ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 734 ตราประทับสายฟ้าสวรรค์
หลิ่วหมิงกลับไม่ได้รู้สึกตกใจมากนัก แววตาดีใจของเขาไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจ
จะว่าไปแล้ว หลังจากปีศาจสมุทรแปดขาตัวนี้จับพลัดจับผลูดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์เข้าไป ก็เหมือนกับทานโอสถเสริม ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ร่างของมันก็เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
ผลลัพธ์ของโลหิตปีศาจสวรรค์นี้มีผลต่อปีศาจอสูรอย่างน่าตกใจ ตัวหลิ่วหมิงเองก็ใช้เวลาห้าปีเต็มๆ ถึงจะดูดซับมันได้ทั้งหมด
ช่วงห้าปีมานี้ ดูเหมือนว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่าขึ้นไป สิ่งที่ทำให้เขาดีใจยิ่งกว่าก็คือ เกล็ดมังกรสีแดงที่อยู่ภายในร่างเหล่านั้น หลังจากได้รับการบำรุงจากโลหิตปีศาจสวรรค์แล้ว อานุภาพของมันก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี
เกล็ดมังกรแดงในตอนนี้ ไม่เพียงแต่มีผลลัพธ์ในการป้องกันมากกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า ดูเหมือนว่าสามารถเทียบกับเกล็ดมังกรระดับแก่นแท้ได้แล้ว เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้ ยังสามารถกระตุ้นพลังเวทระเบิดมันออกมาได้
จากการคาดการณ์ของเขา พลังการโจมตีของเกล็ดมังกรหลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว คงไม่ด้อยไปกว่าอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดหนึ่งชิ้น อานุภาพก็ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะรับรู้ได้
แต่หลังจากเกล็ดมังกรเหล่านี้ออกไปจากร่าง ก็ไม่อาจนำมันกลับเข้าไปได้อีก พอที่จะพูดได้ว่า ใช้ไปหนึ่งครั้งก็จะลดลงไปหนึ่งเกล็ด หากไม่ใช่ช่วงเวลาที่จำเป็น เขาจะไม่ใช้วิธีการนี้อย่างเด็ดขาด
ขณะนี้ ร่างของอสูรสมุทรแปดขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเสร็จสิ้น ทันใดนั้นมันก็โบกสะบัดหนวดสัมผัสเส้นหนึ่ง
พอเงาร่างเปล่งประกาย ก็เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” หนวดสัมผัสปะทะลงบนโต๊ะหินในห้องลับภายในพริบตา ทำให้มันระเบิดออกมาทันที
แม้ว่าอสูรสมุทรตัวนี้จะเข้าสู่วัยเต็มตัวแล้ว แต่สติปัญญายังคงไม่มีทีท่าว่าจะเพิ่มขึ้นตามวัย พฤติกรรมทั้งหมดล้วนเป็นไปตามสัญชาตญาณ ไม่รู้เรื่องเหมือนกับแมงป่องกระดูกกับหัวบิน
สิ่งนี้หลิ่วหมิงเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้
พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ใช้จิตรับรู้กวาดดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวอีกครั้ง แต่กลับค้นพบว่าแมงป่องกระดูกกับหัวบินไม่มีวี่แววจะฟื้นเลยแม้แต่น้อย ยังคงหลับลึกอยู่
ตั้งแต่เจ้าสองตัวนี้ดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์ที่ถูกแยกออกมาแล้ว ก็หลับลึกมานานเจ็ดแปดปีแล้ว ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกเมื่อไหร่ และจะมีการเปลี่ยนแปลงน่าตกใจแค่ไหน
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังด้วย “ตู๊ม!” ในห้องลับอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมอสูรสมุทรแปดขาถึง เงยหัวอันแข็งแกร่งของตนเองพุ่งใส่ผนังถ้ำอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงส่ายหน้าด้วยความระอาใจ พอเหลือบตาดู กลับค้นพบว่าบนผนังหินที่หัวของปีศาจตัวนี้ชนใส่ มีรอยเว้าต่างๆ ที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าได้
อย่างที่รู้ว่า ในวันที่เขาสร้างถ้ำแห่งนี้ขึ้นมานั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ถ้ำถูกทำลายโดยไม่ได้ตั้งใจในขณะฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ จึงวางชั้นจำกัดป้องกันเพิ่มความแข็งแกร่งไว้รอบด้านไม่น้อย ต่อให้เขาจะใช้กำปั้นโจมตีผนังห้องลับโดยตรง ก็ต้องใช้เวลาระยะหนึ่งถึงจะทำลายได้
แต่พลังกายเนื้อของอสูรสมุทรแปดขา ยังแข็งแกร่งกว่าผนังหินในห้องลับ ดูท่าโลหิตปีศาจสวรรค์จะช่วยเพิ่มทวีความแข็งแกร่งของกายเนื้อให้กับมันด้วย
คิดมาถึงจุดนี้ ในใจหลิ่วหมิงก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขาอดใจรอไม่ไหวที่จะดูว่าหลังจากอสูรสมุทรกลายเป็นเกราะอสูรแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ๆ อย่างไรบ้าง
พอเขาโบกมือข้างหนึ่งไปด้านหน้า สายลมเบาๆ ก็ม้วนตัวอสูรสมุทรแปดขากลับมา
หลังจากร่างของมันหดเล็กลง ก็กางหนวดสัมผัสทั้งแปดออก และแนบติดกับหน้าอกของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา มือข้างหนึ่งตบลงบนหัวของอสูรสมุทรเบาๆ และปล่อยพลังเวททั้งหมดเข้าไปในนั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนตัวอสูรสมุทรเปล่งประกายขึ้นมา พอแสงสีเงินเปล่งประกาย อสูรสมุทรก็กลายเป็นเกราะอสูรสีเงินแวววาว
ขณะที่หลิ่วหมิงเปลี่ยนคาถานั้น เกราะหนังสีเงินก็กลายเป็นถุงมือสีเงินห่อหุ้มมือทั้งสองของเขาไว้
หลิ่วหมิงขยับตัวไปไปทางผนังถ้ำทันที และชกออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง
“โครมคราม!”
มีแสงสีฟ้าสลัวๆ เปล่งประกายบนผนังหิน ทันใดนั้นเศษหินก็กระเด็นออกมา และยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของถ้ำก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นก็มีรอยกำปั้นลึกสองสามฉื่อปรากฏบนผนังหินอย่างชัดเจน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
กำปั้นนี้มีอานุภาพมาก ต่อให้รับมือกับผู้ฝึกร่างระดับเดียวกัน อย่างเบาก็ทำให้อวัยวะภายในของฝ่ายตรงข้ามได้รับความเสียหายไม่น้อย อย่างหนักก็อาจจะร่างระเบิดจนเสียชีวิตได้
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บถุงมือที่กลายร่างมาจากเกราะอสูรเข้าไปแล้ว ก็ค้นพบว่ามือทั้งสองไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เลย
หากมันมีอัตราการเติบโตช่นนี้ หลังจากอสูรสมุทรเข้าสู่ระดับผลึก ระดับแก่นแท้ในภายหน้า ความแข็งแกร่งของเกราะอสูรที่มันกลายร่างมา ก็เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การรอคอยเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากอสูรตัวนี้เข้าสู่วัยเต็มตัวแล้ว พลังเวทที่จะใส่เข้าไปเพื่อกระตุ้นเกราะอสูรก็เพิ่มขึ้นเป็นทวี พลังเวทที่ใช้ในการทำให้เกราะทำงานก็หมดเร็วกว่าก่อนหน้านั้นมาก
หากใช้ในการต่อสู้ที่ยืดเยื้อจะต้องกลายเป็นจุดอ่อนอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็ไม่มีวิธีการจัดการปัญหานี้ได้ดีมากนัก หลิ่งหมิงได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน หลังจากเก็บเจ้าแปดขาเข้าไปแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่และเข้าฌานอีกครั้ง…
สิบกว่าวันผ่านไป คืนที่ฝนตกหนักและมีสายฟ้าแลบราวกับอสรพิษสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังเต้นระบำอยู่ พอชายหนุ่มที่เปลือยกายท่อนบนขยับตัว ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในหุบเขาหินระเกะระกะแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างไกลผู้คน เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
จะว่าไปแล้วเจ็ดแปดปีมานี้ ดูเหมือนเขาจะอาศัยดวงตามายาปีศาจเข้าไปฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ในแดนมายาเกือบทุกวัน ทั้งยังให้หลัวโหวทำให้พลังของสายฟ้าสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง จากสายฟ้าธรรมดากลายเป็นสายฟ้าสวรรค์ ความเร็วในการฝึกฝนก็ก้าวกระโดดเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากวิชาสายฟ้าสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบเพียงก้าวเดียวเท่านั้น
เนื่องจากสายฟ้าสวรรค์ที่ดูดซับในแดนมายาไม่อาจเก็บไว้ในร่างได้ และการจะฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบ จะต้องนำพลังสายฟ้าสวรรค์มาผสานเข้าด้วยกันกับพลังเวทภายในร่าง ด้วยเหตุนี้หลิ่วหมิงจึงรอคืนอัสนีบาตอย่างยากลำบาก
คืนอัสนีบาตทั่วไปส่วนมากจะดูดซับได้เพียงสายฟ้าธรรมดาเท่านั้น อีกอย่างจำนวนของสายฟ้าก็มีจำกัด หากจะทะลวงวิชาสายฟ้าสวรรค์ขั้นสมบูรณ์แบบ ต้องรอถึงคืนที่เกิดฝนฟ้าคะนองครั้งใหญ่ถึงจะได้
หลังจากเขารออย่างยากลำบากมาเกือบครึ่งปี ในที่สุดคืนอัสนีบาตครั้งใหญ่ก็มาถึง
ขณะนั้นเอง เกิดเสียงฟ้าผ่ากลางอากาศ สายฟ้าสีทองขนาดเท่าปากถ้วยเปล่งประกาย และโจมตีลงบนแขนทั้งสองของหลิ่วหมิงที่ยกขึ้นมา
เกิดเสียงดังแปล๊บๆ บนแขนของหลิ่วหมิง สายฟ้ามุดเข้าไปในร่างราวกับอสรพิษสีทอง ทันใดนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดทะลุหัวใจก็แผ่ขยายไปทั่วร่าง
ไม่สามารถใช้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬทำการต้านทานได้ แต่ต้องใช้กายเนื้อรับพลังสายฟ้าสวรรค์เข้าร่างโดยตรง แม้ว่าเขาจะเคยลองทำเช่นนี้ในแดนมายามาหลายพันครั้ง แต่ก็ยังรู้สึกแบกรับไม่ไหวเล็กน้อย
แต่ว่าความทรหดของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถเทียบได้ หลังจากทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้ว ก็สงบจิตลง และกระตุ้นเคล็ดวิชาโคจรพลังสายฟ้า เริ่มใช้พลังเวทในร่างค่อยๆ ดึงสายฟ้าสวรรค์เข้ามา
สายฟ้าสวรรค์ถูกเคล็ดวิชาเหนี่ยวนำ และค่อยๆ กลายเป็นไหมสายฟ้าเล็กๆ จมเข้าไปในกระดูก และค่อยๆ ผสานรวมกันกับพลังเวทภายในร่าง
หลังจากผ่านไปสามชั่วยามเต็มๆ เขาก็รับการโจมตีของสายฟ้าสีทองเส้นหนึ่ง ทั้งยังผสานเข้าไปในร่างอย่างราบรื่น และนำไปเชื่อมต่อกับพลังสายฟ้าที่เก็บไว้ในร่าง
“ดูท่าคงจะพอประมาณแล้ว!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็กำมือทั้งสองไว้แน่น แขนทั้งสองยกขึ้นเหนือศีรษะ และเริ่มร่ายคาถาออกมา
สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นที่มีขนาดเท่านิ้วก้อยค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนตัวของเขา แสงสายฟ้าหมุนวนราวกับอสรพิษสีเงินตัวเล็กๆ กำลังเลื้อยอยู่บนตัว เมื่อมองจากที่ไกลๆ ในคืนฝนตกเช่นนี้ ทำให้เขาดูเหมือนมนุษย์สีเงินที่สามารถเปล่งแสงได้
ขณะเดียวกัน เมฆดำกับสายฟ้ากลางอากาศ ก็มารวมตัวกันเหนือศีรษะอย่างรวดเร็วราวกับถูกหลิ่วหมิงดูดเข้ามา
เกิดเสียงดังโครมครามอยู่ไม่หยุด สายฟ้าสีทองที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสายฟ้าสีทองพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา สายฟ้าสีเงินบนตัวก็ไปรวมตัวบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ส่งเสียงคำรามและแบมือทั้งสองขึ้นข้างบน ลูกสายฟ้าสีเงินกลมๆ ขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ก่อตัวขึ้นมาอย่างชัดเจน และแสงสายฟ้าสีทองที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็ค่อยๆ จมเข้าไปในนั้น
ขณะที่ดูดซับสายฟ้าสีทองมากยิ่งขึ้น ลูกสายฟ้าสีเงินในมือหลิ่วหมิงก็มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สายฟ้าสีเงินกับสีทองประสานกันไปมาราวกับอสรพิษน้อยสองตัว ทำให้ลูกสายฟ้าสีเงินบนฝ่ามือของเขากลายเป็นลูกสายฟ้าขนาดใหญ่ที่มีสีเงินกับสีทองประสานกันไปมา
เมื่อแสงสีทองบนฟ้าถูกดูดซับจนหมดนั้น ลูกสายฟ้าสีเงินและสีทองบนฝ่ามือทั้งสองของหลิ่วหมิง ก็มีขนาดใหญ่หลายจั้ง
“เก็บ!”
หลิ่วหมิงกัดฟันอีกครั้ง และตะโกนออกมาเบาๆ สายฟ้าส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ลูกสายฟ้าเหนือศีรษะสลายตัวเป็นไหมสายฟ้าสีเงินทองมุดเข้าไปในฝ่ามือ
เขารู้สึกเจ็บปวดจนแทบจะขาดใจ เส้นเอ็นบนแขนขาและหน้าผากนูนขึ้นมา ความรู้สึกเจ็บจนยากจะรับไว้ได้นี้ ทำให้เขาไม่อาจทรงตัวไว้ได้ และโซซัดโซเซจนเกือบล้มลงพื้น
ขณะนี้หากกระตุ้นพลังเวทมาต้านทานสักรอบ คงจะสามารถลดความเจ็บปวดบนกายเนื้อได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มากที่จะทำให้การฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์ล้มเหลว และไม่รู้ว่าจะต้องรอถึงเมื่อใด ถึงจะมีคืนอัสนีบาตครั้งใหญ่อีก
หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขาพยามอดกลั้นต่อความเจ็บปวด รับรู้ถึงพลังสายฟ้าสวรรค์บริสุทธิ์ที่ทะลวงไปตามเส้นชีพจรต่างๆ ในสมองก็นึกถึงเรื่องที่เขาเกือบตายหลายครั้งในก่อนหน้า
ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวที่ระเบิดพลังตัวอ่อนกระบี่เพื่อรับมือกับราชาปีศาจสมุทรอย่างไม่เสียดาย การต่อสู้ความเป็นความตายกับราชาโลหิตในซากปีศาจโบราณ การต่อสู้กับผู้อาวุโสจินหมานที่มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ในแดนลึกลับบนเขาเหลยฉือจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด…
ผ่านเหตุการณ์เกือบตายมานับไม่ถ้วนเช่นนี้ เทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ความเจ็บปวดที่แฝงมากับวิชาสายฟ้าสวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงแต่อย่างใด
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป สีหน้าของหลิ่วหมิงก็ค่อยๆ สงบลง เขาหยุดกลิ้งอยู่บนพื้นและค่อยๆ ลุกขึ้นมา
ความเจ็บปวดภายในร่างค่อยๆ หายไป แต่ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกชาแทน
หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ภายใต้การตรวจดูภายในร่างของหลิ่วหมิง ก็ค้นพบว่าไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด และบนหน้าอกก็มีตราประทับสายฟ้าสีทองแปลกประหลาด
พื้นผิวตราประทับมีแสงสีเงินหมุนวน ติดๆ ดับๆ แลดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก
เมื่อเขาลุกขึ้นมา และลองกระตุ้นเคล็ดวิชาสายฟ้าดูนั้น ก็รู้สึกว่าพลังเวทภายในร่างทะลักออกมาจากผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดอยู่ไม่หยุด และพุ่งเข้าไปในตราประทับสายฟ้าบนหน้าอก
พริบตาที่ตราประทับสายฟ้าเปล่งแสงสีทองออกมา ไหมสายฟ้าสีเงินและทองก็เลื้อยไปมาบนตัวอยู่ไม่หยุด พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินและสีทองทั้งสองก็รวมตัวกันบนฝ่ามืออย่างรวดเร็ว
………………………………