ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 739 บดสังหารระดับผลึก
ตอนที่ 739 บดสังหารระดับผลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงไม่ขยับตัวแต่อย่างใด ยังคงมองดูคนเหล่านี้ด้วยแววตาเยือกเย็น
ชายชุดคลุมสีเทาเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลาย คนอื่นๆ อีกเจ็ดแปดคน ก็น่าจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลาง และขั้นปลายเท่านั้น
แต่ว่านอกจากชายชุดคลุมสีเทาที่ไม่รู้สึกยี่หระอะไรแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนอื่นๆ กลับเห็นได้ชัดว่าไม่มีความกล้าพอ สายตาที่มองดูหลิ่วหมิงก็หลบอยู่ตลอดเวลา
“ฮึ! พวกเจ้าไม่ต้องกลัวเขา แม้เขาจะมีการฝึกฝนระดับผลึก แต่ขณะนี้กำลังใช้พลังเวทไปกับการทะลวงคอขวดจนเหลืออยู่ไม่มากแล้ว อีกอย่างเมื่อครู่เขาเพิ่งสูดดมพิษกัดกร่อนหัวใจเข้าไป เกรงว่าคงไม่มีแม้แต่แรงที่จะใช้ในการป้องกันตัวแล้ว” ชายชุดคลุมสีเทาเป็นเช่นนี้ ก็กล่าวกับคนที่อยู่ด้านหน้าด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
แต่ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบ กระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่งก็พุ่งออกจากร่างหลิ่วหมิง หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ มันก็กลายเป็นสายรุ้งที่ยาวสิบกว่าจั้ง และม้วนตัวเข้าหาเงาร่างสีเทาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
เงาร่างสีเทามีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขานำยันต์หลายผืนออกมาขยี้จนแตกกระจายอย่างไม่ลังเล เกราะป้องกันหลากสีปรากฏออกมาจากตัว จากนั้นก็หมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งสีเทาพุ่งหนีไปทันที
เขาฝึกฝนจนถึงระดับผลึกขั้นปลายได้ ย่อมไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแต่อย่างใด หลังจากมองเห็นแสงกระบี่สีทองอันน่าตกใจ ก็ละทิ้งการเสี่ยงอันตรายในครั้งนี้อย่างไม่ลังเล
ผู้ที่สามารถควบคุมแสงกระบี่ระดับนี้ได้ จะต้องไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกธรรมดาอย่างแน่นอน
แต่ว่าชายชุดคลุมสีเทายังคงดูเบาอานุภาพของกระบี่บินว่างเปล่าไปหน่อย เพียงแค่ได้ยินเสียงดัง “ฟิ้ว!” สายรุ้งยาวสีทองก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาหลายเท่า พริบตาเดียวก็ตามแสงหลบหลีกสีเทาทัน และแทงทะลุทันที
“เต๊ง!” “เต๊ง!” เกิดเสียงดังขึ้นอย่างไม่ขาดหู
แสงกระบี่สีทองโจมตีทะลุเกราะคุ้มกัน และแทงทะลุศีรษะของชายชุดคลุมสีเทาโดยตรง รวมถึงวิญญาณของเขาก็ถูกสังหารจนดับไปในทีเดียว ทำให้เขาไม่ทันแม้แต่จะนำอาวุธออกมาป้องกันตัว และศพของเขาก็ร่วงลงมาจากบนอากาศ
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงละสายตามามองดูผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนอื่นๆ
“ผู้อาวุโส เข้าใจผิดแล้ว!”
“พวกข้าถูกบีบให้ทำเช่นนี้…”
“ผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย!”
พอคนที่เหลือเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พอเห็นว่าหลิ่วหมิงมองมา พวกเขาต่างก็พากันร้องขอชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น มีคนสองคนฉีกยันต์สีเงิน และกลายเป็นสายรุ้งสีเงินพุ่งหนีไปทันที ส่วนอีกคนก็พร่ามัวหายไปหลังจากเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!”
หลิ่วหมิงเผยแววตาเฉียบขาดออกมา เพียงแค่โบกมือข้างหนึ่งไปบนอากาศ
“ฟิ้ว!” สายรุ้งสีทองที่อยู่ไกลๆ ก็ม้วนตัวกลับมา และกลายเป็นเงากระบี่สีทองจำนวนมากปกคลุมเต็มฟ้า
เกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนา!
ศีรษะมนุษย์เจ็ดแปดใบร่วงลงมา เสาโลหิตเจ็ดแปดสายพวยพุ่งออกจากร่างไร้ศีรษะ ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยกลิ่นคาวที่ทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียน
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนที่แอบหลบหนี หรือว่าผู้ที่ร้องขอชีวิตอยู่กับที่ ล้วนถูกเงากระบี่สังหารจนหมดสิ้น
ครู่ต่อมา พอหลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง เงากระบี่ที่ปกคลุมเต็มฟ้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และกลายเป็นกระบี่บินพุ่งกลับมาอีกครั้ง หลังจากเกิดเสียงดังกังวาน มันก็จมหายไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่คนเหล่านี้เข้ามาใกล้ จนถึงตอนที่หลิ่วหมิงปล่อยกระบี่ออกมาสังหาร ใช้เวลาทั้งหมดแค่สองสามอึดใจเท่านั้น!
ในนั้นยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายอยู่คนหนึ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในบรรดาผู้ที่แอบดูอยู่บริเวณรอบๆ
บรรดาผู้ฝึกฝนที่อยู่บนยอดเขาบริเวณรอบๆ เห็นเช่นนี้ ต่างก็ร่นถอยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก บางคนหวาดกลัวจนหมุนตัวพุ่งหนีไปทันที
ขณะเดียวกัน บนยอดเขาบางแห่งที่อยู่ในบริเวณนี้ ก็มีแสงหลบหลีกสี่ลำพุ่งเข้ามาอย่างเงียบๆ และเห็นฉากที่หลิ่วหมิงสังหารคนเหล่านี้พอดี
“ผู้เฒ่าอู๋ ที่คนผู้นี้นำออกมาในเมื่อครู่ มันคือกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสินะ อานุภาพของมันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ สังหารผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายได้อย่างง่ายดาย ข้าว่าพวกเราอย่าไปหาเรื่องจะดีกว่า” หลังจากที่ชายตาเดียวเห็นการลงมือของหลิ่วหมิงแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ไม่หยุด และกระซิบบอกคนอื่นเบาๆ
“สหายตู้ พวกเรามาถึงที่นี่แล้ว ใยต้องพูดคำพูดท้อแท้ใจเช่นนี้ด้วยเล่า! การโจมตีด้วยอานุภาพอันรุนแรงในเมื่อครู่ ดูเหมือนจะน่าตกใจ แต่เห็นได้ชัดว่าใช้ท่าไม้ตายเพื่อรักษาชีวิตไว้ ตอนนี้พลังเวทคงเหลืออยู่ไม่มาก เป็นแค่การสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาเท่านั้น ตอนนี้เป็นโอกาสอันดีในการลงมือของพวกเราแล้ว” ชายเผ่าหมานวัยกลางคนมองดูหลิ่วหมิงจากที่ไกลๆ จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนกล่าวออกมา
“ผู้เฒ่าอู๋ เจ้าคิดว่าลงมือเลยหรือรอไปก่อนดี?” ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหน้าเหยี่ยวได้ยินเช่นนี้ก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ถามกับผู้อาวุโส
พวกเขาทั้งสามต่างก็มองไปยังใบหน้าแห้งเหี่ยวของผู้อาวุโสแซ่อู๋อยู่ครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าให้เขาเป็นหัวหน้าในการตัดสินใจ
“คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ ย่อมเหนือความคาดหมายเล็กน้อย แต่พวกเราทั้งสี่ก็ไม่ใช่ผู้อ่อนแอ หากจะให้หันหน้าหนีไปเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้ พวกเราสามารถซ่อนกลิ่นไอไว้ และเข้าไปดูเส้นสนกลในใกล้กว่านี้หน่อย พอสบโอกาสแล้วค่อยลองหยั่งเชิงดู หากไม่ไหวพวกเราค่อยถอยพร้อมกัน คิดว่าเขาคงไม่กล้าตามล่าสังหารอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสแซ่อู๋มองดูคนทั้งสามทีหนึ่ง และกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
คนอื่นๆ ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลดี จึงพยักหน้าตกลงตามนั้น
หลังจากทั้งสี่หารือกันเล็กน้อยแล้ว ก็พากันเก็บซ่อนกลิ่นไอไว้ และเหาะไปยังยอดเขาที่หลิ่วหมิงอยู่ทันที
ขณะที่ทั้งสี่มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากด้านหลังของหลิ่วหมิงไปไม่ไกลนั้น ผู้ฝึกฝนนับร้อยที่อยู่บริเวณรอบๆ ได้หนีไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว
ขณะนี้ หลิ่วหมิงยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาที่อยู่ไม่ไกล หลังจากผลึกสีม่วงในทะเลจิตวิญญาณดูดซับพลังจิตวิญญาณไปไม่น้อยแล้ว มันก็ดูโปร่งใสแวววาวมากขึ้นกว่าเดิม แต่กลับดูดซับพลังจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าเดิม
แต่ทว่าที่เขาใช้กระบี่บินว่างเปล่าในเมื่อครู่ สังหารผู้คนจำนวนมากที่ฉกฉวยประโยชน์ในช่วงวิกฤต ทำให้สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย ซึ่งทำลายสมดุลของการเกาะผลึกพลังเวทในทะเลจิตวิญญาณ ทำให้เส้นลมปราณทั่วร่างเกิดอาการกระตุกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงแสดงสีหน้าเจ็บปวดเล็กน้อย ครู่ต่อมาก็มีเหงื่อผุดเต็มศีรษะ เม็ดเหงื่อขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองกลิ้งลงมาอยู่ไม่หยุด
เขารีบทานโอสถโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับธรรมดาไปหนึ่งเม็ด จากนั้นก็กลั่นเอาพลังของโอสถ และหลับตาทั้งคู่ทะลวงคอขวดต่อ
ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในสายตาของผู้ฝึกฝนทั้งสี่ที่ซ่อนกลิ่นไอเข้ามาอย่างเงียบๆ
พวกเขาสบตากันด้วยความดีใจในทันที ภายใต้การนำของผู้อาวุโสระดับผลึกขั้นปลาย พวกเขาก็ค่อยๆ เข้าใกล้หลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ
แต่ทว่าขณะที่ทั้งสี่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงสามสิบจั้งนั้น หลิ่วหมิงก็พูดออกมาอย่างราบเรียบโดยไม่ลืมตาขึ้นมา
“สหายทั้งสี่ ในเมื่อมาแล้วก็อย่าได้หลบๆ ซ่อนๆ กันอีกเลย”
น้ำเสียงไม่ดังมาก แต่พอเข้าไปในหูของทั้งสี่ กลับทำให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
ผู้อาวุโสที่เป็นหัวหน้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ
คนอื่นๆ ก็พากันปรากฏตัวออกมาโดยไม่ปิดบังกลิ่นไออีก หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาปรากฏตัวรอบๆ หลิ่วหมิง
“เฮ่อๆ! สหายเข้าใจผิดแล้ว พวกข้าเห็นสหายกำลังทะลวงระดับอยู่ เลยมาช่วยคุ้มกันให้เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาอื่น” ผู้อาวุโสยิ้มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และประสานมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
“อ๋อ? ถ้าอย่างนั้นข้าผู้แซ่หลิ่วต้องขอบคุณทุกท่านหรือ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ลืมตาขึ้นมา หลังจากกวาดสายตาดูคนทั้งสี่แล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ผู้เฒ่าอู๋ มาถึงเวลานี้แล้วใยต้องพูดจาไร้สาระกับเขาด้วย พวกเราตั้งสี่คนยังต้องกลัวผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางคนหนึ่งหรือ รีบลงมือให้เสร็จเรื่องโดยเร็วจะดีกว่า ยิ่งนานเรื่องมันก็จะยิ่งยืดเยื้อ !” ชายเผ่าหมานที่เปลือยกายท่อนบนกล่าวด้วยสีหน้าดุร้าย
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง จะเห็นว่าเขาตบถุงหนังตุงๆ บนเอวใบหนึ่ง
“ฟู่!”
พอปากถุงเปิดออก แสงสีเทาก็พุ่งออกมา พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นหมาป่ายักษ์สีเทาที่มีขนาดหลายจั้งตัวหนึ่ง
พอหมาป่ายักษ์ปรากฏตัว มันก็แหงนหน้าส่งเสียงหอนออกมา และแผ่กลิ่นไออันแข็งแกร่งของระดับผลึกขั้นต้นออกมาทันที ดวงตาสีเขียวทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม ดูเหมือนว่าจะพุ่งเข้ามาขย้ำในไม่ช้า
ชายตาเดียวทีอยู่อีกด้านเห็นเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมาทีหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีกระบองยาวสีดำปรากฏอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ พอสะบัดหนึ่งที มันก็ขยายใหญ่สิบกว่าจั้ง หลังจากสั่นไหวไปหนึ่งที เงากระบองสีดำจำนวนมากก็ก่อตัวเป็นภูเขากระบองสีดำลูกหนึ่ง
ชายหน้าเหยี่ยวที่อยู่อีกด้านก็ส่งเสียงหัวเราะ “หึๆ!” หลังจากแหงนหน้าส่งเสียงคำรามเบาๆ แล้ว ควันดำก็พวยพุ่งออกจากตัว พอควันดำสลายไป ก็เผยให้เห็นร่างของเหยี่ยวหัวดำอยู่ด้านในตัวหนึ่ง
ดวงตาทั้งคู่ของเหยี่ยวหัวดำตัวนี้ดูราวกับสายฟ้า จะงอยเหมือนกับตะขอ หน้าผากมีก้อนเนื้อสีแดงเข้มราวกับโลหิต ทำให้รู้สึกถึงความโหดเหี้ยมและอำมหิต
พอมันปรากฏตัวก็กระพือปีกทั้งสองทันที พายุหมุนสีดำหลายลูกก่อตัวขึ้นมาปกป้องร่างของมันไว้ กรงเล็บแหลมคมทั้งคู่ยื่นออกมา
ผู้เฒ่าอู๋เห็นว่าสหายได้ลงมือแล้ว เขาก็ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ กระจกโบราณสีเหลืองสลัวๆ ก็พุ่งออกมา
กระจกโบราณสีเหลืองใบนี้มีลักษณะเรียบง่ายมาก ผิวกระจกเรียบและสะอาด มันแผ่แสงสีดำวาวออกมา ด้านหลังมีลวดลายสีเขียวที่ดูลึกลับสลักอยู่
ผู้อาวุโสทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งในทันที ปากของเขาร่ายคาถาออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ภายใต้การหมุนตัวติ้วๆ ของกระจกโบราณตรงหน้า มันกลับหายไปในพริบตา ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวบนอากาศตรงหน้าหลิ่วหมิง
ขณะเดียวกัน ลวดลายสีเขียวที่อยู่ด้านหลังกระจกก็เปล่งประกายออกมาราวกับมีชีวิต พริบตาเดียวก็ปล่อยไหมสีเขียวแต่ละเส้นออกมาประสานกันไปมา และถักทอเป็นตาข่ายขนาดสิบกว่าจั้งก่อนคลุมลงบนศีรษะของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า ร่างของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย เกิดความรู้สึกหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้ จนไม่อาจลุกขึ้นมาได้ชั่วขณะ
เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอกระตุ้นพลังเวท ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว และหมุนตัวเป็นระลอกคลื่นอย่างรุนแรง
ขณะที่เกิดเสียงมังกรคำรามดังก้องฟ้านั้น ภายในร่างหลิ่วหมิงก็เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ จากนั้นร่างของเขาก็ขยายใหญ่เท่าตัว ขณะเดียวกัน มังกรหมอกดำสี่ตัวก็ก่อตัวขึ้นมาจากไอดำอย่างรวดเร็ว และหมุนวนอยู่รอบๆ ตัวเขา
พอไหมแสงสีเขียวเหล่านี้สัมผัสกับมังกรหมอกดำเพียงเล็กน้อย ก็พากันสลายตัวเป็นควันสีเขียวโดนไม่อาจร่วงลงมาได้อีก
ขณะนี้ พอแขนข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงพร่ามัว นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ดีดใส่กระจกโบราณสีเหลืองที่หมุนวนอยู่เหนือศีรษะไม่หยุด!
“เพล้ง!” เกิดเสียงแตกหักดังขึ้นมา!
ปราณกระบี่รูปเกลียวทะลุผ่านควันสีเขียวไปในพริบตา และโจมตีลงบนกระจกโดยตรง ทำให้ผิวกระจกแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
สิ่งนี้ทำให้ผู้เฒ่าอู๋มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง ชายเผ่าหมานก็ส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา
พายุก่อตัวบนเท้าทั้งสองของหมาป่ายักษ์สีเทา จากนั้นก็กลายร่างเป็นเงาสีเทากระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
เหยี่ยวหัวดำคว้ากรงเล็บมาทางหลิ่วหมิวทันที
ชายตาเดียวก็ส่งเสียงคำรามออกมา พอขยับแขนทั้งคู่ ภูเขากระบองเหนือศีรษะก็พุ่งเข้ามาท่ามกลางเสียงดังโครมคราม
คิดไม่ถึงว่าทั้งสามจะร่วมมือโจมตีหลิ่วหมิงพร้อมกัน
………………………………