่งหนานฮวงจับตัวพร้อมกับปีศาจวายุ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจปิดบังได้นาน
เรื่องนี้ไม่เพียงแต่พัวพันถึงหุบเขาปีศาจสวรรค์ บวกกับเรื่องการปรากฏตัวอีกครั้งของขุยตี้แห่งหนานฮวง เกรงว่าแผ่นดินหนานฮวงคงจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในไม่ช้า
แต่ว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขา เพียงแค่เขาซ่อนตัวอย่างระมัดระวัง ปลีกตัวออกนอกเหตุการณ์คงไม่เป็นเรื่องยากแต่อย่างใด
เดิมทีหลิ่วหมิงคิดจะปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณอีกชุด แล้วจะกลับไปเทือกเขาหมื่นวิญญาณ แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนความคิดแล้ว
ดินแดนหนานฮวงยิ่งวุ่นวาย ก็จะยิ่งไม่มีใครสังเกตถึงผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนหนึ่ง และสามารถรวบรวมวัตถุดิบได้สะดวกมากขึ้น
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ และนำจิตรับรู้เข้าไปในแหวนย่อส่วน ผ่านไปสักพัก พอโบกมือ สิ่งของจำนวนมากก็ร่วงลงพื้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งของที่ได้มาจากการสังหารผู้ฝึกในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือเหล่านั้น ก่อนหน้านั้นเขาไม่มีเวลาตรวจสอบดูดีๆ สักรอบ
แม้ว่าการเดินทางในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือจะมีโอกาสเสียชีวิตถึงเก้าส่วน แต่ก็เก็บเกี่ยวมาได้ไม่น้อย โอสถ และวัสดุจิตวิญญาณชนิดต่างๆ ย่อมไม่ต้องพูดถึง ลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดก็มีมากถึงสิบกว่าชิ้นแล้ว ต้นแบบอาวุธเวทก็มีมากมายหลายชิ้น
มุกสีเหลืองสลัวๆ เม็ดหนึ่ง ดาบประหลาดสีม่วงคู่หนึ่ง ดาบยาวสีทองจางๆ เล่มหนึ่ง กระบองยาวสีเขียวเล่มหนึ่ง ยังมีกริชสีดำที่ชำรุดอีกเล่มด้วย
ลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสิบกว่าชิ้น หากคิดเป็นหินจิตวิญญาณล่ะก็ ก็เป็นจำนวนมหาศาลก้อนหนึ่ง มูลค่าของต้นแบบอาวุธเวทห้าชิ้นนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
นอกจากนี้ ศพราชินีผึ้ง ไข่ และสิ่งของอื่นๆ ก็ปรากฏอยู่บนพื้นบริเวณนั้นหลังจากยันต์เก็บของผืนหนึ่งกะพริบผ่านไป
คิดว่าคงเป็นเพราะขุยมู่และคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตในเงื้อมมือของศิษย์ที่ทดสอบปีศาจสวรรค์ จึงไม่อาจรักษาสิ่งของเหล่านี้เอาไว้ได้ ตอนนี้กลับเป็นของหลิ่วหมิงทั้งหมดแล้ว
หลิ่วหมิงนับดูสิ่งของเหล่านี้ด้วยความดีใจ และเก็บมันเป็นกลุ่มๆ เพื่อเตรียมหาเวลาไปขายแลกหินจิตวิญญาณที่ตลาด
แม้ว่าบนตัวเขาในตอนนี้จะไม่มีหินจิตวิญญาณเลย แต่เพียงแค่นำอาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้ออกไปเปลี่ยนมือ ก็จะร่ำรวยขึ้นมาไม่น้อย
จากนั้นเขาก็นำคัมภีร์เคล็ดวิชากระดูกดำกับคัมภีร์สร้างนักรบยันต์ผ้าเหลืองออกมา หลังจากพลิกดูอยู่พักหนึ่ง ก็ส่ายหน้าแล้วเก็บเข้าไป
คัมภีร์ทั้งสองเล่มค่อนข้างลึกล้ำมหัศจรรย์มาก ดูท่าคงไม่อาจทำความเข้าใจได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกดีอกดีใจก็คือ อักขระที่บันทึกอยู่ในเคล็ดวิชากระดูกดำไม่ใช่อักขระมรกตมืด แต่เป็นอักขระโบราณบางอย่างที่เขารู้จัก
แต่เพราะว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาในการฝึกฝน เรื่องสำคัญในตอนนี้คือต้องรีบฟื้นฟูพลังโดยเร็ว
หลังจากหลิ่วหมิงนำโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิลงทันที ด้านหนึ่งกลั่นเอาพลังของโอสถ อีกด้านหนึ่งก็เริ่มตรวจสอบดูร่างของตนเองอย่างละเอียด
หลายเดือนติดต่อกันมานี้ ตั้งแต่ถูกปีศาจสายฟ้าตามล่า ทั้งยังถูกขังอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ หลังจากผ่านการต่อสู้ติดต่อกัน ร่างกายของเขาก็แอบสะสมบาดแผลไว้จำนวนมาก ตอนนี้เป็นเวลาที่ควรรักษาให้ดีๆ แล้ว
หลังจากผ่านไปสามวันสามคืน หลิ่วหมิงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา คิ้วที่ขมวดเข้าหากันก็คลายออกมาพร้อมกัน
ไม่มีการควบคุมของทะเลทรายกุ่ยโม่ บวกกับการทานโอสถรักษาอาการบาดเจ็บไปก่อนหน้านั้ยจำนวนไม่น้อย พลังเวทในร่างจึงฟื้นฟูจนถึงจุดสูงสุดอย่างรวดเร็ว บาดแผลบนกายเนื้อก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว
แต่ว่าพอเขาลองตอบสนองกับโลหิตปีศาจสวรรค์ที่กลืนลงไปหยดนั้น กลับค้นพบว่าโลหิตนี้หายไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก เขาจึงไม่คิดอะไรมากอีก จากนั้นก็ดึงถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว และปล่อยอสูรเลี้ยงทั้งสองออกมา
หลังจากเข้าไปในทะเลทรายกุ่ยโม่แล้ว เขาเคยสำรวจดูอสูรเลี้ยงทั้งสอง และค้นพบว่าพวกมันหลับลึกมาโดยตลอด แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เอาตัวรอดได้ยากในตอนนั้น จึงไม่ได้ตรวจสอบดูละเอียด
พอเหลือบตาดูในตอนนี้ กลับค้นพบว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองยังไม่มีท่าทีจะฟื้นเลยแม้แต่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างละเอียดอีกรอบแล้ว ก็ค้นพบว่าบนตัวของแมงป่องกระดูกสีเงินมีลวดลายจิตวิญญาณสีเหลืองแปลกประหลาดปรากฏขาดๆ หายๆ แม้ว่าหัวบินจะหลับลึกอยู่ แต่ในเบ้าตาก็มีจุดแสงสีแดงปรากฏขาดๆ หายๆ เช่นกัน อีกย่างทั้งสองต่างก็มีกลิ่นไออันแข็งแกร่งแผ่ออกมาอย่างแปลกประหลาด
ในใจหลิ่วหมิงเกิดคำถามมากมาย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็จับอสูรเลี้ยงทั้งสองไว้ และกระตุ้นศิลาหุนเทียนในทะเลจิตรับรู้
“ว่าบ!”
ภาพตรงหน้ามืดลง จากนั้นเขากับอสูรเลี้ยงทั้งสองก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับพร้อมกัน
“ผู้อาวุโสหลัวโหว!” หลังจากหลิ่วหมิงวางอสูรเลี้ยงทั้งสองลงไปแล้ว ก็ตะโกนออกมาทันที
“ไม่ต้องเสียงดังขนาดนี้ ข้าได้ยินแล้ว!”
ห่างจากด้านหน้าหลิ่วหมิงไปไม่ไกล เงาร่างคนผู้หนึ่งปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลัวโหวนั่นเอง
เขาสังเกตดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“เจ้านี่ดวงแข็งจริงๆ ช่วงนี้เผชิญกับศัตรูตัวฉกาจอยู่บ่อยครั้ง เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตรอดมาได้ ช่างเป็นไปได้ยากจริงๆ พูดมาเถอะ! เจ้าเข้ามาในครั้งนี้เพราะเรื่องอันใดอีก?”
“ในเมื่อสิ่งที่ข้าเผชิญมา ผู้อาวุโสก็มองเห็นหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยก็จะไม่อธิบายให้มากความแล้ว เพียงแต่ว่าตอนที่อยู่ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือ ตอนที่ข้ากลายร่างเป็นปีศาจได้กลืนโลหิตปีศาจสวรรค์ไปหยดหนึ่ง ไม่ทราบว่า…” หลิ่วหมิงได้ยินก็แอบตำหนิอยู่ในใจ แต่ยังคงถามด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
………………………………